สิทธิมนุษยชนตะวันตก
  จำนวนคนเข้าชม  1934


สิทธิมนุษยชนตะวันตก


แปลเรียบเรียง ... อบู รุกอยยะฮ์

 

     "อิลละฮฺ และ ฮิกมะฮฺ" ในคำวิพากษ์ ประกาศสิทธิมนุษยชนตะวันตก (the Universal Declaration on Human Rights) โดย เชค มุฮัมมัด ศอลิฮฺ อัลมุนัจญิด (لفضيلة الشيخ محمد صالح المنجد حفظه الله )

 

     ประเด็น : Western human rights organizations and the ruling on referring to them for judgement?

الحمد لله.

 

     มุสลิมไม่ควรถูกหลอกโดยคำพูดของตะวันตก และพวกฝรั่ง ที่เรียกกันว่า องค์กร"สิทธิมนุษยชน" (human rights/حقوق الإنسان) เพราะมองภายนอก พวกเขาดูเหมือนสนับสนุน ผู้ถูกอธรรม และวางท่าทีต่อต้านการคุกคาม หรือผู้ถูกละเมิดศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ (human dignity/كرامة الإنسان) (แม้ว่าคนพวกนี้จะอยู่) ในคุก และทัณฑสถาน 

 

     โดยภาพรวมแล้ว คำดังกล่าวฟังดูดี แต่ขณะเดียวกัน พวกเขาก็มีบทบาท (วาระแฝง) ที่สนับสนุนหลักการ-เป้าหมายที่จะทำลายสถาบันครอบครัว (แบบอิสลาม) และเปิดประตูของการดูหมิ่นอิสลาม ดูหมิ่นรสุลลุลลอฮฺตลอดจนบรรดาศอฮาบะฮฺ (โดยอาศัย คุณค่า/หลักการแบบตะวันตก มาเป็นกรอบอธิบายความเชื่อ)

 

     พวกเขาต่อต้านกฎหมายชะรีอะฮฺ ในเรื่องฮัดดฺ (حد - บทลงโทษ) ในเรื่องการปาหินผู้ทำซีนา การประหารชีวิตผู้มุรตัด และการตัดมือหัวขโมย เหล่านี้ล้วนเป็นหลักการศาสนา และต้องถูกนำมาบังคับใช้ (ยอมรับโดยดุษณีในทางความเชื่อ-อะกีดะฮฺ เพราะการไม่เชื่อ ไม่ยอมรับหลักการอาจเป็นกุฟรฺ)

 

     องค์กรเหล่านี้ ร่วมกันต่อต้านกฎชะรีอะฮฺซึ่งมัก (ตั้งประเด็น) เกี่ยวกับสตรี อาทิ คัดค้านการมีวะลียินยอม (موافقة الولي في زواجها) ในเรื่องการแต่งงานของนาง คำสั่งในเรื่องสวมฮิญาบ (أمرها بالحجاب) และข้อห้ามเรื่องปะปนระหว่างชายหญิง (ونهيها عن الاختلاط)

     ซึ่งพวกเขาอ้างว่า ต้องการปลดแอก (liberate) มนุษย์ออกจากข้อบังคับ (วาญิบ) ในเรื่องศาสนา (تحرير الإنسان من التكاليف الشرعية) และเปลี่ยนผู้คนให้มีอิสระเสรีในความประพฤติของเขา ไม่ให้ถูกจำกัดไว้ภายใต้ชุดศีลธรรมความดี หรือไม่จำเป็นต้องเลื่อมใสในชะรีอะฮฺ

 

     กล่าวโดยสรุป สิ่งที่องค์กรพวกนี้เรียกร้อง คือ เรียกร้องไปสู่สิทธิในการทำสิ่งใดก็ตาม ซึ่งเขาปราถนา ไม่เกี่ยงว่ากระทบใคร ...พวกนี้สนับสนุน เลสเบียน (السحاقيات/lesbian) พวกรักเพศเดียวกัน (اللوطيين) พวกเพศที่สาม (الجنس الثالث) และพวกเบี่ยงเบนทางเพศ โดยพวกเขาอ้างเรื่อง "สิทธิมนุษยชน" เพื่อปฏิเสธ (يكفر) สิ่งใดก็ตามที่ศาสนาสั่ง โดยใช้เสรีภาพในการแสดงออกตามความเห็นของตน แม้กระทั่งเรื่องจาบจ้วงบรรดานบียฺ โดยปราศจากความเกรงกลัว หรือพึงละอาย และพวกนี้ยังสนับสนุนการปลดปล่อยสตรีให้ออกจากการดูแลจากพ่อของนาง สามีของนาง และศาสนาของนาง

 

     เชค حفظه الله ได้วิพากษ์ "ปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน" (the Universal Declaration on Human Rights) ที่องค์การสหประชาชาติ หรือ "ยูเอ็น" the United Nations (UN) มีมติเห็นชอบ ปี 10/12/1948 (อ้างอิง หลักการที่ 2, 18, 19,) ดังนี้

 

     "สิทธิ และเสรีภาพ" (الحقوق والحريات) ที่พวกเขาเรียกร้องผู้คนให้เข้าร่วม โดยไม่คำนึงถึงศาสนา ทำให้มุวาฮิด (ชนแห่งเตาฮีด) กับมุชริก (ชนแห่งชิริก) เท่าเทียมกัน ( تجعل الموحد والمشرك متساويين) ภายใต้ชื่อของสิทธิ และเสรีภาพที่ว่า ฉะนั้น (บนฐานคิดนี้) บ่าวของอัลลอฮฺ และบ่าวของชัยฏอน จึงถูกจัดวางไว้ระดับเดียวกัน (وتجعل عبد الله وعبد الشيطان في سياق واحد) และทุกๆการกราบไหว้ก้อนหิน ดินทราย, รูปปั้น หรือผู้คน (ฏอฆูต) ก็ถูกยกให้ว่าเป็นสิทธิ และเสรีภาพ (อย่างสมบูรณ์) ที่จะทำสิ่งที่เป็นกุฟร และนอกรีต (إلحاده) เช่นนี้มันจึงตรงกันข้ามกับกฎของอัลลอฮฺในโลกนี้ และโลกหน้า (อาคีเราะฮฺ)

 

อัลลอฮฺ تعالى ตรัสว่า

 مَا لَكُمْ كَيْفَ تَحْكُمُونَ  أَفَنَجْعَلُ الْمُسْلِمِينَ كَالْمُجْرِمِينَ .

 

 

     "ดังนั้นจะให้เราปฏิบัติแก่บรรดาผู้นอบน้อมเสมือนกับเราปฏิบัติแก่บรรดาผู้กระทำผิดกระนั้นหรือ ? -- เกิดอะไรขึ้นกับพวกเจ้า ? ทำไมพวกเจ้าจึงตัดสินเช่นนั้น"

[สูเราะฮฺ อัลกอลัม 68 : อายะฮฺที่ 35, 36] 

และ ตรัสว่า

 

أَمْ نَجْعَلُ الَّذِينَ آمَنُوا وَعَمِلُوا الصَّالِحَاتِ كَالْمُفْسِدِينَ فِي الْأَرْضِ أَمْ نَجْعَلُ الْمُتَّقِينَ كَالْفُجَّارِ

 

     "จะให้เราปฏิบัติต่อบรรดาผู้ศรัทธา (ในเตาฮีด) และกระทำความดีทั้งหลาย เช่นบรรดาผู้บ่อนทำลาย (มุฟสิดีน - คือผู้ตั้งเอาสิ่งอื่นเป็นภาคีกับอัลลอฮฺ และก่ออาชญากรรม) ในแผ่นดินกระนั้นหรือหรือว่าจะให้เราปฏิบัติต่อบรรดาผู้ยำเกรง (มุตตะกีน) เช่นบรรดาคนชั่ว (ฟุจญาร- ชั่ว,กาเฟร,ก่อความเสียหาย) กระนั้นหรือ?"

[สูเราะฮฺ ศอด 38 : อายะฮฺที่ 28] 

และ ตรัสว่า

 

أَفَمَنْ كَانَ مُؤْمِناً كَمَنْ كَانَ فَاسِقاً لا يَسْتَوُونَ 

 

     "ดังนั้น ผู้ศรัทธาจะเหมือนกับคนชั่วช้า (ฟาสิก) กระนั้นหรือ? พวกเขาย่อมไม่เท่าเทียมกันแน่"

[อัส สัจญ์ดะฮฺ 32:18]

 

     (การอ้างสิทธิเสรีภาพ) คือการเรียกร้อง ให้ยกเลิกกฎเกณฑ์ (ที่วางกรอบเอาไว้) ไม่ให้คนหลุดออกนอกศาสนา (الردة) แต่ได้เปิดพื้นที่อย่างโอหัง ให้กับหลักเกณฑ์ที่เป็นกุฟร นอกรีต (heresy) การเรียกร้องนี้จะเปิดประตูให้ปุถุชนที่อยากวิพากษ์วิจารณ์อิสลาม หรือใส่ไคล้นบีแห่งอิสลาม มุฮัมมัดได้มีเสรีภาพที่จะวิจารณ์ หรือมีอิสระในการแสดงออกอย่างไร้ข้อจำกัด

 

     เหล่านี้คือหลักการชั่ว แม้มันอาจเหมาะสมกันแล้ว กับชีวิตของพวกเขา (มุชริกีน) ค่านิยมของพวกเขา และศาสนาของพวกเขา แต่มันไม่คู่ควรเลยกับชะรีอะฮฺอันบริสุทธิ์ของเรา ซึ่งนำกฎ (الأحكام) ที่เหมาะสมกับแต่ละบุคคล และสภาพสังคม เพื่อสถาปนาศีลธรรมสูงสุด ปกป้องจิตใจ เกียรติยศ ทั้งกายภาพ ความมั่นคง และประกาศแก่ผู้คนถึงศาสนาที่อัลลอฮฺรัก และทรงพอพระทัย

 

เชคได้หยิบยกตัวอย่าง ที่มีอยู่ในหลักการดังกล่าวมาเพื่อชี้ให้เห็นสิ่งที่ค้านกับอิสลามดังเช่น

 

     ข้อที่ 3 : Everyone has the right to life, liberty and security of person."ทุกคนมีสิทธิในการมีชีวิต เสรีภาพ และความมั่นคงแห่งบุคคล"

 

เชค حفظه الله วิพากษ์ว่า

     ข้อนี้ องค์การดังกล่าวเรียกร้องให้ปกป้อง ไม่ให้มีโทษประหาร และปล่อยให้มีทัศนคติต่อสาธารณะในแง่ลบ แก่ชาติต่างๆ ซึ่งยังบังคับให้มีบทลงโทษฮัดดฺของอัลลอฮฺ โดยหลักการปาหินผู้ทำซีนาที่แต่งงานแล้ว และประหารโจรผู้ร้าย เช่นนี้องค์การนี้อ้างอย่างภาคภูมิใจที่ได้โน้มน้าวบรรดาชาติต่างๆให้ละทิ้งการมีโทษประหาร สำหรับ นักฆ่า พวกโจรข่มขืน และพวกที่ก่ออาชญากรรมทั้งหลาย (ฐานคิด) นี้เป็นสิ่งตรงข้ามกันกับธรรมชาติของมนุษย์ อีกทั้งความเป็นเหตุเป็นผล รวมถึงชะรีอะฮฺด้วย และมันกลายเป็นสาส์นที่ปลอบใจพวกอาชญากรทั้งหลายว่าชีวิตของพวกเขาจะไม่สูญเสีย (ไม่ต้องรับโทษประหาร) เนื่องด้วย (ได้รับการคุ้มครองจาก) หลักการนี้ ซึ่งอันที่จริงเป็นหนทางก่อความเสียหายบนหน้าแผ่นดินต่างหาก

     พวกเขาอ้างถึง สิทธิของปัจเจกในการมีชีวิต และเสรีภาพ (ของผู้ไม่ต้องโทษประหาร) แม้ว่า (อาชญากรที่ได้รับการปกป้อง) จะไม่ต่างกันกับสัตว์ป่า และแม้นว่าเสรีภาพนั้นจะนำไปสู่การอธรรม ความป่วยไข้ของสังคม และการสูญเสียความปลอดภัยในชีวิตก็ตาม

 

     ข้อที่ 16 : Men and women of full age, without any limitation due to race, nationality or religion, have the right to marry and to found a family. They are entitled to equal rights as to marriage, during marriage and at its dissolution.

     "บรรดาชายและหญิงที่มีอายุครบบริบูรณ์แล้ว มีสิทธิที่จะทำการสมรสและก่อร่างสร้างครอบครัว โดยปราศจากการจำกัดใด อันเนื่องจากเชื้อชาติ สัญชาติหรือศาสนา ต่างย่อมมีสิทธิเท่าเทียมกันในการสมรส ระหว่างการสมรสและขาดจากการสมรส, การสมรสจะกระทำกันโดยความยินยอมอย่างอิสระ และเต็มที่ของผู้ที่จะเป็นคู่สมรสเท่านั้น, ครอบครัวเป็นหน่วยธรรมชาติและพื้นฐานของสังคม และย่อมมีสิทธิที่จะได้รับความคุ้มครองจากสังคมและรัฐ"

 

เชค حفظه الله วิพากษ์ว่า :

     ข้อนี้มาเพื่อยกเลิกบทบาทของวะลียฺ แก่สตรี ในการปกป้องสิทธิในการแต่งงานของนาง เพื่อช่วยลูกสาว หรือน้องสาวของเขา ตัดสินใจในสิ่งที่ถูกต้อง และเพื่อที่จะได้ถามไถ่ถึงการยินยอมในศาสนา และบุคลิกภาพความเหมาะสม (ของผู้สู่ขอ) มันเป็นฮิกมะฮฺที่อัลลอฮฺได้บัญญัติไว้ หากการแต่งงานถูกปัดออกโดยไม่มีการยินยอมของวะลียฺ เราจะเห็นสตรีจำนวนมากแต่งงานกับผู้ที่นางเคลิบเคลิ้มในหมู่จิ้งจอกตัวผู้ ผู้ซึ่งกระหายจะขโมยเอาความบริสุทธิ์ของนาง และโยนมันทิ้งข้างทางเสีย

     พวกนี้จะยกเอาสิทธิในการหย่าแก่ฝ่ายหญิง เฉกเช่นที่ฝ่ายสามีพึงมี นี้คือสิ่งที่ทำให้สตรีหันมาต่อต้านสามีของนาง และนำไปสู่การแตกแยกของครอบครัว ผู้ที่รู้ธรรมชาติของผู้ชาย และผู้หญิงจะไม่ยินยอมตกลงในเรื่องไร้สาระนี้ กี่มากน้อยที่สถาบันครอบครัวของพวกตะวันตกถูกทำลายป่นปี้ พวกนี้เรียกร้องไปสู่สิทธิการแต่งงานเพศเดียวกัน สิทธิของผู้หญิงในการมีรูปแบบความสัมพันธ์ใดๆก็ได้ ตามสิทธิของนาง ไม่ว่าจะแต่งงานหรือหย่าร้าง สถาบันครอบครัวแบบไหนกัน ที่สร้างบนฐานที่สั่นคลอนแบบนี้?

 

     โดยสรุป มันไม่มีค่าอันใดสำหรับ (ค่านิยม/คุณค่า) ที่องค์การเหล่านี้จะถูกใช้ไปเพื่อวาระทางการเมือง สำหรับกดดันรัฐอิสลาม (มุสลิม) ที่สนใจอยู่แล้วกับคุณธรรม ความเหมาะสม และศีลธรรม (ในแบบอิสลามเอง) หรือปฏิบัติตามด้วยกับกฎหมายชะรีอะฮฺ !

 

 

     ดู คำถามที่ 97827, كلمة حول منظمات حقوق الإنسان الغربية وحكم التحاكم إليها

https://islamqa.info/…/%D9%83%D9%84%D9%85%D8%A9-%D8%AD%D9%8…