เรียนศาสนา แล้วได้อะไร ?
อับดุลวาเฮด สุคนธา เรียบเรียง
อิสลามศาสนาสมบูรณ์แบบในการใช้ชีวิตในทุกๆแง่และทุกมุมของการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ อิสลามสามารถตอบสนองความต้องการทั้งหลายแหล่งทั้งในแง่ของวัตถุปัจจัย และศีลธรรมของพวกเขาทุกคนตราบจนถึงวันกิยามะฮฺ อัล-กุรอาน กล่าวว่า:
الْيَوْمَ أَكْمَلْتُ لَكُمْ دِينَكُمْ وَأَتْمَمْتُ عَلَيْكُمْ نِعْمَتِى وَرَضِيتُ لَكُمُ الاْسْلاَمَ دِيناً
“วันนี้ข้าได้ทำให้ศาสนาของสูเจ้าสมบูรณ์แล้วสำหรับสูเจ้า และข้าได้ประทานความโปรดปรานของข้าอย่างครบถ้วนแก่สูเจ้า และข้าได้เลือกอิสลามเป็นศาสนาสำหรับสูเจ้า”
(อัลมาอิดะฮฺ 3)
ความสำคัญ ศาสนาอิสลาม
ศาสนาอิสลาม หมายถึง มุสลิมคนหนึ่งจะต้องมีความศรัทธา ยอมรับ ด้วยการปฏิบัติและเชื่อสัจธรรมความจริง และจริยธรรมอันดีงาม และหลักปฏิบัติที่ถูกต้อง ซึ่งภายในโดยปราศจากคำถามใดๆ ทั้งสิ้น ส่วนมนุษย์นั้นอยู่ในกรอบของคำว่า มุสลิมอย่างแท้จริง ด้วยเหตุนี้ อิสลามจึงได้เติมเต็มความเป็นมนุษย์ได้พบกับความสุขนิรันดร์ ทั้งโลกนี้และปรโลกหน้า
นบีอิบรอฮีม และอิสมาอีล อะลัยอิสลาม หลังจากสร้างวิหารกะอฺบะฮฺเสร็จเรียบร้อยแล้ว ได้ยกมือวิงวอนต่อองค์พระผู้อภิบาล ด้วยความรักและความถ่อมตนว่า :
رَبَّنَا وَاجْعَلْنَا مُسْلِمَيْنِ لَكَ وَمِن ذُرِّيَّتِنَا أُمَّةً مُسْلِمَةً لَكَ
“โอ้ พระผู้อภิบาลของเรา โปรดทำให้ข้าฯทั้งสองเป็นผู้นอบน้อมต่อพระองค์ และโปรดให้ลูกหลานของพวกเรา เป็นประชาชนที่นอบน้อมต่อพระองค์”
(อัลบะเกาะเราะฮฺ 128)
ท่านนบียะอ์กูบ อะลัยอิสลาม สั่งเสีย ถึงบรรดาบุตรหลานของท่านว่า :
فَلاَ تَمُوتُنَّ إِلاِّ وَأَنْتُم مُسْلِمُونَ
“ดังนั้น พวกเจ้าจงอย่ายอมตามเป็นอันขาด นอกจากพวกเจ้าต้องเป็นผู้สวามิภักดิ์(ต่ออัลลฮ์) เท่านั้น “
(อัลบะเกาะเราะฮฺ 132)
นบียูซุฟ อะลัยอิสลาม ได้วิงวินขอต่อพระผู้อภิบาลว่า :
تَوَفَّنِى مُسْلِماً وَأَلْحِقْنِى بِالصَّالِحِينَ
“ได้โปรดให้ฉันตายในสภาพของผู้นอบน้อม และโปรดรวมฉันไว้ในหมู่กัลยาณชนทั้งหลาย”
( ยูซุฟ 101)
ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า
وَالَّذِى نَفْسُ مُحَمَّدٍ بِيَدِهِ، لاَ يَسْمَعُ بِى أَحَدٌ مِنْ هَذِهِ الأُمَّةِ، يَهُودِىٌّ وَلاَ نَصْرَانِىٌّ، ثُمَّ يَمُوتُ وَلَمْ يُؤْمِنْ بِالَّذِى أُرْسِلْتُ بِهِ؛ إِلاَّ كَانَ مِنْ أَصْحَابِ النَّارِ
“ขอสาบานด้วยอัลลอฮฺ ผู้ซึ่งชีวิตของมุหัมมัดอยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์ว่า ไม่มีใครที่ได้ฟังเกี่ยวกับฉันในหมู่ประชาชาตินี้ ไม่ว่าจะเป็นยิวหรือคริสต์ แล้วพวกเขาก็เสียชีวิตโดยที่ไม่ศรัทธาต่อสิ่งที่ถูกประทานลงมาแก่ฉัน นอกเสียจากว่าเขาต้องกลายเป็นชาวนรก”
(มุสลิม)
ความสำคัญการเรียนศาสนา อิสลาม
♥ รู้จักพระเจ้าที่แท้จริง
แท้จริงทุกสรรพสิ่งในโลกนี้ที่ถูกสร้างขึ้นมาและถูกบริหารจัดการล้วนเป็นหลักฐานที่ชี้ถึงการเป็นพระเจ้าองค์เดียวของอัลลอฮ์
أَلاَ لَهُ الْخَلْقُ وَالأَمْرُ تَبَارَكَ اللّهُ رَبُّ الْعَالَمِينَ
“พึงรู้เถิดว่า การสร้างและกิจการทั้งหลายนั้นเป็นสิทธิของพระองค์เท่านั้น มหาบริสุทธิ์ยิ่งองค์อัลลอฮฺผู้เป็นพระเจ้าแห่งสากลโลก”
(อัลอะอฺรอฟ 54)
ذَلِكُمُ اللهُ رَبُّكُمْ خَالِقُ كُلِّ شَيْءٍ لَّا إِلٰـهَ إِلَّا هُوَ فَأَنّٰى تُؤْفَكُونَ
“นั่นคืออัลลอฮฺ พระเจ้าของพวกเจ้าผู้ทรงสร้างทุกสิ่ง ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากพระองค์ดังนั้นทำไมพวกเจ้าจึงถูกหันเหออกจากพระองค์เล่า”
(ฆอฟิร 62)
♥ รู้จักศาสนาที่แท้จริง นั้นคือ อิสลาม
อิสลาม คือ ศาสนาของอัลลอฮฺผู้ทรงเอกะ พระองค์จะไม่ทรงรับศาสนาอื่นจากบ่าวของพระองค์ ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์หรือญิน พระองค์ตรัสว่า
﴿ وَمَن يَبۡتَغِ غَيۡرَ ٱلۡإِسۡلَٰمِ دِينا فَلَن يُقۡبَلَ مِنۡهُ﴾
“และผู้ใดแสวงหาศาสนาหนึ่งศาสนาใดอื่นจากอิสลามแล้ว ศาสนานั้นก็จะไม่ถูกรับจากเขาเป็นอันขาด”
(อาล อิมรอน 85)
﴿ إِنَّ ٱلدِّينَ عِندَ ٱللَّهِ ٱلۡإِسۡلَٰمُۗ ﴾
“แท้จริง ศาสนา ณ อัลลอฮฺนั้นคืออิสลาม”
(อาล อิมรอน 19)
♥ อิสลามให้ความสำคัญกับการศึกษา
อิสลามส่งเสริมให้มีการศึกษาเพื่อรู้จักการใช้ชีวิต และเป้าหมายของอิสลาม?
อัลลออฺทรงกล่าวว่า
اقْرَأْ بِاسْمِ رَبِّكَ الَّذِي خَلَقَ * خَلَقَ الْإِنْسَانَ مِنْ عَلَقٍ * اقْرَأْ وَرَبُّكَ الْأَكْرَمُ * الَّذِي عَلَّمَ بِالْقَلَمِ * عَلَّمَ الْإِنْسَانَ مَا لَمْ يَعْلَمْ
- จงอ่านด้วยพระนามแห่งพระเจ้าของเจ้าผู้ทรงบังเกิด
- ทรงบังเกิดมนุษย์จากก้อนเลือด
- จงอ่านเถิด และพระเจ้าของเจ้านั้นผู้ทรงใจบุญยิ่ง
- ผู้ทรงสอนการใช้ปากกา
- ผู้ทรงสอนมนุษย์ในสิ่งที่เขาไม่รู้
ท่านนบีมูฮำหมัด ได้กล่าวเกี่ยวกับบุคคลที่มีความรู้และบุคคลที่แสวงหาวิชาความรู้ไว้ว่า เล่าจากอะบีอัดดัรดาอฺ ว่า ฉันได้ยินท่านร่อซุ้ลลุ่ลลออฮฺ กล่าวว่า
مَنْ سَلَكَ طَرِيقًا يَلْتَمِسُ فِيهِ عِلْمًا سَهَّلَ اللَّهُ لَهُ طَرِيقًا إِلَى الْجَنَّةِ
"ผู้ใดมุ่งอยู่ในหนทางแห่งการแสวงหาวิชาความรู้ อัลลอฮฺจะให้ทางสะดวกแก่เขาสู่สวรรค์“
(โดยอะบูดาวุด และ อัตตริมีซี)
♥ รู้ถึงพระดำรัสของพระเจ้านั้นคือ อัลกุรอาน
อัลกุรอาน คือ พระดำรัสของอัลลอฮฺที่ทรงประทานแก่ท่านนบีมุหัมมัด ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม ผ่านมลาอิกะฮฺญิบรีล เป็นคัมภีร์เล่มสุดท้ายของอัลลอฮฺสำหรับมนุษยชาติ เพื่อเป็นทางนำสำหรับมนุษย์ไปสู่การมีชีวิตที่มีความสงบสุขในโลกนี้และโลกหน้า อัลลอฮฺได้ตรัสไว้ว่า
إِنَّ هَـذَا الْقُرْآنَ يِهْدِي لِلَّتِي هِيَ أَقْوَمُ وَيُبَشِّرُ الْمُؤْمِنِينَ الَّذِينَ يَعْمَلُونَ الصَّالِحَاتِ أَنَّ لَهُمْ أَجْراً كَبِيراً
“แท้จริง อัลกุรอานนี้นำสู่ทางที่เที่ยงตรงยิ่งและแจ้งข่าวดีแก่บรรดาผู้ศรัทธาที่ประกอบความดีทั้งหลายว่า สำหรับพวกเขานั้นจะได้รับการตอบแทนอันยิ่งใหญ่”
(อัล-กุรอาน สูเราะฮฺ อัล-อิสรออฺ: 9)
จากอุษมาน เราะฎิยัลลอฮุอันฮฺ จากท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า
خَيْرُكُمْ مَنْ تَعَلَّمَ القُرْآنَ وَعَلَّمَهُ
“ผู้ที่ประเสริฐที่สุดในหมู่พวกท่านคือผู้ที่ศึกษาและทำการสอนอัลกุรอาน “
(บันทึกโดย อัลบุคอรีย์)
♥ รู้ว่า ท่านนบีมุฮัมมัด คือ ศาสนทูตของอัลลอฮ์
มุฮัมมัด เป็นบุตรของอับดุลลอฮฺ บุตรของอับดุลมุฏเฏาะลิบ บุตรของฮาชิม มารดาของท่านชื่อ อามินะฮฺ บุตรีของวะฮ์บฺ
ท่านเป็นผู้มีกริยามารยาทและมีอุปนิสัยที่ดีงามจนได้รับสมญานามว่า อัล-อะมีน คือผู้ที่ซื่อสัตย์ เมื่ออายุครบ 40 ปี ท่านได้ถูกแต่งตั้งให้เป็นนบี(ผู้ได้รับวิวรณ์จากพระเจ้า) โดยที่อัลลอฮฺได้ประทานวะห์ยูในขณะที่ท่านพำนักอยู่ในถ้ำหิรออ์
พระองค์อัลลอฮ์ซุบฮานะฮูวะตะอาลาจึงใช้ให้ท่านนะบี เผยแพร่อิสลามอย่างเปิดเผย อัลลอฮ์ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ทรงตรัสว่า :
فَاصْدَعْ بِمَا تُؤْمَرُ وَأَعْرِضْ عَنِ الْمُشْرِكِينَ
“ดังนั้นจงประกาศอย่างเปิดเผยในสิ่งที่เจ้าถูกบัญชามา และจงผินหลังให้พวกมุชริกีน”
(ซูเราะห์อัลฮิจรฺ 94)
พระองค์ทรงใช้ให้เริ่มเผยแพร่แก่เครือญาติที่ใกล้ชิดก่อน ความว่า :
وَأَنذِرْ عَشِيرَتَكَ الْأَقْرَبِينَ
“จงตักเตือนวงศาคณาญาติของเจ้าที่ใกล้ชิด”
(อัชชุอะรออฺ 214 )
ท่านนบีมุฮัมหมัด แบบฉบับของมนุษย์ทั้งมวลในด้านหลักศรัทธา การเคารพอิบาดะฮ์ และจรรยามารยาท
อัลลอฮ์ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ทรงตรัสว่า
وَلَقَدْ بَعَثْنَا فِي كُلِّ أُمَّةٍ رَّسُولًا أَنِ اعْبُدُوا اللَّهَ وَاجْتَنِبُوا الطَّاغُوتَ ۖ
“และโดยแน่นอน เราได้ส่งร่อซูลมาในทุกประชาชาติ (โดยบัญชาว่า) “พวกท่าจงเคารพภักดีอัลลอฮ์ และจงหลีกหนีให้ห่างจากพวกเจว็ด”
(อันนะหลุ 36)
อัลลอฮ์ ตรัสว่า
لَقَدْ كَانَ لَكُمْ فِي رَسُولِ اللَّهِ أُسْوَةٌ حَسَنَةٌ لِمَنْ كَانَ يَرْجُو اللَّهَ وَالْيَوْمَ الْآخِرَ وَذَكَرَ اللَّهَ كَثِيرًا
“โดยแน่นอน ในร่อซูลของอัลลอฮฺมีแบบฉบับอันดีงามสำหรับพวกเจ้าแล้ว สำหรับผู้ที่หวัง (จะพบ) อัลลอฮฺและวันปรโลกและรำลึกถึงอัลลอฮฺอย่างมาก”
( ฮะซาบ 21 )
♥ รู้ความสำคัญการให้เอกภาพแด่อัลลอฮ์
เตาฮีดอัรรุบุบียะฮ์ (توحيد الربوبيّة) คือการให้เอกภาพต่ออัลลอฮฺ ในการเป็นหนึ่งเดียวในด้านการกระทำต่างๆ ของพระองค์ เช่น การสร้าง การมีอำนาจครอบครอง การบริหารจัดการ การให้มีชีวิต การให้ตาย
เตาฮีดอัลอุลูฮียะห์ (توحيد الألوهيّة ) คือการให้เอกภาพแด่อัลลอฮ์ ผู้ทรงยิ่งใหญ่ ผู้ทรงสูงส่ง ด้วยการเคารพภักดี (อิบาดะฮ์) ต่อพระองค์
เตาฮีดอัลอัสมาอ์วัสศิฟาต (توحيد الأسماء والصفات) คือ การให้เอกภาพแด่ อัลลอฮ์ เกี่ยวกับบรรดาพระนามและคุณลักษณะของพระองค์ เตาฮีดประเภทนี้ตั้งอยู่บนพื้นฐานสองประการ ดังที่ อัลลอฮ์ ได้ทรงแจกแจงเอาไว้
♥ รู้ว่าการตั้งภาคีต่ออัลลอฮฺ นั้นต้องห้ามเด็ดขาด
ชิริกฺ คือ การยึดถือยึดมั่นต่อสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่มองเห็น หรือที่มองไม่เห็น ที่มีอยู่แล้ว หรือที่คิดสร้างขึ้นมา ว่ามีพลัง อำนาจความสามารถที่ให้คุณ ประโยชน์หรือให้โทษต่อสิ่งหนึ่งสิ่งใดโดยอำนาจของตนเอง โดยมิใช่เป็นอำนาจ ของพระผู้เป็นเจ้า รวมไปถึงการกราบไหว้บูชาต่อสิ่งใด ๆ นอกเหนือจากพระผู้เป็นเจ้า เช่น การที่บุคคลใดเชื่อว่า ก้อนหิน ต้นไม้ ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ดวงดาว ผู้รู้ ฯลฯ สามารถให้คุณประโยชน์หรือ ให้โทษต่อสิ่งหนึ่งสิ่งใด โดยอำนาจของตนเอง
อัลลอฮฺ สุบหานะฮูวะตะอาลา ตรัสว่า
إِنَّ اللَّهَ لَا يَغْفِرُ أَنْ يُشْرَكَ بِهِ وَيَغْفِرُ مَا دُونَ ذَلِكَ لِمَنْ يَشَاءُ وَمَنْ يُشْرِكْ بِاللَّهِ فَقَدِ افْتَرَى إِثْمًا عَظِيمًا
"แท้จริงอัลลอฮฺ จะไม่ทรงอภัยโทษให้แก่การที่สิ่งหนึ่งจะถูกให้มีภาคีขึ้นแก่พระองค์ และพระองค์จะ ทรงอภัยให้แก่สิ่งอื่นจากนั้น สำหรับผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์ และผู้ใดให้มีภาคีขึ้นแก่พระองค์แล้ว แน่นอนเขาก็ได้อุปโลกน์บาปกรรมอันใหญ่หลวง"
(อันนิซาอฺ :48)
อัลลอฮฺ สุบหานะฮูวะตะอาลา ทรงตรัสว่า
وَيَعْبُدُونَ مِنْ دُونِ اللَّهِ مَا لَا يَضُرُّهُمْ وَلَا يَنْفَعُهُمْ وَيَقُولُونَ هَؤُلَاءِ شُفَعَاؤُنَا عِنْدَ اللَّهِ قُلْ أَتُنَبِّئُونَ اللَّهَ بِمَا لَا يَعْلَمُ فِي السَّمَاوَاتِ وَلَا فِي الْأَرْضِ سُبْحَانَهُ وَتَعَالَى عَمَّا يُشْرِكُونَ
"และพวกเขาจะบูชาสิ่งอื่นนอกเหนือจากอัลลอฮฺ ที่มิได้ให้โทษกับพวกเขา และมิได้ให้ประโยชน์กับ พวกเขา
และพวกเขากล่าวอ้างว่า เหล่านี้คือผู้ช่วยเหลือเรา ณ อัลลอฮฺ
จงกล่าวเถิด (มูฮำมัด) พวกท่าน จะแจ้งข่าวกับอัลลอฮฺด้วยสิ่งที่พระองค์ไม่รู้ในบรรดาชั้นฟ้าและ แผ่นดินกระนั้นหรือ พระองค์ทรงมหา บริสุทธิ์ และทรงสูงส่งเหนือสิ่งที่พวกเขาตั้งภาคี"
(ยูนุส :18)
♥ ห้ามสาบานต่อสิ่งอื่นนอกจากอัลลอฮ์
ดังทีท่านนะบีมุฮัมมัด ได้กล่าวว่า
مَنْ حَلَفَ بِغَيْرِ اللَّهِ فَقَدْ كَفَرَ أَوْ أَشْرَكَ
“ผู้ใดที่ได้สาบานต่อสิ่งอื่นจากอัลลอฮ์ แน่นอน เขาได้ปฏิเสธศรัทธาแล้ว และเขาได้ตั้งภาคีแล้ว“
(บันทึกโดยอัตติรมีซีย์ และอะหมัด)
ห้ามห้อยหรือสวมใส่เครื่องรางของขลัง และมีความเชื่อมั่นว่า สิ่งเหล่านั้นป้องกันภัยอันตราย หรือรักษาให้หายได้
ดังที่ท่านนะบี ได้กล่าวว่า
مَنْ عَلَّقَ تَمِيمَةً فَقَدْ أَشْرَكَ
“ใครห้อยหรือสวมใส่เครื่องรางของขลังใดๆ แน่นอนเขาได้ทำชิริกแล้ว “
(บันทึกโดยอะหมัดและฮากิม)
ห้ามเชื่อถือโชคลาง จากจำพวกนก ส่วนหนึ่งของวัน ส่วนหนึ่งของเวลา ส่วนหนึ่งของตัวเลข บางคน บางสถานที่ หรืออื่นๆ แท้จริงท่านนะบี ได้กล่าวว่า
أًلطِّيَرَةُ شِرْكٌ
“การเชื่อถือโชคลางนั้นเป็น ชิริก"
(บันทึกโดยอบูดาวูดและติรมีซีย์)
ห้ามเอากุบูรเป็นมัสยิด ปฏิบัติละหมาด หรือปลูกสร้างอาคารมัสยิดบนกุบูรดังเช่นที่ท่านนะบี ได้กล่าวว่า
لُعِنَ الْيَهُودَ وَالنَّصَارَى اتَّخَذُوا قُبُورَ أَنْبِيَائِهِمْ وَصَالِحِيهِمْ مَسَاجِدَ
"พวกยิวและพวกคริสต์ได้โดนสาปแช่ง ซึ่งพวกเขาได้ยึดเอาสุสานของบรรดานะบีและคนศอและฮ์ ของพวกเขาเป็นมัสยิดต่างๆ”
(บันทึกโดยบุคอรีย์และมุสลิม)
♥ รู้จักเป้าหมายของในการใช้ชีวิต
บางคนก็ใช้ชีวิตอยู่ไปวันๆ โดยไม่คิดอะไรหาความสุขให้กับตัวเองไปวันๆ บางคนก็ทำแต่งาน หาเงิน หาตำแหน่งการงานหน้าที่ ต้องการเป็นใหญ่เป็นโตในสังคม แล้วแต่เป้าหมายของแต่ละคน ซึ่งอาจจะหลงลืมเป้าหมายที่แท้จริงที่พระผู้เป็นเจ้านั้นสร้างเราขึ้นมา ดังพระดำรัสของอัลเลาะห์ตาอาลา ที่ว่า
وَمَا خَلَقْتُ الْجِنَّ وَالإِنسَ إِلاَّ لِيَعْبُدُونِ
“และเราอัลลอฮ์ นั้นไม่ได้สร้างญินและมนุษย์มาเพื่อสิ่งอื่นใด นอกจากเคารพสักการะภักดีต่อพระองค์”
♥ รู้จักการสร้างครอบครัวที่ดี
โดยภาพลักษณ์แห่งการสร้างครอบครัวที่ดีตามแบบฉบับอิสลามนั้น ท่านนบี ได้ให้ข้อคิดและอุทาหรณ์แก่เราไว้
อับดุลลอฮฺ อิบนิ อัมรฺ กล่าวว่า ท่านร่อซูล กล่าวว่า
لاَ تَزَوَّجُوا النِّسَاءَ لِحُسْنِهِنَّ فَعَسَى حُسْنُهُنَّ أنْ يُرْدِيَهُنَّ وَلاَ تَزَوَّجُوْهُنَّ ِلأمْوَالِهِنَّ فَعَسَى أمْوَالُهُنَّ أنْ تُطْغِيَهُنَّ وَلَكِنْ تَزَوَّجُوْهُنَّ عَلَى الدِّيْنِ وَلأَمَةٌ خَرْمَاءُ سَوْدَاءُ ذَاتُ دِيْنٍ أفْضَلُ"
“ท่านทั้งหลาย อย่าแต่งงานกับบรรดาสตรี เนื่องด้วยความสวยงามของนาง อาจเป็นไปได้ว่าความสวย จะทำให้บรรดานางจมอยู่กับความหายนะได้ (ด้วยเหตุแห่งความหลงตัวเองและอวดดี)
อย่าแต่งงานกับบรรดาสตรีเนื่องด้วยทรัพย์สมบัติของนาง อาจเป็นไปได้ว่า ทรัพย์สมบัติจะทำให้บรรดานางผยองพองขน (นับเป็นความเลวร้าย)”