รีบฉกฉวยอิบาดะฮฺ
อับดุลสลาม เพชรทองคำ
ขอให้เราได้ชุกูร ขอบคุณอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาที่ทรงให้เราได้มีชีวิตมาจนถึงขณะนี้ และให้เราได้มีโอกาสถือศีลอดในเดือนเราะมะฎอนในปีนี้ ซึ่งเราก็ได้มีโอกาสทำอิบาดะฮฺ ทำอามัลศอลิหฺต่าง ๆได้อย่างมากมาย ถึงแม้ว่าเราจะอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่ปกติก็ตาม เป็นสถานการณ์ของการระบาดครั้งใหญ่ของโรคปอดอักเสบจากไวรัสโควิด - 19 ที่ระบาดไปทั่วโลก เป็นอีกบะลาอ์หนึ่ง หรือเป็นบททดสอบอีกอย่างหนึ่งที่อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาทรงประสงค์ให้เราได้พบกับสถานการณ์อย่างนี้ และในเดือนเราะมะฎอนอย่างนี้ เพื่อเปิดโอกาสให้เราได้กลับไปหาพระองค์อย่างแท้จริง
ก็คือ ให้เราได้หวนรำลึกถึงพระองค์อยู่เสมอ ๆ ...ได้สรรเสริญพระองค์ในความยิ่งใหญ่ ในเดชานุภาพของพระองค์ ...ได้ขอบคุณพระองค์ในความโปรดปราน ในความดีงามที่พระองค์ทรงมอบให้ ...ได้อิสติฆฟาร คือได้ขออภัยโทษต่อพระองค์ ได้เตาบะฮฺ คือได้กลับเนื้อกลับตัวกลับใจในความผิดพลาดต่าง ๆที่เราได้ไปล่วงละเมิด หรือได้ฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติของพระองค์ทั้งโดยตั้งใจและไม่ตั้งใจ และได้หันกลับมาทำตามคำสั่งของพระองค์อย่างสุดความสามารถของเรา ... พร้อมทั้งให้เราขอความช่วยเหลือในทุกสิ่งทุกอย่างที่มนุษย์ไม่มีความสามารถจะให้ได้ ให้เราได้ขอจากพระองค์เพียงองค์เดียวเท่านั้น ซึ่งจะเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เราไม่ทำชิริกต่ออัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาอย่างเด็ดขาด ...ขอให้อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาโปรดช่วยเหลือเรา ให้สถานการณ์การระบาดของโรคครั้งใหญ่นี้ ได้นำเรากลับไปหาพระองค์อย่างแท้จริง
สำหรับในครั้งนี้ เราจะมารำลึกถึงอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาด้วยการให้เราได้มาพิจารณาอัลกุรอานกัน ในซูเราะฮฺอัรรูม อายะฮฺที่ 54 อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาตรัสว่า
۞ٱللَّهُ ٱلَّذِي خَلَقَكُم مِّن ضَعۡفٖ ثُمَّ جَعَلَ مِنۢ بَعۡدِ ضَعۡفٖ قُوَّةٗ ثُمَّ جَعَلَ مِنۢ بَعۡدِ قُوَّةٖ ضَعۡفٗا وَشَيۡبَةٗۚ يَخۡلُقُ مَا يَشَآءُۚ وَهُوَ ٱلۡعَلِيمُ ٱلۡقَدِيرُ
อายะฮฺนี้ อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาทรงบอกว่า
ٱللَّهُ ٱلَّذِي خَلَقَكُم مِّن ضَعۡفٖ “อัลลอฮฺ คือผู้ทรงสร้างพวกเจ้ามาในสภาพที่ ضَعۡفٖ อ่อนแอ”
นั่นก็หมายความว่า อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาทรงสร้างมนุษย์ขึ้นมาในสภาพที่เกิดมาใหม่ ๆเลย ให้มีสภาพอ่อนแอ ก็คือเกิดมาเป็นทารก เราก็มองเห็นกันอยู่ว่า ทารกช่วยเหลือตัวเองยังไม่ได้ ทำได้ก็แต่เพียงร้องไห้ หิวก็ร้อง เจ็บก็ร้อง ปวดปัสสาวะก็ร้อง ปวดอุจจาระก็ร้อง ต้องมีพ่อแม่ หรือมีผู้ใหญ่มาคอยช่วยเหลือ เลี้ยงดู ล้างก้นเองไม่ได้ ยืน เดิน นั่ง ยังทำอะไรเองไม่ได้เลย นี่แหละคือสภาพที่อ่อนแอ ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ เป็นสิ่งมีชีวิตที่เมื่อเกิดใหม่มีสภาพที่อ่อนแอที่สุด เพราะเราจะเห็นสัตว์หลายต่อหลายชนิดที่พอเกิดมาก็เดินได้แล้ว กินเองได้แล้ว แต่มนุษย์ไม่ใช่อย่างนั้น ...เมื่อมนุษย์เกิดมาเริ่มแรกแล้วอ่อนแอ หลังจากนั้นเล่า อะไรเกิดขึ้น
ثُمَّ جَعَلَ مِنۢ بَعۡدِ ضَعۡفٖ قُوَّةٗ “หลังจากนั้น พระองค์ก็ทรงทำให้สภาพที่อ่อนแอนั้น ได้ قُوَّةٗ แข็งแรงขึ้น”
อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาได้ทรงเปลี่ยนสภาพของทารกจากสภาพที่อ่อนแอ ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้นั้น พระองค์ก็ทรงทำให้ทารกนั้นแข็งแรงขึ้น เติบโตเป็นเด็กเล็ก เริ่มช่วยเหลือตัวเองได้ เป็นเด็กที่เติบโตเติบใหญ่ ทำอะไร ๆได้เอง.. จนเป็นคนหนุ่มคนสาว เป็นผู้ใหญ่วัยฉกรรจ์ ที่แข็งแรง มีกำลังวังชา ทำอะไรได้สารพัด ...หลังจากนั้น อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาทรงบอกต่อไปอีกว่า
ثُمَّ جَعَلَ مِنۢ بَعۡدِ قُوَّةٖ ضَعۡفٗا وَشَيۡبَةٗۚ
“แล้วหลังจากที่แข็งแรง (มีกำลังวังชา)แล้ว(ทำอะไรๆได้สารพัด) (พระองค์)ก็ทรงทำให้อ่อนแอลง และเข้าสู่วัยชรา”
จากที่ร่างกายแข็งแรง มีกำลังวังชา เมื่อแข็งแรงถึงจุดหนึ่ง ร่างกายก็เริ่มอ่อนแอลง เริ่มอ่อนล้า หมดแรงง่าย ทำอะไรนิด ๆหน่อย ๆก็เหนื่อยง่าย ไม่เหมือนช่วงก่อนหน้านี้ที่แข็งแรง ...แต่ช่วงนี้ ร่างกายอ่อนแอลงเรื่อย ๆ จนกระทั่งเข้าสู่วัยชรา วัยแก่เฒ่า บางทีก็เดินไม่ไหว หรือเดินนาน ๆก็เมื่อย ยืนนาน ๆก็ไม่ได้ เจ็บตรงนั้น ปวดตรงนี้ โรคภัยไข้เจ็บเริ่มรุมเร้า บางทีก็ต้องนอนอยู่แต่บนเตียง สิ่งต่าง ๆเหล่านี้เป็นเรื่องที่เราประจักษ์เห็นจริง และนี่แหละคือสิ่งที่อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาทรงกำหนดขั้นตอนให้มนุษย์เป็นไปในลักษณะนี้
يَخۡلُقُ مَا يَشَآءُۚ “อัลลอฮฺทรงสร้างสิ่งที่พระองค์ทรงประสงค์”
พระองค์ทรงประสงค์สิ่งใด พระองค์ก็ทรงทำสิ่งนั้น พระองค์ทรงประสงค์จะให้มนุษย์แต่ละคนมีลักษณะแบบใด พระองค์ก็ทรงสร้างอย่างนั้น จะสูงต่ำดำขาวอย่างไร ผิวพรรณสีอะไร เกิดมามีอวัยวะครบถ้วนไหม สมบูรณ์ไหม หรือไม่สมบูรณ์ จะเกิดมาครบกำหนด หรือจะเกิดก่อนกำหนด หรือจะแท้งออกมาก่อน สิ่งต่าง ๆเหล่านี้ขึ้นอยู่กับความประสงค์ของอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาเองทั้งสิ้น เราไม่สามารถเลือกได้ และไม่มีความสามารถที่จะทำได้ แต่อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาทรงประสงค์จะทำอย่างไรก็ได้ เพราะ...
وَهُوَ ٱلۡعَلِيمُ ٱلۡقَدِيرُ “พระองค์ คือผู้ทรงรอบรู้และทรงเดชานุภาพ”
อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาทรงรอบรู้ในทุกสิ่งในทุกเรื่อง ทั้งเรื่องที่เร้นลับ เรื่องที่เปิดเผย ทั้งในอดีต ปัจจุบันและอนาคต ทรงรู้ตั้งแต่มนุษย์ปฏิสนธิจนกระทั่งตาย ทรงรู้อย่างถี่ถ้วน รู้ไปล่วงหน้าแล้วว่า เราแต่ละคนนั้นจะเป็นอย่างไร เกิดอย่างไร ครบกำหนดคลอดหรือเปล่า โตขึ้นจะเป็นอะไร จะทำอะไร จะตายเมื่อไร ตายอย่างไร อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาทรงทราบไปล่วงหน้าหมดแล้ว และพระองค์ทรงเดชานุภาพ ที่จะทรงกำหนดให้เรื่องราวต่างๆเหล่านั้นเป็นไปตามนั้น ตามที่พระองค์ทรงรู้ล่วงหน้า
เรามาดูอีกอายะฮฺหนึ่ง ในซูเราะฮฺอัลหัจญ์ อายะฮฺที่ 5 อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาตรัสว่า
“โอ้มนุษยชาติทั้งหลาย หากพวกเจ้ามีความเคลือบแคลงสงสัยในการฟื้นคืนชีพขึ้นมา (ในวันกิยามะฮฺ ) ...แท้จริง เราได้สร้างพวกเจ้ามาจากดิน แล้วหลังจากนั้นก็ให้มาจากน้ำเชื้อ ...
แล้วหลังจากนั้นก็มาจากก้อนเลือด แล้วหลังจากนั้นก็มาจากก้อนเนื้อ ทั้งที่เป็นรูปลักษณ์ที่สมบูรณ์ และทั้งที่เป็นรูปลักษณ์ที่ไม่สมบูรณ์ เพื่อเราจะได้แจกแจงแก่พวกเจ้า
(ให้ได้เห็นถึงเดชานุภาพของพระองค์ ให้ได้ใช้สติปัญญา ไตร่ตรองว่า การฟื้นคืนชีพขึ้นมาในวันกิยามะฮฺนั้น มันเป็นเรื่องจริงอย่างแน่นอน ).. โดยเราได้กำหนดให้น้ำเชื้อนั้น เจริญเติบโตอยู่ในมดลูกตามที่เราประสงค์ จนกระทั่งถึงกำหนดคลอดของเขา”
บางคนคลอดออกมาเมื่อถึงครบกำหนดคลอด บางคนอาจจะคลอดก่อนกำหนด บางคนอาจจะแท้งออกมาก่อน
ثُمَّ نُخۡرِجُكُمۡ طِفۡلٗا เราได้ให้พวกเจ้าคลอดออกมาในสภาพที่อ่อนแอ
(เมื่อถึงกำหนดคลอด) เราได้ให้พวกเจ้าคลอดออกมาในสภาพที่ طِفۡلٗا คือสภาพที่อ่อนแอที่สุด อายะฮฺนี้ใช้คำว่า طِفۡلٗا เป็นการเตือนใจเราว่า เกิดมาตอนแรกน่ะ ไม่ได้มีความสามารถอะไร ไม่ได้รู้เรื่องราวอะไรเลย เกิดมาตอนแรกน่ะอ่อนแออย่างที่สุด
ثُمَّ لِتَبۡلُغُوٓاْ أَشُدَّكُمۡۖ “แล้วเรา(อัลลอฮฺ)ได้ให้พวกเจ้าเจริญเติบโตสู่วัยฉกรรจ์”
จากสภาพที่อ่อนแอ อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาก็ให้เราเจริญเติบโตขึ้น แข็งแรงขึ้นจนสู่วัยฉกรรจ์ ด้วยอาหาร ด้วยน้ำ ด้วยเครื่องดื่ม ด้วยอากาศที่เราใช้หายใจ ด้วยปัจจัยยังชีพต่าง ๆ ที่พระองค์ประทานให้ทั้งนั้น กำลังวังชา เรี่ยวแรงในการทำงาน อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาได้ประทานให้ทั้งสิ้น ..เป็นการเตือนใจเราให้ขอบคุณในนิอ์มะฮฺ ความเมตตาที่อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาประทานให้แก่เรา ไม่ใช่ว่าเติบโตแล้ว เก่งแล้วก็หยิ่งยโสโอหังต่อพระองค์ ดื้อดึง ฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติศาสนาของพระองค์
وَمِنكُم مَّن يُتَوَفَّىٰ “แต่ก็มีบางคนที่ตายในวัยที่กำลังเจริญเติบโต”
เราก็ได้เห็นได้ทราบกันอยู่ว่า บางคนเสียชีวิตในวัยเด็ก บางคนเสียชีวิตในวัยฉกรรจ์ เสียชีวิตก่อนที่จะแก่เฒ่า ไม่ใช่ว่าคนทุกคนต้องมาเสียชีวิตในวัยชรา
وَمِنكُم مَّن يُرَدُّ إِلَىٰٓ أَرۡذَلِ ٱلۡعُمُرِ “และในบรรดาพวกเจ้าบางคนก็เข้าสู่วัยตกต่ำที่สุดแห่งชีวิต”
คำว่า أَرۡذَلِ ٱلۡعُمُرِ อัรซะลิลอุมุร คือวัยที่ตกต่ำที่สุดแห่งชีวิต ...อุละมาอ์อธิบายว่า ช่วงนี้ไม่ได้หมายถึงช่วงอายุใดช่วงอายุหนึ่งเป็นการเฉพาะ ไม่ได้หมายถึงช่วงเวลาที่แก่เฒ่า ไม่ใช่อายุ 50 ปี ไม่ใช่ 60 ปี ไม่ใช่ 70 ปี แต่เป็นช่วงอายุเท่าไรก็ได้ โดยอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาทรงอธิบายช่วงชีวิตนี้ไว้ว่า
لِكَيۡلَا يَعۡلَمَ مِنۢ بَعۡدِ عِلۡمٖ شَيۡٔٗاۚ “เพื่อที่พวกเจ้าจะได้ไม่มีความรู้อะไรแม้แต่สิ่งเดียว หลังจากที่เคยได้รู้มาแล้ว”
เคยรู้เรื่องราวของบทบัญญัติศาสนามาแล้ว รู้เรื่องราวที่ถูกต้องมาแล้ว แต่กลับมาทำชิริก ทำบิดอะฮฺ บางทีก็มาบิดเบือนอัลกุรอาน หรือมาส่งเสริมในเรื่องราวเหล่านี้ ...ซึ่งเหล่านี้คือความตกต่ำที่สุดของชีวิต เป็นช่วงวัยที่คนบางคนไม่รู้ตัวเลย หรือบางทีก็กลับมามีพฤติกรรมแบบเด็ก ๆ
นักมุฟัสสิรีน หรือนักอรรถาธิบายอัลกุรอานส่วนใหญ่ ได้บอกสาเหตุของการกลับสู่ความตกต่ำที่สุดแห่งชีวิตไว้ว่า พวกเขามักจะมีปัญหาในหลักการยึดมั่นเกี่ยวกับหลักเตาฮีด หรือหลักเอกภาพของอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา พวกเขามีการเคลือบแฝงในความคิดหรือการปฏิบัติในเรื่องราวของบทบัญญัติศาสนาของพวกเขา อาจจะ تعصب ตะอัศศุบ คลั่งไคล้ ต่อคนที่เขารักเขาชอบจนเกินขอบเขตศาสนา อาจจะไปยึดทัศนะที่ตนเองคิดว่าดีโดยไม่ได้ยึดหลักของบทบัญญัติศาสนา หรืออาจจะไปเอาความคิดเห็นของตัวเองไปสอดแทรกในบทบัญญัติศาสนาของอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา
ดังนั้น เรื่องสำคัญที่สุดที่จะทำให้เราพ้นจากช่วง أَرۡذَلِ ٱلۡعُمُرِ อัรซะลิลอุมุร ช่วงวัยที่ตกต่ำที่สุดแห่งชีวิต ก็คือ ต้องขจัดเรื่องของ ชิรกุนบิลลาฮฺ คือเรื่องของการชิริกต่ออัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาให้หมดสิ้นไป อย่าให้มีอย่างเด็ดขาด จึงเป็นเรื่องที่เราต้องศึกษาหาความรู้ว่า เรื่องอะไรบ้างที่เป็นเรื่องของการทำชิริกต่ออัลลอฮฺ ซุบฮานะฮุวะตะอาลา เราจะได้ระมัดระวังตัวเอง ไม่ไปทำสิ่งนั้น และเป็นเรื่องที่เราต้องคอยขออิสติฆฟาร และเตาบะฮฺตัวต่ออัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาอยู่อย่างสม่ำเสมอ พร้อมกับให้ขอดุอาอ์บทที่ว่า
«اللَّهُمَّ إِنِّي أعُوذُ بِكَ من البُخْلِ ، وأعُوذُ بِكَ من الجُبْنِ ، وأعُوذُ بِكَ من أَنْ أُرَدَّ إلى أَرْذَلِ العُمُرِ، وأعُوذُ بِكَ مِنْ فِتْنَةِ الدُّنْيَا وعذابِ القَبْرِ »
“โอ้อัลลอฮฺ แท้จริง ข้าพระองค์ขอความคุ้มครองจากพระองค์ให้พ้นจากความตระหนี่ถี่เหนียว
ขอความคุ้มครองจากพระองค์ให้พ้นจากความขี้ขลาด (ไม่กล้าต่อสู้เพื่อบทบัญญัติศาสนาของพระองค์)
ขอความคุ้มครองจากพระองค์ให้พ้นจากการกลับไปสู่วัยตกต่ำที่สุดแห่งชีวิต
ขอความคุ้มครองจากพระองค์ให้พ้นจากฟิตนะฮฺต่าง ๆบนหน้าดุนยา ( เรื่องของการฝ่าฝืนบทบัญญัติศาสนา การละเมิด การทำชิริก การปฏิเสธ การหน้าไหว้หลังหลอก ขอให้ได้พ้นไปจากสิ่งเหล่านี้ )
และขอความตุ้มครองจากพระองค์ให้พ้นจากอะซาบหรือการลงโทษในกุบูร”
นี่ก็คือ ดุอาอ์บทหนึ่งที่ท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมอ่านทุกครั้งหลังละหมาดฟัรฎูทั้งห้าเวลา ก็ขอให้เราดำเนินตามท่านนบีในเรื่องนี้ เพื่อประโยชน์แก่ตัวของเราเอง
สำหรับอายะฮฺทั้งสองที่พูดมาข้างต้นนั้น เป็นอายะฮฺที่อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาทรงให้ท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมได้ประกาศออกไป ...ประกาศแก่บรรดาผู้คนที่พวกเขาไม่เชื่อว่า การฟื้นคืนชีพในวันกิยามะฮฺจะเกิดขึ้นจริง พวกเขาบอกว่า เมื่อคนเราตายไปแล้ว ร่างกายเน่าเปื่อย กระดูกผุกร่อนกลายเป็นผุยผงไปหมดแล้ว ไม่เหลือสภาพเดิมแล้ว แล้วมันจะกลับฟื้นคืนชีพขึ้นมาในสภาพเดิมได้อย่างไร พวกเขาไม่เชื่อว่า มันจะเป็นไปได้ ..... อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาจึงได้ทรงยืนยันถึงเดชานุภาพของพระองค์
พระองค์ทรงบอกว่า จากที่ไม่มีอะไรเลย ไม่เคยมีมนุษย์มาก่อนเลย พระองค์ก็ทรงสร้างท่านนบีอาดัม อะลัยฮิสสลามให้เป็นมนุษย์คนแรก โดยทรงนำดินมา แล้วพระองค์ก็ตรัสเพียงว่า كُنْ فَيَكُونُ กุน ฟะยะกูน จงเป็น แล้วมันก็เป็นขึ้นมา ท่านนบีอาดัมก็เกิดเป็นมนุษย์คนแรก และจากกระดูกซี่โครงข้างซ้ายด้านหลังของท่านนบีอาดัม ซึ่งเป็นส่วนที่โค้งงอที่สุด อัลลอฮ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาก็ทรงสร้างพระนางฮาวาจากซี่โครงซี่นั้นให้เป็นคู่ครองของท่านนบีอาดัม ซึ่งบรรดาผู้ที่ปฏิเสธการฟื้นคืนชีพในวันกิยามะฮฺต่างก็ยอมรับในเรื่องนี้
และจากทั้งท่านนบีอาดัมและพระนางฮาวา อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาก็ทรงทำให้เกิดขั้นตอนของการกำเนิดมนุษย์ คือจากน้ำเชื้อและอสุจิ ให้เกิดการปฏิสนธิ กลายเป็นก้อนเลือด กลายเป็นก้อนเนื้อ ทำให้ก้อนเนื้อนั้นมีเนื้อหุ้มกระดูก มีวิญญาณ ก่อกำเนิดอยู่ในมดลูกของผู้หญิง จนถึงกำหนดของแต่ละคน ก็คลอดออกมา จากที่ให้อ่อนแอในตอนแรก แล้วก็ให้แข็งแรง แล้วก็กลับมาอ่อนแออีกครั้งหนึ่ง แล้วก็ตายจากไป ...ซึ่งสิ่งต่าง ๆเหล่านี้คือเดชานุภาพของพระองค์ พระองค์ทรงทำมาแล้ว ...แล้วทำไม กับการที่จะทำให้สิ่งที่เคยมีมาแล้ว แต่ตายไปแล้ว มันกลับมามีขึ้นใหม่ ซึ่งมันย่อมง่ายกว่าอย่างแน่นอน ทำไมพระองค์จะทรงทำไม่ได้ ดังนั้น ไม่ต้องมาปฏิเสธเรื่องของการฟื้นคืนชีพในวันกิยามะฮฺ ที่มันจะต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอน
การฟื้นคืนชีพในวันกิยามะฮฺเป็นเรื่องของความยุติธรรมอย่างที่สุด ที่อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาจะทรงมอบให้แก่บ่าวของพระองค์ทุกคน ..ในโลกดุนยานี้ เราอาจไม่ได้รับความยุติธรรม แต่เราไม่สามารถทำอะไรได้ บางทีก็ต้องปล่อยเลยตามเลย แต่ในวันกิยามะฮฺ ในโลกอาคิเราะฮฺ เราจะได้รับความยุติธรรม ได้รับความถูกต้องที่สุดจากอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ทุกคนจะต้องถูกสอบสวนในการกระทำทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่เว้นแม้แต่สิ่งเล็กน้อย ก็ต้องถูกนำสอบสวน และผลของการสอบสวนก็คือ ได้รับที่อยู่ที่พำนักตลอดกาลในโลกอาคิเราะฮฺ จะเป็นนรกหรือเป็นสวรรค์ก็ขึ้นอยู่กับผลของการสอบสวนนั้น
ที่พำนักในนรกได้มาอย่างง่าย ๆ ไม่ต้องฝ่าฟันอะไรมาก ทำมะอ์ศิยะฮฺ ทำสิ่งที่ฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติของอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาก็สามารถเข้าไปพำนักได้แล้ว แต่ไม่มีใครประสงค์อยากจะเข้าไป ...ในขณะที่ สวรรค์ของอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ทุกคนล้วนมีความปรารถนาอยากจะได้ แต่การจะเข้าสวรรค์ของอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลานั้น ต้องเป็นบุคคลที่อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาทรงอนุญาตเท่านั้น บุคคลเหล่านั้นก็คือผู้ที่บริสุทธิ์ปราศจากความผิดทั้งหมดที่อัลลอฮฺ ซุบบฮานะฮูวะตะอาลาทรงกำหนดไว้
ดังนั้น การดำเนินชีวิตประจำวันของเรานั้นจึงต้องมีเป้าหมายในการทำบาปให้น้อยที่สุด แต่เพราะเราเป็นมนุษย์ที่ต้องมีการทำผิด ซึ่งเป็นเรื่องปกติ เพราะเรายังมีชะอ์วะฮฺ มีอารมณ์ใคร่ใฝ่ต่ำ แล้วก็ยังมีการล่อหลอกของชัยฏอนที่มันมาทำหน้าที่ก่อกวนเราอยู่ตลอดเวลา แต่สิ่งที่สำคัญก็คือ เมื่อเราทำผิด หรือทำบาปไปแล้ว เราต้องรู้สำนึกตัวเอง และต้องคอยอิสติฆฟาร คอยเตาบะฮฺตัวของเราอยู่ตลอดเวลา เพื่อให้อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาทรงอภัยโทษในความผิดต่าง ๆทั้งหมดให้แก่เรา เราจะได้มีโอกาสเข้าสวรรค์ของพระองค์.. แล้วก็ให้เราทำความดี ทำอิบาดะฮฺ ทำอามัลศอลิหฺอยู่เสมอๆ เพื่อให้ความดีนั้นมันมาช่วยเสริมในการลบล้างบาปออกจากตัวเรา มาผลักดันให้เราได้เข้าสวรรค์ และมาช่วยเพิ่มขั้นในสวรรค์ให้กับเรา ...
หากเราปล่อยให้ความผิดต่าง ๆ สุมอยู่ในตัวเรา โดยเราไม่อิสติฆฟาร ไม่เตาบะฮฺ ไม่แก้ไขอะไรเลย เราก็จะต้องไปถูกชำระโทษในวันกิยามะฮฺ ซึ่งมันเป็นโทษที่รุนแรงสาหัสสากรรจ์มาก ก่อนที่เราจะมีโอกาสได้เข้าสวรรค์ของอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ยกเว้น โทษของการชิริกต่ออัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา หากใครไม่เตาบะฮฺตัวก่อนเสียชีวิต เขาจะต้องถูกลงโทษให้พำนักอยู่ในนรกตลอดกาล
แต่หากเราปล่อยชีวิตของเราให้ดำเนินไปเรื่อย ๆ ใช้ชีวิตสบาย ๆไปวัน ๆ ไม่ได้สนใจบทบัญญัติศาสนา ทำการงานทุกสิ่งทุกอย่างโดยไม่มีเป้าหมายเพื่อโลกอาคิเราะฮฺ ไม่ได้ยึดมั่นขอบเขตของบทบัญญัติศาสนา ...อุละมาอ์บอกว่า เขาผู้นั้นก็เปรียบเสมือนคนที่ปฏิเสธเรื่องของการฟื้นคืนชีพในวันกิยามะฮฺเช่นกัน ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่เราต้องระมัดระวังในเรื่องนี้
ในแต่ละวัน ในแต่ละเดือน เมื่อชีวิตของเราต้องดำเนินไปในลักษณะนี้ก็คือ ทำบาปที่อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาทรงกำหนดมาให้น้อยที่สุด หรือไม่ทำเลยได้ยิ่งดีใหญ่ ...ต้องอิสติฆฟาร เตาบะฮตัวอยู่เสมอ ๆ ...รีบเร่งฉกฉวยทำอิบาดะฮฺให้มาก ๆ ทำความดีมาก ๆเพื่อที่ในโลกอาคิเราะฮฺ เราจะได้รับความสุขความสบาย ไม่ต้องมาถูกลงโทษในกุบูร ไม่ต้องมาถูกลงโทษในไฟนรกในวันกิยามะฮฺ ...
ด้วยเหตุนี้เอง อันเนื่องมาจากความเมตตาของอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาที่ทรงมีต่อบ่าวของพระองค์ ว่าจะต้องถูกลงโทษ พระองค์ก็ทรงให้เดือนเราะมะฎอนมาเป็นเดือนพิเศษในรอบปี เพื่อเปิดโอกาสให้บ่าวของพระองค์ได้ทำอิบาดะฮฺ ได้ทำอามัลศอลิหฺต่าง ๆโดยที่อิบาดะฮฺนั้นมันจะมาลบล้างบาปให้กับเรา อีกทั้งยังมาเพิ่มขั้นในสวรรค์ให้กับเรา
- ถือศีลอดในเวลากลางวันด้วยหัวใจที่บริสุทธิ์เพื่ออัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา และหวังรางวัลจากพระองค์ เช่นนี้ พระองค์ก็จะทรงลบล้างบาป ลบล้างความผิดให้กับเรา
- ละหมาดกิยามในเวลากลางคืนด้วยหัวใจที่บริสุทธิ์เพื่ออัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา และหวังรางวัลจากพระองค์ เช่นนี้ พระองค์ก็จะทรงลบล้างบาป ลบล้างความผิดให้กับเรา
- อิบาดะฮฺต่าง ๆที่เราทำในเดือนเราะมะฎอนนั้น ทั้งการถือศีลอดที่ถูกต้องตามรูปแบบ ทั้งละหมาดต่าง ๆ ทั้งการอ่านอัลกุรอาน ทั้งการบริจาค การเศาะดาเกาะฮฺ การขอดุอาอ์ที่ถูกตอบรับ อิบาดะฮฺต่าง ๆเหล่านี้ได้รับผลบุญตอบแทนเป็นทบทวีคูณทั้งสิ้น จึงเป็นเรื่องที่เราต้องฉกฉวย ....ใช้คำว่าฉกฉวย เพราะเป็นเรื่องที่เราต้องไปเอามาอย่างรวดเร็ว ต้องลงมือทำอย่างรวดเร็ว ก่อนที่โอกาสจะหมดไป ...ก่อนที่วัยหนุ่มวัยสาวจะหมดไป หรือก่อนที่วัยฉกรรจ์จะหมดไป ก่อนที่กำลังวังชาจะหมดไป หรือก่อนที่จะตายจากไป หรือก่อนที่จะถึงช่วงที่ตกต่ำที่สุดแห่งชีวิต
อัลหะดีษ(เศาะหิหฺ)ในบันทึกของอิมามอัลฮากิม รายงานจากท่านอับดุลลอฮฺ อิบนุอับบาส เล่าว่า ท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมกล่าวแก่เศาะฮาบะฮฺท่านหนึ่งว่า
«اغْتَنِمْ خَمْسًا قَبْلَ خَمْسٍ: شَبَابَكَ قَبْلَ هَرَمِكَ، وَصِحَّتَكَ قَبْلَ سَقَمِكَ، وَغِنَاكَ قَبْلَ فَقْرِكَ، وَفَرَاغَكَ قَبْلَ شُغُلِكَ، وَحَيَاتَكَ قَبْلَ مَوْتِكَ»
“ท่านจงฉกฉวยห้าประการ ก่อนที่อีกห้าประการจะมาถึง ...(นั่นก็ได้แก่ 1) วัยชะบาบของท่านก่อนความชราจะมาถึง (วัยชะบาบหมายถึงวัยหนุ่มวัยสาว) ...(2)สุขภาพที่ดีของท่านก่อนที่ท่านจะเจ็บไข้ได้ป่วย ...(3)ความร่ำรวยของท่านก่อนที่ท่านจะยากจน ...(4)เวลาว่างของท่านก่อนที่ท่านจะมีภาระยุ่งเหยิง ...และ(5)ชีวิตของท่านก่อนความตายของท่านจะมาถึง”
ดังนั้น ในขณะนี้ ท่านกำลังอยู่ในสภาพใด พิจารณาดู ..หากยังอยู่ในวัยหนุ่มสาว อยู่ในวัยฉกรรจ์ ท่านมีโอกาสที่จะสะสมอามัลศอลิหฺ สะสมอิบาดะฮฺไว้ให้มาก ๆ เพราะเรี่ยวแรงท่านยังมี ยังมีกำลังวังชา ยังอดหลับอดนอนได้ ดังนั้น ให้ใช้ชีวิต ใช้เวลา ทำการงานทุกสิ่งทุกอย่างให้อยู่กับเรื่องราวบทบัญญัติศาสนา อยู่ในขอบเขตของบทบัญญัติศาสนา ...
เศาะฮาบะฮฺของท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมส่วนใหญ่ต่างก็อยู่ในวัยชะบาบทั้งสิ้น ... หากท่านละทิ้งโอกาสตรงนี้ ไปคิดเอาเองว่า ไว้ไปทำตอนแก่ ท่านคิดว่า ท่านจะมีชีวิตอยู่ถึงเวลานั้นหรือไม่ หรือถ้ามีโอกาสอยู่ถึง ท่านจะมีกำลังวังชาที่จะฉกฉวยทำอิบาดะฮฺหรือเปล่า ...
ส่วนสำหรับคนที่มีสุขภาพดีไม่ว่าท่านจะอยู่ในวัยไหน นั่นเป็นความโปรดปรานอย่างหนึ่งที่อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาทรงมอบให้ท่าน ท่านก็จงฉกฉวยทำอิบาดะฮ ทำอามัลศอลิหฺให้มาก ๆ เช่นเดียวกัน เพราะเมื่อเวลาที่ท่านเกิดเจ็บไข้ได้ป่วย ท่านก็จะทำอิบาดะฮฺได้ไม่เต็มที่ เพราะสภาพร่างกายท่านไม่อำนวย ...
ส่วนสำหรับทั้งความร่ำรวย ทั้งเวลาว่างที่เรามี เราก็ไม่ทราบว่าจะอยู่กับเรานานไหม จะอยู่ตลอดไปหรือไม่ เราจึงต้องไม่ปล่อยให้มันสูญค่า โดยเราต้องฉกฉวยสิ่งเหล่านั้นมาเป็นประโยชน์โดยการใช้มันไปในหนทางของอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ก่อนที่ความตายจะมาถึงเรา เพราะเมื่อถึงวันนั้น อิบาดะฮฺ การงานทุกสิ่งทุกอย่างถูกตัดขาดหมดแล้ว
ดังนั้น การฉกฉวยทำอิบาดะฮฺ ทำอามัลศอลิหฺสะสมไว้ในเวลาที่เรามีโอกาส มีความสามารถที่จะทำได้ตลอดช่วงระยะเวลาของเราหรือตลอดช่วงชีวิตของเรา มันจะส่งผลดีต่อเราในระยะยาว เพราะเมื่อใดก็ตาม หรือเมื่อเวลาใดก็ตามที่เราไม่มีความสามารถ อยู่ในสภาพที่ไม่เอื้อต่อการทำอิบาดะฮฺ
เช่นว่า ท่านเคยทำละหมาดสุนัตอยู่เสมอ ละหมาดสุนัตเราะวาติบ ( คือละหมาดก่อนหรือหลังละหมาดฟัรฎู ) ทำอยู่เป็นประจำ แล้ววันหนึ่งที่ท่านต้องไปนอนโรงพยาบาล ไม่มีความสามารถที่จะทำละหมาดสุนัตที่เคยทำอยู่เป็นประจำได้ แล้วใจของท่านก็อยากทำเหลือเกิน กรณีอย่างนี้ ถึงแม้ท่านจะไม่ได้ทำละหมาดสุนัตนี้ในขณะที่ท่านนอนอยู่โรงพยาบาล แต่อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาจะทรงบันทึกผลบุญของการละหมาดสุนัตนั้นให้แก่ท่านเช่นเดียวกับตอนที่ท่านยังมีสุขภาพดี ..สำหรับกรณีอื่น ๆก็เช่นกัน ..นี่ก็คือผลดีของการฉกฉวยทำอิบาดะฮฺไว้เมื่อตอนยังมีโอกาส ซึ่งเมื่ออยู่ในเดือนเราะมะฎอนเช่นนี้ก็ยิ่งต้องรีบฉกฉวยให้มากกว่าปกติยิ่งไปอีก
สุดท้ายนี้ ขออัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาโปรดเมตตาเราให้มีชีวิตอยู่จนจบเราะมะฎอนในปีนี้ ให้ได้มีโอกาสฉกฉวยทำอิบาดะฮฺ ทำอามัลศอลิหฺต่าง ๆได้อย่างมากมาย และขอเน้นย้ำว่า ..อิบาดะฮฺทุกสิ่งทุกอย่างที่เราลงมือ ลงทุนลงแรงทำไปนั้น จะได้รับการตอบรับจากอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาก็ต่อเมื่อ ...อิบาดะฮฺนั้นทำไปเพื่ออัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาเพียงองค์เดียวเท่านั้น ไม่มีชิริกใด ๆทั้งสิ้น ทั้งชิริกใหญ่และชิริกเล็ก ไม่มีการโอ้อวดแฝงอยู่ในอิบาดะฮฺนั้นเลย และในขณะเดียวกัน อิบาดะฮฺนั้นต้องตรงตามแบบฉบับของท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม นั่นก็คือไม่ทำบิดอะฮฺด้วย ต้องครบเงื่อนไขทั้งสองประการ อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาจึงจะทรงตอบรับการทำอิบาดะฮฺของเรา ...
และขอพระองค์โปรดให้เรามีชีวิตอยู่และได้พบกับเดือนเราะมะฎอนอีกในปีหน้า ..อินชาอัลลอฮฺ
( มัสญิดดารุลอิหฺซาน บางอ้อ )