อันเนื่องมาจากไวรัสโควิด -19
อับดุลสลาม เพชรทองคำ
ขณะนี้เป็นที่ทราบกันโดยทั่วไปแล้วว่า เรากำลังเผชิญอยู่กับสถานการณ์โรคปอดอักเสบจากไวรัสโควิด -19 ถือเป็นโรคอุบัติใหม่ที่กำลังระบาดไปทั่วโลก ซึ่งขณะนี้ทาง WHO หรือองค์การอนามัยโลก ได้ประกาศอย่างเป็นทางการแล้ว โดยให้ยกระดับสถานการณ์โรคปอดอักเสบที่เกิดจากไวรัสโควิด - 19 จากระดับ อีพิดีมิค ( EPIDEMIC ) คือ การแพร่ระบาด เป็น แพนดีมิค ( PANDEMIC ) คือ การแพร่ระบาดครั้งใหญ่
ซึ่งผู้อำนวยการองค์การอนามัยโลก คือนายแพทย์ทีโดรส อัดฮานอม กีบรีเยซุส ( Tedros Adhanom Ghebreyesus) ได้เน้นว่า ... การประกาศให้โรคนี้เป็นการแพร่ระบาดครั้งใหญ่นั้นไม่ได้เกี่ยวกับความรุนแรงของโรค หากแต่เป็นการแสดงถึงนัยยะของความหนักหนาสาหัสของการระบาดของโรคที่มันแพร่ระบาดออกไปอย่างง่ายดาย รวดเร็ว และแพร่ออกไปอย่างกว้างขวาง จึงทำให้มีผู้ติดไวรัสเป็นจำนวนมากมาย ซึ่งอาจทำให้เกิดการรักษาที่ไม่ทันท่วงที
ไวรัสโควิด - 19 เป็นไวรัสที่อยู่ในตระกูลของไวรัสโคโรนา ตามคำอธิบายที่ได้รับทราบจากคุณหมอหลาย ๆท่าน ซึ่งตระกูลของไวรัสโคโรนานี้มีอยู่หลายสายพันธุ์ แต่มี 3 สายพันธุ์ที่มันเป็นอันตรายที่เรารู้จักกันมาแล้ว นั่นก็ได้แก่
1.สายพันธุ์ซาร์ส ( SARS-Cov) เริ่มระบาดในจีน เมื่อปี ค.ศ.2003 หรือปี พ.ศ.2546
2.สายพันธุ์เมอร์ส ( MERS-Cov ) เริ่มระบาดที่ซาอุดิอารเบียและแถบประเทศตะวันออกกลาง เมื่อปี ค.ศ. 2012 หรือปี พ.ศ. 2555
3. สายพันธุ์โควิด - 19 ( covid -19 ) เริ่มระบาดในเมืองอูฮั่น ประเทศจีน เมื่อปลายปี ค.ศ.2019 หรือปลายปี พ.ศ. 2562 ที่เพิ่งผ่านมา และขณะนี้ก็ยังระบาดอยู่
คุณหมออธิบายว่า อาการของโรคจากไวรัสนี้สามารถรักษาให้หายได้ เมื่อเริ่มมีอาการ หากรีบรักษาไปตามอาการ ก็สามารถรักษาให้หายได้ ... แต่ความหนักหนาสาหัสของโรคที่เกิดจากไวรัสนี้ก็คือ มันติดต่อได้ง่ายจากสารคัดหลั่งต่าง ๆ เช่น น้ำมูก น้ำลาย หรือแม้แต่แค่ละอองน้ำลาย ที่มาจากการพูด การไอ การจาม ของคนที่ติดไวรัสนี้ หรือการสัมผัสกับผู้ที่ติดไวรัสโดยการจับมือ การสวมกอด
โดยที่คนที่ติดไวรัสนี้อาจจะยังไม่ทราบว่าตัวเองได้รับไวรัสนี้ไปแล้ว เพราะกว่าจะแสดงออกมาก็เป็นเวลา 14 วันเป็นอย่างน้อย ซึ่งในระหว่างนี้ เขาก็สามารถแพร่ไวรัสไปสู่ผู้อื่นได้ง่ายๆ
ในเมื่อตัวเองก็ยังไม่ทราบว่าตัวเองติดไวรัสนี้ ก็เดินทางไปโน้นไปนี่ ติดต่อคนโน้นคนนี้ ก็อาจจะไปแพร่ไวรัสนี้ให้คนอื่นที่อยู่รอบ ๆตัว จากหนึ่งคน เป็นสองคน สามคน ก็ติดต่อกันไปเรื่อย ๆ แล้วคนแต่ละคนที่ได้รับไวรัสนี้ไป ก็เอาไวรัสนี้ไปแพร่สู่คนอื่น ๆอีก จากสิบคน เป็นยี่สิบคน เป็นสามสิบคน เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด เป็นร้อยคน สองร้อยคน นี่แหละคือการแพร่ระบาดมันจะไปอย่างรวดเร็ว และขยายเป็นวงกว้าง เพราะคนที่ได้รับไวรัสต่างไม่อยู่กับที่ ยังไปโน้นไปนี่อยู่ตลอดเวลา และสิ่งที่ตามมาก็คือ เมื่อมีผู้ติดไวรัสมากขึ้น มีผู้ป่วยเพิ่มมากขึ้น โอกาสของการเสียชีวิตก็มีมากขึ้น อันเนื่องมาจากบุคคลากรทางการแพทย์ เช่น คุณหมอมีจำนวนไม่พอ พยาบาลมีไม่พอ เจ้าหน้าที่ต่าง ๆ หรือเวชภัณฑ์ ยารักษา อุปกรณ์ทางการแพทย์ เช่น เครื่องช่วยหายใจ มีไม่พอกับจำนวนผู้ป่วย เกิดการรักษาไม่ทัน โอกาสของการเสียชีวิตจึงมีมากขึ้นนั่นเอง...
เมื่อเราต้องเผชิญสถานการณ์ของโรคระบาดเช่นในขณะนี้ ที่คนบาดเจ็บล้มตายเป็นจำนวนมากขึ้นเรื่อย ๆ เราก็อาจจะตื่นตระหนก อาจจะหวาดกลัว วิตกกังวลว่า ฉันจะเป็นโรคนี้ไหม ฉันจะติดไวรัสนี้หรือไม่ ฉันจะเป็นอย่างนั้นไหม ฉันจะเป็นอย่างนี้ไหม มีความกระวนกระวายใจ ... เมื่อเป็นอย่างนี้ สิ่งที่จะช่วยเราให้มีจิตใจที่นิ่งสงบได้ ไม่หวาดกลัวหรือวิตกกังวลจนเกินเหตุ ก็คือ การกลับมาสู่บทบัญญัติศาสนาของอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา กลับมาสู่อะกีดะฮฺหรือความเชื่อมั่นของเรา และกลับมาสู่อีมานหรือการศรัทธาของเรา ซึ่งสิ่งแรกที่เราควรย้ำเตือนตัวเราก็คือ เรื่องของโรคระบาดนั้น มันเป็นเรื่องของตักดีร คือเรื่องของการกำหนดของอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ..
ในอัลกุรอานซูเราะฮฺอัตเตาบะฮฺ อายะฮฺที่ 51 อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาตรัสว่า
﴿ قُل لَّن يُصِيبَنَآ إِلَّا مَا كَتَبَ ٱللَّهُ لَنَا هُوَ مَوۡلَىٰنَاۚ وَعَلَى ٱللَّهِ فَلۡيَتَوَكَّلِ ٱلۡمُؤۡمِنُونَ ﴾
“(มุฮัมมัด) จงประกาศออกไปเถิดว่า ..จะไม่(มีสิ่งใด)ประสบแก่เราอย่างเด็ดขาด นอกจาก مَا كَتَبَ ٱللَّهُ لَنَا สิ่งที่อัลลอฮฺได้ทรงกำหนดแก่เราไว้แล้วเท่านั้น ซึ่งพระองค์เป็นผู้ทรงคุ้มครองเรา และแด่อัลลอฮฺนั้น มุอ์มินผู้ศรัทธาทั้งหลาย จงมอบหมายเถิด”
การกำหนดของอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ก็คือเกาะฎอเกาะดัรนั้น เป็นรุก่นประการที่หกในเรื่องของหลักการศรัทธาของมุสลิม ซึ่งมุสลิมต้องมีความเชื่อมั่นในเรื่องนี้ เชื่อว่าเป็นเรื่องจริง ...เป็นเรื่องของการเชื่อมั่นอย่างหนักแน่นมั่นคงว่า ..ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นในโลกนี้ ล้วนเกิดมาจากความประสงค์และการบันดาล (คือการทำให้เกิดขึ้น )ของอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาทั้งสิ้น
โดยที่เราต้องมีความเชื่อมั่นศรัทธาว่า อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาทรงรอบรู้ในทุกสิ่งทุกอย่างทั้งโดยสังเขปและโดยละเอียดถี่ถ้วน ไม่ว่าสิ่งนั้นจะลี้ลับสักปานใด หรือมันจะเล็กยิบย่อยเป็นผงธุลี ก็ไม่สามารถรอดพ้นไปจากความรอบรู้ของพระองค์ได้ ..เข็มสักเล่มตกลงไปในมหาสมุทร อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาก็ทรงรู้ว่ามันตก แล้วก็ทรงรู้ด้วยว่า มันตกไปตรงไหน เป็นความรู้ของพระองค์ที่มีมาแต่ดั้งเดิม และเป็นความรู้ตลอดกาล เหตุการณ์ทั้งในอดีต ปัจจุบัน และอนาคต ทั้งหมดต่างอยู่ในความรอบรู้ของพระองค์ทั้งสิ้น ...
ดังนั้น เมื่อพระองค์ทรงรอบรู้ในทุกสิ่งดังกล่าวแล้ว พระองค์ก็ทรงบันทึกทุกสิ่งที่พระองค์ทรงรู้ทั้งหมดนั้นไว้ในสิ่งบันทึกของพระองค์ที่เรียกว่า อัลเลาฮิลมะหฺฟูซ ( اللوح المحفوظ ) และทุกสิ่งที่ถูกบันทึกไว้นี้ก็คือ สิ่งถูกกำหนดไว้แล้ว ..เมื่อทุกสิ่งถูกบันทึกไว้แล้ว ถูกกำหนดไว้แล้ว อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาก็ทรงบันดาลให้เป็นไปตามนั้น ตามที่พระองค์ทรงประสงค์
สิ่งใดที่อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาทรงประสงค์ให้มันเกิดขึ้น มันก็จะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน ไม่มีใครห้ามได้ .. แต่หากพระองค์ไม่ทรงประสงค์ให้มันเกิดขึ้น มันก็จะไม่เกิดขึ้นอย่างเด็ดขาด แม้ว่าจะมีใครพยายามที่จะทำให้มันเกิดขึ้นก็ตาม เพราะแท้จริงแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างที่ถูกสร้างขึ้นมานั้น เป็นกรรมสิทธิ์ของอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาองค์เดียวเท่านั้น
ในอัลกุรอานซูเราะฮฺอัลอันอาม อายะฮฺที่ 17 อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาตรัสว่า
﴿ وَإِن يَمۡسَسۡكَ ٱللَّهُ بِضُرّٖ فَلَا كَاشِفَ لَهُۥٓ إِلَّا هُوَۖ وَإِن يَمۡسَسۡكَ بِخَيۡرٖ فَهُوَ عَلَىٰ كُلِّ شَيۡءٖ قَدِيرٞ ﴾
“และหากว่า อัลลอฮฺทรงให้ความเดือดร้อนอย่างหนึ่งอย่างใดประสบแก่เจ้าแล้ว ก็ไม่มีผู้ใดจะปลดเปลื้องมันได้ นอกจากพระองค์เท่านั้น ...และหากพระองค์ทรงให้ความดีอย่างหนึ่งอย่างใดประสบแก่เจ้า แท้จริง พระองค์นั้นทรงเดชานุภาพเหนือทุกสิ่งทุกอย่าง”
อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาทรงบอกว่า พระองค์ทรงเดชานุภาพเหนือทุกสิ่งทุกอย่าง ดังนั้น พระองค์จึงทรงมีอำนาจที่จะให้โทษ หรือให้ความเดือดร้อน หรือให้ภยันตรายอย่างหนึ่งอย่างใดมาประสบกับเราก็ได้ โดยที่ไม่มีใครสามารถที่จะมาห้ามได้ นอกจากอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาเท่านั้น ...หรือพระองค์จะทรงให้ประโยชน์ ให้ความดีอย่างหนึ่งอย่างใดมาประสบกับเราก็ได้ตามที่พระองค์ทรงประสงค์ ...
ซึ่งโรคระบาดก็เป็นอย่างหนึ่งในบรรดาสิ่งที่นำความเดือดร้อนมาสู่มนุษย์ หรือเป็นภยันตรายต่อมนุษย์ ..เมื่ออัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาทรงประสงค์จะให้มีโรคระบาด มันก็จะเกิดขึ้น ไม่มีใครมาห้ามได้ ...บางคนอาจจะมาบอกว่า โรคนี้เกิดมาจากการทดลองของมนุษย์ ซึ่งหากเป็นอย่างนั้นจริงก็เถอะ ถ้าหากอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาไม่ประสงค์ให้มันระบาดขึ้นมา มันก็ไม่สามารถระบาดได้ ...นี่ก็คือหลักอะกีดะฮฺหรือหลักการเชื่อมั่นของชาวอะฮฺลุซซุนนะฮฺ วัลญะมาอะฮฺ
โรคระบาดนั้นถือเป็นภัยพิบัติอย่างหนึ่ง เพราะมันนำมาซึ่งความเสียหายอย่างมากมายต่อชีวิตและทรัพย์สิน ..ผู้คนบาดเจ็บล้มตายจำนวนมาก สูญเสียทรัพย์สินเงินทองมากมายก่ายกอง .. เมื่อเป็นอย่างนี้แล้ว อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาทรงกำหนดให้มีโรคระบาดเพื่ออะไร ?
ในอัลกุรอานซูเราะฮฺอัรรูม อายะฮฺที่ 41 อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาตรัสว่า
ظَهَرَ الْفَسَادُ فِي الْبَرِّ وَالْبَحْرِ بِمَا كَسَبَتْ أَيْدِي النَّاسِ لِيُذِيقَهُم بَعْضَ الَّذِي عَمِلُوا لَعَلَّهُمْ يَرْجِعُونَ
“ความหายนะและภัยพิบัติต่างๆที่เกิดขึ้นทั้งบนบกและในทะเล (ทั้งหมดนี้)ล้วนมาจากการกระทำของมนุษย์(ทั้งสิ้น) เพื่อให้มนุษย์ได้ลิ้มรสบางสิ่งบางอย่างที่พวกเขาได้กระทำไว้ เพื่อว่าพวกเขาจะสำนึกและหวนกลับ(มาสู่พระองค์ ขออภัยโทษต่อพระองค์และปฏิบัติตามคำสั่งของพระองค์ )”
อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาทรงบอกว่า ความหายนะ ความเสียหายต่าง ๆ ภัยพิบัติต่าง ๆที่มันเกิดขึ้นนั้น มันมาจากการกระทำของมนุษย์เองทั้งสิ้น ..เราได้ทราบข่าว ได้เห็นการบ่อนทำลายเกิดขึ้นในโลก ภาวะอากาศเสีย ภาวะเรือนกระจก การทดลองอาวุธนิวเคลียร์ ฝุ่นพิษ อะไรต่าง ๆมากมายนั้น สาเหตุของมันเกิดขึ้นมาจากการกระทำของมนุษย์เราทั้งสิ้น ซึ่งมันมีผลเสียหายต่อชีวิตของผู้คน ตลอดจนสิงสาราสัตว์ และพืชพันธุ์ต่าง ๆ...
หรือแม้แต่การเกิดโรคระบาดในครั้งนี้ ที่มีการพูดกันว่า เกิดมาจากการทดลองของมนุษย์ เพื่อหวังทำลายฝ่ายตรงข้ามตามที่มีข้อมูลออกมา ซึ่งจะเป็นเรื่องจริงหรือไม่จริง เราก็ไม่ทราบ แต่ถ้าเป็นเรื่องจริง สิ่งนี้ก็คือ ความชั่วร้ายที่มนุษย์ทำให้เกิดขึ้น อันเนื่องมาจากความเห็นแก่ตัวซึ่งเป็นเรื่องที่อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาทรงห้าม ...หรือถ้ามันไม่จริง แต่มันก็มีสาเหตุมาจากการกระทำของมนุษย์ในแง่อื่น ๆ ซึ่งเกิดจากการที่มนุษย์ปฏิเสธอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา หรือได้ละเมิดต่อบทบัญญัติของอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ฝ่าฝืนต่อคำสั่งของพระองค์ ไม่เชื่อฟังคำสั่งสอนของท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ซึ่งอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาทรงทำให้มันระบาดไปทั่วโลกเช่นนี้ ก็เพื่อให้มนุษย์ได้สำนึกตัว ได้พินิจพิจารณาถึงการกระทำของตัวเองที่ผ่านมาว่าเป็นเช่นไร ?
อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาทรงให้การระบาดของโรคนั้น เป็นทั้งฟิตนะฮฺในแง่ที่เป็นการลงโทษ และเป็นทั้งบะลา ที่เป็นบททดสอบ
อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาทรงให้การระบาดของโรคเป็นการลงโทษแก่ผู้ที่ปฏิเสธพระองค์ ผู้ที่ละเมิด ฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติของพระองค์
ในอัลกุรอานซูเราะฮฺยูนุส อายะฮฺที่ 13 อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาตรัสว่า
وَلَقَدْ أَهْلَكْنَا الْقُرُونَ مِن قَبْلِكُمْ لَمَّا ظَلَمُوا
“และโดยแน่นอน เราได้ทำลายประชาชาติจากศตวรรษก่อนหน้าพวกเจ้าไปแล้ว เมื่อพวกเขาเป็นผู้อธรรม (เป็นผู้ละเมิดต่อบทบัญญัติศาสนาของอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ไม่เชื่อฟังคำสั่งของพระองค์ ) ”
ประชาชาติต่าง ๆก่อนสมัยท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมต่างเคยถูกทำลายมาแล้วทั้งสิ้น ตามที่อัลกุรอานได้เล่าเรื่องราวของพวกเขาเอาไว้ ..ซึ่งสาเหตุที่ทำให้พวกเขาถูกทำลายก็คือ การที่พวกเขาฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติของอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ละเมิดคำสั่งของพระองค์ ไม่เชื่อฟังคำสั่งสอนตักเตือนของนบีของพวกเขา พวกเขาจึงถูกอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาทรงลงโทษด้วยวิธีการต่าง ๆแตกต่างกันไป... เหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ ในสมัยท่านนบีนูหฺ... ธรณีสูบ ถูกพลิกแผ่นดิน ในสมัยท่านนบีลูฏ... แผ่นดินไหวอย่างรุนแรง เสียชีวิตจากเสียงกัมปนาท ในสมัยท่านนบีศอลิหฺ ..จะมีก็แต่เพียงประชาชาติของท่านนบียูนุสเท่านั้น ที่ในตอนแรก พวกเขาก็ไม่เชื่อฟังคำตักเตือนของท่านนบียูนุส พวกเขาเกือบจะถูกลงโทษอยู่แล้ว แต่เพราะพวกเขาเตาบะฮฺ กลับเนื้อกลับตัวกลับใจทัน หันกลับมาเชื่อฟังคำตักเตือนของท่านนบียูนุส ขออภัยโทษต่ออัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา พระองค์จึงทรงอภัยโทษให้แก่พวกเขา และทรงให้การลงโทษที่ถูกเตรียมไว้แก่พวกเขาได้คลาดแคล้วไปจากพวกเขา และทรงให้พวกเขามีความสุขตลอดไปตามที่พระองค์ได้ทรงสัญญาไว้
ดังนั้น มนุษย์ทั้งโลกต้องหันกลับมาตระหนักในเรื่องนี้ รวมถึงตัวเราด้วย อย่าให้เราเข้าข่ายในกรณีนี้ กรณีของการปฏิเสธบทบัญญัติศาสนา การละเมิด ฝ่าฝืนคำสั่งของอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา เพราะมันเป็นสาเหตุนำมาซึ่งการถูกลงโทษ เป็นเรื่องที่เราต้องอิสติฆฟาร เตาบะฮฺตัวอยู่เสมอ ๆ
สำหรับในส่วนของผู้ศรัทธา โรคระบาดถือเป็นบะลา .. ความหมายของบะลา คือการทดสอบเพื่อพิสูจน์การศรัทธาของพวกเขา ว่ายึดมั่นศรัทธาต่ออัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาจริงแท้มากแค่ไหน ..บะลาจะมีทั้งที่เป็นเรื่องที่ดี ที่มนุษย์ชื่นชอบ และมีทั้งเรื่องที่ไม่ดี ที่มนุษย์ไม่ชอบ ..บะลาจะมีความหมายต่างกับ อะซาบ เพราะอะซาบ หมายถึงการถูกลงโทษ หรือการถูกทรมาน
เมื่อเราที่เป็นผู้ที่อ้างตัวว่าเป็นผู้ศรัทธา และต้องเจอกับสถานการณ์โรคระบาดเช่นในขณะนี้ เป็นเรื่องที่เราไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ นั่นคือเรากำลังได้รับบะลา ได้รับบททดสอบที่เป็นเรื่องที่ไม่ดี ที่เราไม่ชอบ ..เราจะตั้งรับกับมันอย่างไรให้ถูกต้องตรงตามบทบัญญัติศาสนา เพื่อให้เราผ่านการทดสอบนี้ไปได้ เป็นการยืนยันว่าเราเป็นผู้มีอีมานต่ออัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาอย่างแท้จริง
เรามาดูอัลกุรอานในซูเราะฮฺอัตเตาบะฮฺ อายะฮฺที่ 51 ที่ยกมากล่าวในตอนต้นที่อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาตรัสว่า ..จะไม่(มีสิ่งใด)ประสบแก่เราอย่างเด็ดขาด นอกจากสิ่งที่อัลลอฮฺได้ทรงกำหนดแก่เราไว้แล้วเท่านั้น ซึ่งพระองค์เป็นผู้ทรงคุ้มครองเรา และแด่อัลลอฮฺนั้น มุอ์มินผู้ศรัทธาทั้งหลาย จงมอบหมายเถิด”
อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาทรงให้คำมั่นสัญญาแก่ผู้ศรัทธาว่า ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับเราก็ตาม พระองค์จะทรงคุ้มครองเราอย่างแน่นอน ดังนั้น ไม่มีอะไรต้องเป็นห่วง ขอเพียงแต่เรานั้น وَعَلَى ٱللَّهِ فَلۡيَتَوَكَّلِ มอบหมายต่ออัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา
ดังนั้น การตั้งรับหรือวิธีการที่เราใช้เผชิญกับสถานการณ์ของการเกิดโรคระบาดนี้ ก็คือ เราต้องอดทนและตะวักกัลต่ออัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา
การตะวักกัล หรือที่เรียกว่าการมอบหมายต่ออัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลานั้น ถือเป็นอิบาดะฮฺประการหนึ่งที่อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาทรงพอพระทัย มันคือการที่หัวใจของเราหรือความคิดจิตใจของเรานี้มีความต้องการที่จะพึ่งพาอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาในการแสวงหาความดี แสวงหาสิ่งที่เป็นประโยชน์ และในขณะเดียวกันก็ต้องการให้พระองค์ทรงป้องกันสิ่งที่เป็นโทษ สิ่งที่เป็นอันตรายต่าง ๆให้แก่เราทั้งในเรื่องของดุนยาและเรื่องของอาคิเราะฮฺ ซึ่งเรื่องของการตะวักกัลนั้นจะต้องประกอบไปด้วยสองส่วน คือเรื่องของจิตใจและเรื่องของการกระทำ ต้องควบคู่ทั้งสองอย่าง
เมื่อหัวใจของเรามีความรู้สึกมั่นใจว่าพระองค์เป็นผู้ทรงเดชานุภาพเพียงองค์เดียวเท่านั้น และเราต้องการพึ่งพาอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาในเรื่องต่าง ๆ สิ่งที่มาเกี่ยวข้องด้วยก็คือ สิ่งที่นักวิชาการเรียกว่าสาเหตุ ..สาเหตุที่จะทำให้เราได้รับความดี ได้รับสิ่งที่เป็นประโยชน์ หรือสาเหตุที่ทำให้เรารอดพ้นจากอันตราย หรือสิ่งที่เป็นโทษต่าง ๆ ซึ่งเป็นเรื่องของการปฏิบัติสิ่งต่าง ๆด้วยอวัยวะร่างกาย ...อย่างที่เราคงได้ยินอยู่เสมอ ๆว่า
การตะวักกัลนั้นไม่ใช่แต่เพียงความคิดและการพูดเฉย ๆ แต่ต้องลงมือปฏิบัติด้วย ดังที่อัลหะดีษในบันทึกของอิมามอัตติรมีซีย์ ที่ท่านอะนัส เราะฎิยัลลอฮุอันฮุได้เล่าว่า
มีชายคนหนึ่งกล่าวกับท่านเราะซูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมว่า “โอ้ ท่านเราะซูลุลลอฮฺ สมควรที่ผมจะผูกอูฐนี้ แล้วทำการตะวักกัลต่ออัลลอฮฺ หรือสมควรที่ผมจะปล่อยมันไว้ (โดยไม่ผูก) แล้วจึงทำการตะวักกัลต่ออัลลอฮฺ
ท่านเราะซูลุลลอฮฺ จึงตอบว่า ท่านจงผูกมันไว้ แล้วทำการตะวักกัลต่ออัลลอฮฺ
การตะวักกัลจึงเป็นเรื่องทั้งของจิตใจและการกระทำด้วย
ดังนั้น ในสถานการณ์ของโรคระบาดในขณะนี้ สิ่งที่เราสมควรพึงระลึกไว้ก็คือ เชื่อมั่นศรัทธาว่ามันเป็นตักดีรของอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ซึ่งเราไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้เลย และให้เราได้ทำการตะวักกัล มอบหมายต่อพระองค์ด้วยหัวจิตหัวใจของเรา และด้วยการปฏิบัติด้วยอวัยวะร่างกาย โดยการดูแลรักษา ระมัดระวังตัวของเราเอง อย่างที่ได้กล่าวมาแล้วในตอนต้นว่า ลักษณะของโรคระบาดจากไวรัสโควิด – 19 นี้ ติดต่อกันได้ง่ายมาก โดยการสัมผัส หรือโดยผ่านการไอ การจาม ผ่านทางละอองของน้ำลาย ซึ่งไวรัสนี้จะเข้าสู่ร่างกายทางใบหน้าของเรา ทางตา ทางจมูก ทางปาก เราจึงต้องระมัดระวังในส่วนนี้ ป้องกันตัวเองตามคำแนะนำที่ปรากฏตามสื่อต่าง ๆ เช่น สวมหน้ากากอนามัย เป็นการป้องกันรักษาทั้งตนเองและผู้อื่น ...หลีกเลี่ยงการรวมตัวกัน ....หลีกเลี่ยงการสัมผัสตัว
มีคำแนะนำสำหรับเราในช่วงนี้ว่า ให้เราหลีกเลี่ยงการสลามทักทายกันด้วยการจับมือ และสวมกอดกัน ซึ่งความจริงแล้ว การกล่าวให้สลามและการจับมือกันนั้นเป็นมุสตะฮับ คือเป็นเรื่องของการส่งเสริมให้ทำ ถ้าเราไม่ทำก็ไม่บาป แต่ทำแล้วได้บุญ เป็นเรื่องของซุนนะฮฺ แต่สิ่งที่เป็นวาญิบ เป็นสิ่งจำเป็น ก็คือ เมื่อมีผู้ให้สลามแก่เรา จำเป็นแก่เราที่จะต้องตอบรับสลาม ดังนั้น เราสามารถกล่าวให้สลามได้ โดยยังไม่ต้องจับมือและสวมกอด และตอบรับสลามได้ โดยไม่ต้องจับมือกันก็ได้ เพราะการสัมผัสตัวกันมันเป็นสาเหตุที่ทำให้ไวรัสนี้แพร่ระบาดไปได้ง่าย หากเราเป็นผู้ที่ติดไวรัสนี้อยู่โดยที่เราอาจไม่ทราบ เราจึงต้องขจัดสาเหตุที่จะทำให้เราและผู้อื่นมีโอกาสติดไวรัสออกไป เพื่อเป็นการป้องกันไว้ก่อน เพราะอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาทรงสั่งห้ามทำให้ตัวเราเองและผู้อื่นเดือดร้อน ซึ่งมันเป็นเรื่องที่สำคัญกว่า
นอกจากนี้ เรายังต้องหลีกเลี่ยงการอยู่ในที่สาธารณะ หรือสถานที่ที่มีคนอยู่มาก ๆ และนี่ก็คือสาเหตุที่ทำให้เราต้องพักการละหมาดญะมาอะฮฺไว้ก่อน และให้เราพยายามอยู่กับที่ก็คือ อย่าเดินทางไปโน้นนี่นั่นโดยไม่จำเป็น โดยท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมได้ให้คำแนะนำในสถานการณ์ที่เกิดโรคระบาดไว้
ในอัลหะดีษบันทึกของอิมามอัลบุคอรีย์ รายงานจากท่านอุซามะฮฺ อิบนิเซด เราะฎิยัลลอฮุอันฮุเล่าว่า ท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมกล่าวว่า
، فَلَا تَدْخُلُوا عَلَيْهِ ، وَإِذَا وَقَعَ بِأَرْضٍ وَأَنْتُمْ بِهَا ، فَلَا تَفِرُّوا مِنْهُ
“(เมื่อเกิดโรคระบาดขึ้นที่เมืองใด ) ก็จงอย่าเข้าไปในเมืองนั้น และหากเกิดโรคระบาดที่เมืองของเรา เราก็อย่าออกจากเมืองนั้น”
นั่นก็คือ ให้เราพยายามอยู่กับที่ อยู่กับบ้านของเรา อยู่กับที่พักของเราที่เราอยู่ประจำ อย่าเดินทางไปโน้นไปนี่โดยไม่จำเป็นเร่งด่วน เพื่อเป็นการป้องกันโรคระบาดไม่ให้แพร่กระจายไปในวงกว้างนั่นเอง... เมื่อเราได้ตะวักกัลแล้ว ได้ป้องกันสาเหตุต่าง ๆแล้ว ได้เชื่อฟังคำสั่งของอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา และคำตักเตือนของท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมแล้ว แล้วเราเกิดเป็นโรคขึ้นมา ก็ให้เราได้มั่นใจว่า อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาจะทรงคุ้มครองเราตามที่พระองค์ได้ทรงสัญญาไว้อย่างแน่นอน แต่หากเราเสียชีวิตจากโรคระบาด ก็ขอให้เราทราบว่า การเสียชีวิตจากโรคระบาดนั้นเป็นชะฮีด
อัลหะดีษในบันทึกของอิมามอัลบุคอรีย์และอิมามมุสลิม รายงานจากท่านอบูหุรอยเราะฮฺ เราะฎิยัลลอฮุอันฮุเล่าว่า ท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมกล่าวว่า
: الشُّهَدَاءُ خَمسَةٌ: المَطعُونُ، وَالمبْطُونُ، والغَرِيقُ، وَصَاحبُ الهَدْم وَالشَّهيدُ في سبيل اللَّه
"ผู้ที่ตายชะฮีดนั้นมี 5 อย่างคือ ผู้ที่ตายด้วยโรคระบาด, ผู้ที่ตายจากโรคในช่องท้อง, ผู้ที่จมน้ำตาย, ผู้ที่ตายจากอาคารถล่มทับ, และผู้ที่ตายในหนทางของอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา"
บุคคลทั้งห้าประเภทนี้ ไม่ใช่จะถือว่าทุกคนตายชะฮีด แต่หมายถึง มุอ์มินผู้ศรัทธาที่พวกเขายึดมั่นศรัทธาต่ออัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาเพียงองค์เดียว พวกเขาไม่ทำชิริกเลย และพวกเขาดำรงมั่นอยู่ในบทบัญญัติศาสนาของพระองค์ตลอดเวลา ใช้ชีวิตด้วยความอดทน โดยมุ่งหวังความโปรดปรานจากอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา หากพวกเขาตายด้วยสาเหตุเหล่านี้ จึงจะถือว่าพวกเขาตายชะฮีด
ผู้ตายชะฮีดจะได้เข้าสวรรค์ โดยที่บาปของเขาถูกลบล้างไปหมดสิ้น ดังนั้น หากเราปฏิบัติตัวให้เป็นมุอ์มินผู้ศรัทธา แล้วเกิดเสียชีวิตจากสาเหตุทั้งห้านี้ เราจะถูกบันทึกความดีเท่ากับผู้ที่ตายชะฮีด ( วัลลอฮุอะลัม ) ซึ่งอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาจะทรงตัดสินเอง...สำหรับตัวเราก็ให้เราพยายามปฏิบัติตัวให้ดีที่สุดเท่าที่เราสามารถทำได้ก็แล้วกัน
สำหรับมะยัตของผู้ที่เป็นโรคระบาดนั้น ไม่ต้องทำการอาบน้ำมะยัตก็ได้ ให้ทำการห่อมะยัตทำการตะยัมมุม แล้วฝังได้เลย เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้เกิดการแพร่ระบาดของโรค นี่คือ คำแนะนำของอุละมาอ์
ในสถานการณ์อย่างนี้ เป็นสถานการณ์ที่ไม่ปกติ เราจึงต้องใช้ชีวิตด้วยความอดทนอย่างมากยิ่งกว่าปกติ อดทนในทุก ๆเรื่อง แม้แต่การอดทนที่จะไม่พบปะพูดคุยกันอย่างที่เราทำกันตามปกติ และต้องหมั่นขออภัยโทษ สำนึกตัว กลับเนื้อกลับตัวต่ออัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาอยู่เสมอ รักษาอะกีดะฮฺและอีมานที่ถูกต้องเอาไว้ ออกห่างจากการทำบิดอะฮฺ พยายามปฏิบัติตามบทบัญญัติของอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาให้เต็มความสามารถของเรา รักษาความสะอาดตามที่ศาสนบัญญัติได้บัญญัติไว้ ทั้งความสะอาดทั่ว ๆไป รักษาความสะอาดของสถานที่ต่าง ๆ เครื่องใช้ไม้สอยต่าง ๆ รักษาความสะอาดของร่างกายและความสะอาดของจิตใจ ให้พ้นจากโรคของหัวใจทั้งหลาย เช่น โรคของมุนาฟิก หน้าไหว้หลังหลอก โรคของการโอ้อวด โรคอิจฉาริษยา โรคหยิ่งยโสโอหัง และให้พ้นจากการตั้งภาคีต่ออัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาด้วย
สุดท้ายนี้ ขออัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาโปรดให้เรามีความอดทนในอันที่จะปฏิบัติตามบทบัญญัติศาสนาของพระองค์ ... และออกห่างจากการฝ่าฝืนบทบัญญัติศาสนาของพระองค์ ..ขอพระองค์โปรดทรงอภัยโทษในความผิดต่าง ๆของเรา ..โปรดให้เราพ้นจากฟิตนะฮฺ ความไม่ดีไม่งามทั้งหลาย โปรดให้สถานการณ์โรคระบาดได้หมดไปอย่างเร็ว.. และโปรดให้เราประสบความสำเร็จในชีวิตทั้งในโลกดุนยาและโลกอาคิเราะฮฺ
( มัสญิดดารุลอิหฺซาน บางอ้อ )