คำสอนอิสลามเกี่ยวกับโรคระบาด
  จำนวนคนเข้าชม  8362


คำสอนอิสลามเกี่ยวกับโรคระบาด 

 

เรียบเรียงโดย อิสมาสอีล กอเซ็ม 

 

มวลการสรรเสริญเป็นเอกสิทธิ์ของอัลลอฮฺผู้อภิบาลแห่งสากลโลก 

          ปัจจุบันอัลลอฮฺได้ทดสอบมนุษยชาติทั่วโลก ได้ประสบกับโรคร้ายที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน โรคโควิด 19 ซึงได้คร่าชีวิตคนเป็นจำนวนมาก และยังไม่มีวัคซีนมาป้องกันรักษาโรคนี้ได้ แม้แต่ประเทศมหาอำนาจที่มีความก้าวหน้าทางการแพทย์ ก็ไม่สามารถสกัดกั้นการแพร่เชื้อได้ ยิ่งทวีความรุนแรงในการแพร่เชื้อ ดังนั้นจากผลกระทบอันนี้ส่งผลให้การรวมตัวกันโดยผู้คนจำนวนมากในสถานที่เดียวกัน จะเป็นสาเหตุให้การแพร่เชื้อทวีความรุนแรงมากขึ้น และอาจจะไม่สามารถควบคุมโรคได้ และจะส่งผลเป็นวงกว้าง นำความเสียหายมาสู่ชีวิตผู้คนจำนวนมาก อิสลามมีวิธีการอย่างไรในการปฏิบัติตัวในภาวะที่เกิดโรคระบาด 

 

          ในประวัติศาสตร์อิสลามและประวัติของมวลมนุษยชาติ ในยุคที่ผ่านมาผู้คนเคยพบโรคระบาดและคร่าชีวิตคนจำนวนมาก มีหะดีษหนึ่ง

     มีรายงานจากท่านอับดุลลอฮฺ อิบนู อับบาส แท้จริงท่านอุมัร อิบนุลค็อตตอบ รอฎิยัลลอฮูอันฮู ได้ออกเดินทางไปยังเมืองชาม จนไปถึงหมู่บ้าน ซารฮฺ ท่านได้พบกับบรรดาแม่ทัพของทหาร 

ท่านอบูอุบัยะห์ บิน อัลยารรอฮฺ และบรรดาพรรคพวกเขา พวกเขาได้นำข่าวมาบอกท่านอุมัรว่า แท้จริงขณะนี้ได้มีโรคระบาดเกิดขึ้นในเมืองชาม ท่านอิบนู อับบาส ได้กล่าวว่า ท่านอุมัรกล่าวว่า ท่านจงไปเรียกบรรดาผู้อพยพรุ่นแรกๆให้มาพบฉัน แล้วเขาได้เรียกพวกเขามา 

ท่านอุมัรได้ทำการปรึกษาพวกเขา โดยที่ท่านอุมัรได้บอกว่าขณะนี้มีโรคระบาดเกิดขึ้นที่เมืองชาม ดังนั้นพวกเขาได้มีความเห็นขัดแย้งกันออกไป โดยที่มีบางคนในหมู่พวกเขากล่าวว่า ท่านได้ออกมาเพื่อกิจการงานหนึ่ง และเราไม่เห็นว่าท่านจะต้องกลับหนีจากโรคระบาด 

และมีบางคนในหมู่พวกเขากล่าวว่า คนที่มากับท่านมีหลายคนบรรดาศอหาบะห์ของท่านรอซูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮูอะลัยอิวะสัลลัม ที่พวกเขายังคงมีชีวิตอยู่ เราเห็นว่าท่านอย่าได้พาพวกเขาไปหาโรคระบาด ท่านอุมัรกล่าวว่า เชิญพวกท่านออกไปจากฉัน 

หลังจากนั้นอุมัรกล่าวว่า จงเรียกชาวอันซอรมาพบกับฉัน แล้วฉันได้เรียกพวกเขา และท่านอุมัรได้ทำการปรึกษาพวกเขา พวกเขาก็มีความเห็นแบบเดียวกับชาวมุฮายีรีน มีความเห็นขัดแย้งแบบเดียวกับความเห็นของชาวมุฮายีรีน ท่านอุมัรกล่าวว่า เชิญพวกท่านจงออกไปได้ 

จงเรียกคนที่อยู่ตรงนี้จากอาวุโสกุเรชที่เป็นผู้อพยพในช่วงก่อนพิชิตมักกะฮฺ แล้วฉันได้เรียกพวกเขา มีแค่สองคนจากพวกเขาที่ขัดแย้งกับท่านอุมัร โดยที่พวกเขากล่าวว่า เราเห็นว่าท่านให้พาผู้คนกลับไป อย่าได้พาพวกเขาไปพบโรคระบาด

ท่านอุมัรได้ประกาศว่า ให้ผู้คนที่เดินทางมากลับไปยังประเทศของตัวเอง 

ท่านอบูอุบัยดะ อิบนุลญารรอฮฺ ได้กล่าวว่า จะหนีจากการกำหนดของอัลลอฮฺหรือ

ท่านอุมัรกล่าวว่า หากคนอื่นที่ไม่ใช่ท่านกล่าวคำนี้(ฉันไม่แปลกใจ) โอ้ อาบาอุบัยดะห์ ? ใช่หนีจากการกำหนดของอัลลอฮฺไปยังการกำหนดของอัลลอฮฺ ท่านเห็นใช่ไหม หากท่านมีอูฐได้นำไปยังหุบเขาหญ้า สำหรับหุบเขานั้นมีทุ่งหญ้าสองแห่ง แห่งหนึ่งมีความเขียวขจี และอีกแห่งนั้นแห้งแล้ง การที่ท่านได้เลี้ยงอูฐในทุ่งที่เขียวขจี ท่านได้เลี้ยงมันด้วยการกำหนดของอัลลอฮฺ และหากท่านเลี้ยงในทุ่งหญ้าที่แห้งแล้ง ท่านก็เลี้ยงมันด้วยกับการกำหนดของอัลลอฮฺ 

อิบนูอับบาสกล่าวว่า แล้วอับดุรเราะมาน บิน เอาฟฺได้มา โดยที่ท่านได้ออกไปทำธุระ โดยที่ท่านได้กล่าวว่า ฉันมีความรู้ในเรื่องนี้ ฉันได้ยินท่านรอซูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮูอะลัยอิวะสัลลัม กล่าวว่า 

เมื่อพวกทราบทราบข่าวว่า ในพื้นที่หนึ่งมีโรคระบาด พวกท่านอย่าได้เข้าไป

และหากโรคระบาดเกิดขึ้นในพื้นที่ของพวกท่าน พวกท่านอย่าได้ออกจากพื้นที่นั้น เพื่อหนีจากโรคระบาด

ท่านอุมัรได้กล่าว สรรเสริญต่ออัลลอฮฺ หลังจากนั้นท่านอุมัรได้ออกไป 

(บันทึกโดย อัลบุคอรีย์และมุสลิม)

 

          จากหะดีษนี้เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในยุคที่ท่านอุมัร อิบนุลค็อตตอบ รอฎิยัลลอฮูอันฮูเป็นคอลีฟะห์ ได้เกิดโรคระบาดที่เมืองชาม ที่ขณะนั้นท่านอบู อุบัยดะห์ อิบนุลญะรอฮฺได้เป็นผู้ปกครองอยู่ ท่านอุมัรได้มุ่งหน้าไปยังเมืองชาม แต่ได้รับข่าวจากท่านอบูอุบัยดะห์ว่า มีโรคระบาดเกิดขึ้นในเมืองชาม ท่านอุมัรแม้จะเป็นผู้ปกครอง ท่านก็ไม่ได้ตัดสินใจคนเดียวในการตัดสินใจ ท่านปรึกษาอาวุโสจากบรรดาศอหาบะห์หลายคน จนได้บทสรุปจากศอหาบะห์อาวุโสท่านหนึ่งคือ ท่านอับดุรเราะมาน บิน เอาฟฺ รอฎิยัลลอฮูอันฮู จากที่ท่านเคยได้ยินคำพูดของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮูอะลัยอิวะสัลลัม ในเรื่องนี้ จึงมีบทสรุปในเรื่องการจัดการป้องกันเวลาเกิดโรคระบาด ก็คือ การไม่เข้าไปปะปนกับผู้คนในพื้นที่ ที่เกิดโรคระบาด และบุคคลที่อยู่ในพื้นที่ ที่มีโรคระบาดก็อย่าได้ออกมาปะปนกับคนอื่น เพราะการกระทำเช่นนั้นจะยิ่งทำให้เกิด นี่คือแนวปฏิบัติของเหล่าศอหาบะห์ที่ได้รับการชี้แนะจากท่านนบี ศ็อลลัลลอฮูอะลัยอิวะสัลลัม 

 

          มันสอดรับกับหลักการแพทย์ในยุคปัจจุบัน ที่มีการรณรงค์ในการจำกัดพื้นที่ของผู้ที่เชื้อโรคร้ายแรงที่สามารถติดต่อไปยังผู้อื่นได้ การกักตัวผู้ติดเชื้อ การปิดเมืองเพื่อป้องกันการระบาดของโรค การห้ามการเดินทางของคนที่มาจากพื้นที่ ที่โรคระบาดกำลังเกิดขึ้นเข้ามายังอีกพื้นที่ ทั้งหมดนั้นล้วนแล้วสอดคล้องกับคำชี้แนะของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮูอะลัยอิวะสัลลัม ในเรื่องของการป้องกันการระบาดของโรค เช่นเดียวกันบุคคลที่ติดโรค เขาก็ไม่จำเป็นต้องมาละหมาดรวมกับพี่น้องในมัสยิด 

 

          และด้วยกับความรุนแรงของโรคระบาดที่เกินการควบคุม หลายประเทศได้มีคำตัดสินปัญหาศาสนา ในเรื่องของการละหมาดรวมกันที่มัสยิด ให้หยุดชั่วคราว หรือแม้กระทั่งการละหมาดญุมอะฮฺในวันศุกร์ ซึงการละหมาดญามาฮะที่มัสยิดนั้น ในสภาพปกติจำเป็นต้องไปละหมาด ยกเว้นกรณีมีอุปสรรค 

 

روي عن ابن عباس أن النبي صلى الله عليه وسلم قال: "من سمع النداء فلم يأته، فلا صلاة له إلا من عذر. قالوا: يا رسول الله، وما العذر؟ قال: خوف أو مرض" (رواه أبو داود)

 

ได้รายงานจากอิบนูอับบาส แท้จริงท่านนบี ศ็อลลัลลอฮูอะลัยอิวะสัลลัม ได้กล่าวว่า 

     “ใครได้ยินเสียงเรียกร้อง(มาสู่การละหมาด) เขาไม่ได้มา(ละหมาดที่มัสยิด) ไม่มีการละหมาดสำหรับ(การละหมาดไม่สมบูรณ์) สำหรับเขา เว้นแต่ผู้ที่มีอุปสรรค 

     โอ้ท่านรอซูลุลลอฮฺ อะไรคืออุปสรรค ?

     ท่านได้ตอบว่า ความกลัว และความเจ็บป่วย

(บันทึกโดย อบูดาวุด )

 

          ซึ่งปัจจุบันด้วยกับการแพร่ระบาดของโรคที่เกิดขึ้นอย่างง่ายดาย โดยเฉพาะการที่ผู้คนอยู่ปะปนกัน โรคระบาดสามารถจะแพร่ในหมู่คนจำนวนมากได้ ดังนั้นในภาวะปัจจุบันถือว่าเป็นอุปสรรคอย่างหนึ่ง ที่ทำให้ผู้คนหวาดกลัวและวิตกกังวล จึงเป็นที่มาของนักวิชาการอิสลามในหลายๆประเทศอนุญาตให้ไม่ต้องละหมาดรวมกันที่มัสยิดได้ แม้กระทั่งละหมาดญุมอะฮฺให้งดเว้นไว้ก่อน ให้ละหมาดซุอฮฺรีที่บ้านแทนการละหมาดญุมอะฮฺ 

 

สภาถาวรในการวิจัยปัญหาศาสนาของซาอุได้มีการชี้ขาดในเรื่องนี้ไว้เช่นกัน  เนื้อหาดังต่อไปนี้ 

 

     สภานักวิชาการอาวุโสของราชอณาจักรซาอุดิอาราบีย ได้มีมติ หมายเลข 246 ลงวันที่ 16/07/1441 โดยมีใจความต่อไปนี้ 

     มวลการสรรเสริญเป็นเอกสิทธิ์ของอัลลอฮฺผู้อภิบาลแห่งสากลโลก ความศานติจงประสบแด่ท่านนบีของเรา มูฮัมหมัด ตลอดจนเครือญาตและเหล่าศอหาบะห์ของท่านทั้งหมด 

     สภานักวิชาการอาวุโสได้มีการพิจารณาในการประชุมสัมนากันครั้ง 24 ที่จัดขึ้นที่เมืองริยาฎ ตรงกับวันที่ 16/07/1441 โดยมีการนำเสนอข้อผ่อนปรน ว่าด้วยการไม่มาร่วมละหมาดญุมฮะและละหมาดญามาฮะ ในภาวะที่มีการระบาดของโรคติดต่อ หรือมีความวิตกกังวลว่าโรคนี้จะระบาดติดต่อ โดยการรวบรวมจากตัวบทตามหลักบทบัญญัติอิสลาม และจุดประสงค์กฎเกณฑ์ต่างๆของบทบัญญัติ และรวบรวมคำพูดของนักวิชาการในประเด็นปัญหานี้ ดังนั้นทางสภานักวิชาการอาวุโสขอชี้แจงดังต่อไปนี้ 

 

     ประการแรก ห้ามผู้ที่ได้รับการติดเชื้อ ร่วมละหมาดญุมอะฮฺและหมาดญามาอะฮฺ เนื่องด้วยคำพูดของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮูอะลัยอิวะสัลลัม 

 

( لا يورد ممرض على مصح ) متفق عليه،

คนป่วยอย่าได้ไปอยู่ร่วมกับคนที่สุขภาพแข็งแรง

(บันทึกโดยบุคอรีและมุสลิม )

 

และอีกคำพูดของท่านรอซูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮูอะลัยอิวะสัลลัม 

 

ولقوله عليه الصلاة والسلام: ( إذا سمعتم الطاعون بأرض فلا تدخلوها وإذا وقع بأرض وأنتم فيها فلا تخرجوا منها ) متفق عليه.

     “เมื่อพวกทราบทราบข่าวว่า ในพื้นที่หนึ่งมีโรคระบาด พวกท่านอย่าได้เข้าไป และหากโรคระบาดเกิดขึ้นในพื้นที่ของพวกท่าน พวกท่านอย่าได้ออกจากพื้นที่นั้น เพื่อหนีจากโรคระบาด

 

 

     ประการที่สอง ใครก็ตามที่หน่วยงานที่รับผิดชอบโดยตรง(เกี่ยวกับโรค) ได้กำหนดให้กักตัว จำเป็นที่เขาจะต้องปฏิบัติตามในเรื่องดังกล่าว และเขาไม่ต้องร่วมละหมาดญามาอะฮฺและละหมาดญุมอะฮฺ ให้ละหมาดแต่ละเวลาที่บ้านของเขา หรือในสถานที่เขากักตัวเอง 

 

 

     ประการที่สาม ใครที่กลัวเขาจะได้รับอันตรายหรือส่งผลอันตรายแก่คนอื่น ก็อนุญาตผ่อนปรนให้เขาไม่ต้องไปละหมาดญุมอะฮฺและละหมาดญามาอะฮฺเนื่องคำพูดของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮูอะลัยอิวะสัลลัม

 

( لا ضرر ولا ضرار) رواه ابن ماجه. 

อย่าก่อความเดือดร้อนให้กับตนเอง และอย่าก่อความเดือดร้อนให้ผู้อื่น

(บันทึกโดย อิบนูมาญะ)

           ทั้งหมดที่กล่าวมาทุกประการ หากไม่ได้มาร่วมละหมาดญุมอะฮฺ ก็ให้ละหมาดซุอฮฺรี 4 ร็อกอะที่บ้าน

 

          นี่คือคำสั่งเสียของสภานักวิชาการอาวุโสทั้งหมด ให้ปฏิบัติตามการชี้แนะและการจัดระเบียบของออกมาจากหน่วยงานเฉพาะ(ที่เกี่ยวกับโรคระบาด) เช่นเดียวกันขอสั่งเสียให้ทุกคน ให้มีความยำเกรงต่ออัลลอฮฺผู้ทรงสูงส่ง ผู้ทรงเกียรติ ให้พึงพาต่อพระองค์มหาบริสุทธิ์ยิ่ง ด้วยกับการวิงวอนขอและการนอบน้อมยังพระองค์ ขอให้พระองค์ได้ขจัดภัยพิบัติ อัลลอฮฺ ตาอาลาได้ตรัสว่า 

 

     “และหากอัลลอฮฺจะทรงให้ทุกข์ภัย ประสบแก่เจ้าแล้ว ก็ไม่มีผู้ใดปลดเปลื้องมันได้ นอกจากพระองค์ และหากพระองค์ทรงปรารถนาความดีแก่เจ้าแล้ว ก็จะไม่มีผู้ใดกีดกันความโปรดปรานของพระองค์ได้ พระองค์จะทรงให้ประสบแก่ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์จากปวงบ่าวของพระองค์ และพระองค์จะเป็นผู้ทรงอภัยโทษ ผู้ทรงเมตตาเสมอ

 

، وقال سبحانه: ( وقال ربكم ادعوني استجب لكم )

 

และพระเจ้าของพวกเจ้าตรัสว่า จงวิงวอนขอต่อข่า ข้าจะตอบรับแก่พวกเจ้า

 

ความสุขความศานติจงประสบแด่ท่านนบีและวงค์วานและเหล่าศอหาบะห์ทั้งหมด

 

والله تعالى أعلم