การปฏิบัติตัวต่อบรรดาผู้มีความรู้
เรียบเรียงโดย อิสมาอีล กอเซ็ม
มวลการสรรเสริญเป็นเอกสิทธิ์ของอัลลอฮฺผู้อภิบาลแห่งสากลโลก
หลังจากท่าน นบีมูฮัมหมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยอิวะสัลลัม ได้จากโลกนี้ไปด้วยกับภารกิจของท่านได้เสร็จสิ้นสมบูรณ์ และได้ทิ้งมรดกมากมายที่เป็นสิ่งที่ทำให้ผู้ที่รับมรดกของท่านนั้นมีความร่ำรวย ความร่ำรวยในที่นี่คือการร่ำรวยความรู้และความศรัทธา หากเรารับความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องจากท่านนบี ศ็อลลัลลอฮูอะลัยอิวะสัลลัม ดังนั้นอัลลอฮฺได้กล่าวสถานะของผู้รู้ไว้ในคัมภีร์ของพระองค์
يَرْفَعِ اللَّهُ الَّذِينَ آمَنُوا مِنكُمْ وَالَّذِينَ أُوتُوا الْعِلْمَ دَرَجَاتٍ ۚ وَاللَّهُ بِمَا تَعْمَلُونَ خَبِيرٌ ( 11 )
“เพราะอัลลอฮฺจะทรงยกย่องเทอดเกียรติแก่บรรดาผู้ศรัทธาในหมู่พวกเจ้า และบรรดาผู้ได้รับความรู้หลายชั้น และอัลลอฮฺทรงรอบรู้ยิ่งในสิ่งที่พวกเจ้ากระทำ”
ผู้ที่รู้ในบทบัญญัติของอัลลอฮฺ คือบุคคลที่เราจำเป็นต้องให้เกียรติ เพราะพวกเขาคือ บุคคลที่ทุ่มเทเสียสละแรงกายแรงใจ ทรัพย์สินให้หมดไปเพื่อรับใช้ศาสนาของอัลลอฮฺ และการที่มีผู้รู้จะทำให้สังคมได้รับสิ่งที่ดีงาม และบุคคลที่อัลลอฮฺประสงค์ต้องการให้เขาได้รับความดี
عن مُعَاوِيَةَ بن أبي سفيان رضي الله عنهما قال: سَمِعْتُ النَّبِيَّ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ يَقُولُ : (مَنْ يُرِدِ اللَّهُ بِهِ خَيْرًا يُفَقِّهْهُ فِي الدِّينِ
มีรายงานจากท่าน มูฮาวิยะหฺ บิน อบีซุฟยาน รอฎิยัลลอฮูอันฮูมา ท่านได้กล่าวว่า ฉันได้ยินท่านนบี ศ็อลลัลลอฮูอะลัยอิวะสัลลัม กล่าวว่า
“ใครที่อัลลอฮฺประสงค์ให้เขาได้รับความดี พระองค์จะให้เขาเข้าใจศาสนา”
(บันทึกโดย บุครียฺและมุสลิม)
นี่คือความประเสริฐของการที่ได้เข้าใจศาสนา การเข้าใจศาสนาก็คือ รู้ในบทบัญญัติของอัลลอฮฺ และเข้าใจตัวบททางศาสนา เข้าใจจุดประสงค์ของอัลลอฮฺและรอซูลของพระองค์ ดังนั้นการที่สังคมหนึ่งมีผู้รู้คอยชี้นำถือว่าเป็นความเมตตาของอัลลอฮฺ และสังคมนั้นก็ได้รับความดีงามจากบรรดาผู้มีความรู้
ดังนั้นตำแหน่งของผู้รู้จึงมีความสำคัญที่เราจะมองข้ามไม่ได้ เราจะต้องระวังในการที่จะกล่าวถึงผู้รู้ในทางที่ไม่ดี หรือโกรธเกลียดผู้รู้ อาจจะเป็นเพราะว่าบางครั้งผู้รู้บางท่านนั้น ไปมีทัศนะหรือความเห็นในประเด็นศาสนาแตกต่างกับบรรดาครูบาอาจารย์ของเราที่ให้ความเคารพนับถือ
บุคคลที่ทำงานศาสนาที่รับใช้ศาสนาด้วยความบริสุทธิ์ใจ คือบุคคลที่ อัลลอฮ์ทรงรัก แต่เป็นเรื่องปกติที่บรรดาผู้ที่มีความรู้จะมีความเข้าใจศาสนาในบางประเด็นของศาสนาแตกต่างกันออกไป แต่ในคุณลักษณะเด่นของชาวอะลุซซุนนะหฺพวกเขาจะไม่ขัดแย้งกันในเรื่องหลักความเชื่อ แต่อาจจะมีประเด็นย่อย ๆ ที่พวกเขาอาจจะมีความเห็นต่างกันบ้างเป็นเรื่องปกติ
ซึ่งความเห็นต่างในประเด็นปลีกย่อย และการเขียนบทความหรือการบรรยายชี้แจงในระหว่างนักวิชาการซุนนะหฺก็เกิดทั่วไปในประเทศที่มุสลิมอาศัยอยู่ และในประเทศอิสลาม แต่ในความขัดแย้งที่เกิดขึ้นระหว่างนักวิชาการสองฝ่ายแน่นอนแต่ละฝ่ายย่อมมีแนวร่วม และจะโน้มเอียงไปยังฝั่งผู้รู้ที่ตัวเองให้ความเคารพนับถือ และสิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ การไปด่าทอหรือตำหนินักวิชาการที่เป็นคู่ขัดแย้งของบรรดาครูบาอาจารย์ของตัว ซึงเมื่อเหตุการณ์เหล่าเกิดขึ้นมันจะยิ่งนำไปสู่ความวุ่นวาย มีการโต้กันไปโต้กันมา และหาที่จบสิ้นไม่ได้ จนนำไปสู่การแบ่งพรรคแบ่งพวก และแนวร่วมของแต่ละฝ่ายก็จะไม่รับความรู้และความคิดเห็นจากอีกฝ่าย นี่คือปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้นในสังคมมุสลิมโดยเฉพาะคนหนุ่มสาวที่มีความหวงแหนในศาสนาอิสลาม
คำสอนของอิสลามนั้นเป็นคำสอนที่ให้มุสลิมรู้จักการให้เกียรติต่อเพื่อนมนุษย์ในทุก ๆ ชนชาติ ทุกศาสนา เมื่ออัลลอฮฺได้เกียรติต่อบรรดาผู้มีความรู้ จึงเป็นสิ่งที่จำเป็นที่ผู้ศรัทธาต้องให้เกียรติบรรดาผู้ที่มีความรู้ ระวังการพูดจาพาดพิง ทำลายเกียรติผู้รู้ ด่าทอผู้ที่มีความรู้
โดยเฉพาะนักเรียนต้องไม่ตำหนิ ทำลายเกียรติยศครูบาอาจารย์ของตัว การด่าทอครูบาอาจารย์ของตัวเอง แน่นอนจะทำให้เราไม่ประสบความสำเร็จในการศึกษา หรือสำเร็จมา แต่ความรู้ที่มีขาดความจำเริญ
การปกป้องเกียรติของบรรดาผู้มีความรู้ คือสิ่งผู้ศรัทธาต้องปฏิบัติ และการขอดุอาให้บรรดาผู้ที่มีความรู้ ขออภัยโทษในความผิดพลาดของพวกเขา ขออัลลอฮฺให้เมตตาพวกเขา ขออัลลอฮฺได้ปกป้องพวกเขา
ดังนั้นการด่อทอทำลายเกียรติบรรดาผู้ที่มีความรู้ คือ สิ่งที่ต้องออกห่าง เพื่อเราจะได้รับความดีงามจากความรู้ของบรรดาผู้ที่มีความรู้ และเพื่อที่เราจะได้รับความเมตตาจากอัลลอฮฺ