อย่าได้ทำตามอารมณ์
  จำนวนคนเข้าชม  4504


อย่า ได้ ทำ ตาม อา รมณ์

 

คุตบะฮ์วันศุกร์ โดย อาจารย์มาลิก โยธาสมุทร

 

          ผู้เป็นบ่าวของอัลลอฮฺทั้งหลาย จงเกรงกลัวอัลลอฮฺเถิด พึงรู้เถิดว่า พวกเราท่านทั้งหลายนั้นมิได้ถูกสร้างขึ้นมาเล่น ไร้สาระ และมิได้ถูกปล่อยทิ้งไว้อย่างไร้ค่า เปล่าประโยชน์แต่อย่างไร แต่ทว่าการกระทำของเราท่าน ตลอดจนคำพูดของเราท่านจะถูกบันทึกในบัญชีของเราท่านทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กหรือเรื่องใหญ่ก็ตาม แล้วในวันกิยามะฮ์ก็จะถูกนำมาคิดบัญชีกันในวันนั้น

 

ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า

     “ดังนั้น ผู้ใดพบว่าตนได้พบกับความดี ก็จงสรรเสริญอัลลอฮฺเถิด และผู้ใดที่พบกับความชั่ว ก็อย่าได้ตำหนิใครเลย นอกจากตัวของพวกเขาเองเท่านั้น

(บันทึกโดย อิมามมุสลิม)

 

          ผู้เป็นบ่าวของอัลลอฮฺทั้งหลาย มนุษย์เรานั้น เมื่อมีชีวิตอยู่ในโลกนี้ มักจะทำตามอารมณ์ ตามใจปรารถนา ด้วยเหตุนี้ จึงจำเป็นที่เขาจะ ต้องทำให้อารมณ์ปรารถนาของเขานั้น สอดคล้องกับสิ่งที่ถูกต้องและดี ตามที่อัลลอฮฺและร่อซูลของพระองค์พอพระทัย เกลียดชังความชั่วร้ายและการฝ่าฝืน ใครที่ทำได้เช่นนี้ เขาก็คือผู้ศรัทธา (มุอฺมิน) หากเขาทำตามอารมณ์ใคร่ใฝ่ต่ำ กระทำความชั่ว และเกลียดชังต่อสิ่งที่ท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม นำมาสั่งสอน เขาก็เป็นผู้ปฏิเสธศรัทธา (กาเฟร) หรือไม่ก็เป็นคนหน้าไหว้หลังหลอก (มุนาฟิก

ดังฮะดิษที่ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า

 

     “คนหนึ่งคนใดในพวกท่าน จะยังไม่ศรัทธา จนกว่าอารมณ์ของเขาจะคล้อยตาม (ดำเนินตาม) สิ่งที่ฉันนำมา

(บันทึกโดย อบุ้ลฟัตฮ์ อัลมักดิซีย์)

 

อัลกุรอานหลายอายะฮ์ ได้ระบุเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวไว้ดังต่อไปนี้

 

     “มิใช่เช่นนั้นดอก ขอสาบานต่อพระเจ้าของเจ้าว่า พวกเขาเหล่านั้น จะยังไม่ศรัทธาจนกว่าพวกเขาจะให้เจ้า (มุฮัมมัด) เป็นผู้ตัดสิน ในสิ่งที่พวกเขาขัดแย้งกันในระหว่างพวกเขา แล้วพวกเขาจะไม่พบว่ามีความคับข้องใจใด ในสิ่งที่เจ้า (มุฮัมมัด) ได้ตัดสินไปแล้ว และพวกเขาจะยอมจำนนโดยดี

(อันนิซาอฺ 4 : 65)

อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ตรัสว่า

 

     “ไม่อนุญาตแก่ชายผู้ศรัทธาและหญิงผู้ศรัทธาคนใด ที่เมื่ออัลลอฮฺและร่อซูลของพระองค์ได้ตัดสินชี้ขาดในเรื่องหนึ่งเรื่องใดไปแล้ว พวกเขายังจะทำเป็นเกี่ยงขอเลือกเอาอย่างนั้น อย่างนี้

(อัลอะฮฺซาบ 33 : 36)

อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ตรัสว่า

 

     “ที่เป็นเช่นนี้ ก็เพราะว่าพวกเขาเกลียดชังสิ่งที่อัลลอฮฺประทานลงมา ดังนั้น พระองค์จึงทรงทำให้การงานของพวกเขาสูญเปล่าไร้ผล

(มุฮัมมัด 47 : 9)

อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ตรัสว่า

 

     “แล้วพวกเขาจะมีสภาพเป็นเช่นใด เมื่อมลาอิกะฮ์ผู้มาเอาชีวิตของพวกเขาด้วยการตบตีที่ใบหน้าพวกเขา และตบตีที่หลังของพวกเขา ที่เป็นเช่นนี้ ก็เพราะว่าพวกเขาปฏิบัติตามสิ่งที่สร้างความกริ้วโกรธให้แก่อัลลอฮฺ และพวกเขาเกลียดชังสิ่งที่เป็นความโปรดปรานของพระองค์ 

     ดังนั้น พระองค์จึงทรงทำให้การงานของพวกเขาไร้ผล บรรดาผู้ที่หัวใจของเขามีโรคอยู่นั้น คิดหรือว่า อัลลอฮฺจะไม่ทรงนำเอาความอิจฉาริษยาของพวกเขาออกมาให้เห็นเป็นที่ประจักษ์ชัด

     และหากเรา (อัลลอฮฺ) ต้องการ แน่นอน เราก็จะเปิดเผยให้เจ้าได้เห็นพวกเขา แล้วเจ้าก็จะรู้จักพวกเขา ที่เครื่องหมายของพวกเขา และแน่นอน เจ้าก็จะรู้จักพวกเขาดี จากน้ำเสียงและจากคำพูดของพวกเขา และอัลลอฮฺนั้นทรงรู้ดียิ่งถึงการงานของพวกเจ้า

(มุฮัมมัด 47 : 27 – 30)

 

          ดังนั้น จึงเป็นหน้าที่ของผู้ศรัทธา (มุอฺมิน) ทุกคน ที่ต้องรักในสิ่งที่อัลลอฮฺทรงรัก ด้วยการเพิ่มพูนความรักให้มากยิ่งขี้นไปอีก และจะต้องเกลียดในสิ่งที่อัลลอฮฺทรงเกลียด ด้วยการไม่ไปยุ่งด้วยเป็นอันขาด การเกลียดสิ่งอันเป็นที่ต้องห้ามนั้นเท่ากับเป็นการปฏิบัติตามท่านร่อซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม 

 

ดังที่อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ตรัสว่า

     “(มุฮัมมัด) จงกล่าวเถิด หากพวกท่านรักอัลลอฮฺ ก็จงปฏิบัติตามฉันเถิด อัลลอฮฺก็จะทรงรัก พวกท่าน และจะทรงอภัยโทษให้กับพวกท่านในความผิดของพวกท่าน และอัลลอฮฺนั้นเป็นผู้ทรงอภัยโทษ เป็นผู้ทรงเอ็นดูเมตตาเสมอ

(อาละอิมรอน 3 : 31)

 

ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า

     “คนหนึ่งคนใดในหมู่พวกท่านจะยังไม่เป็นผู้ศรัทธา จนกว่าฉันจะเป็นที่รักแก่เขายิ่งกว่าตัวของเขา ลูกของเขา ครอบครัวของเขา และผู้คนทั้งหมด

(บันทึกโดย อิมามอัลบุคอรีย์)

 

          มุอฺมินที่แท้จริง จะต้องมอบความรักของเขาให้แก่ท่านร่อซูลเหนือกว่าผู้ใด ทั้งนี้เพราะเขารัก อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา นั่นเอง และผู้ใดที่รักอัลลอฮฺ และร่อซูลยิ่งกว่าอารมณ์ปรารถนาของเขา ยิ่งกว่าทรัพย์สมบัติ ยิ่งกว่าลูกหลานของเขา และครอบครัวของเขา หรือแม้แต่ประเทศชาติของเขาก็ตาม หากสิ่งดังกล่าว ค้านกับความรักที่มีต่ออัลลอฮฺ และร่อซูลของพระองค์ ก็จงระวังเอาไว้ให้ดี 

 

ดังที่อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ตรัสว่า

 

     “(มุฮัมมัด) จงกล่าวเถิด หากบรรดาบิดาของพวกเจ้า และบรรดาลูก ของพวกเจ้า และบรรดา พี่น้องของพวกเจ้า และบรรดาคู่ครองของพวกเจ้า บรรดาญาติมิตรของพวกเจ้า บรรดาทรัพย์สมบัติของพวกเจ้าที่พวกเจ้าได้แสวงหาไว้ และสินค้าที่พวกเจ้าเกรงว่าจะขายไม่ออก และบรรดาที่อยู่อาศัยที่พวกเจ้าพึงพอใจ

     หากทั้งหมดนี้เป็นที่รักใคร่แก่พวกเจ้ายิ่งกว่าอัลลอฮฺ และร่อซูลของพระองค์ ตลอดจนการเสียสละต่อสู้ (ญิฮาด) ในหนทางของพระองค์แล้วไซร้ พวกเจ้าก็จงรอคอยกันเถิด จนกว่าอัลลอฮฺจะนำคำบัญชาแห่งการลงโทษของพระองค์มา อัลลอฮฺนั้นจะไม่ทรงนำทางแก่กลุ่มชนที่ละเมิดฝ่าฝืน

(อัตเตาบะฮฺ 9 : 24)

 

          ด้วยเหตุนี้เอง ที่ผู้อพยพ (มุฮาญิรีน) จึงอพยพจากบ้านเกิดเมืองนอนของพวกเขา อพยพจากทรัพย์สมบัติของพวกเขา เพียงเพราะขืนอยู่ต่อไปอีก ก็จะเป็นการค้านกับการเชื่อฟังปฏิบัติตามอัลลอฮฺ และร่อซูลของพระองค์ ดังที่อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ตรัสว่า

 

     “(ทรัพย์เชลยที่ได้มาจากพวกยะฮูด) นั้น เป็นกรรมสิทธิ์ของบรรดาผู้อพยพ (มุฮาญิรีน) ที่ขัดสน ที่ถูกขับไล่ออกจากบ้านเกิดเมืองนอนของพวกเขา

     และพวกเขาได้ละทิ้งทรัพย์สมบัติของพวกเขา เพื่อต้องการความโปรดปรานของอัลลอฮฺ และความพึงพอพระทัยของพระองค์

     และพวกเขาช่วยเหลืออัลลอฮฺ และร่อซูลของพระองค์ คือบรรดาผู้ที่สัตย์จริง

(อัลฮัซรฺ 59 : 8)

อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ตรัสว่า

 

     “และบรรดาผู้ที่อพยพไปในหนทางของอัลลอฮฺ แล้วเขาก็ถูกฆ่าตาย หรือตายไป แน่นอนอัลลอฮฺจะประทานปัจจัยยังชีพ (ริสกี) ที่ดีให้แก่พวกเขา และ

     แท้จริง อัลลอฮฺนั้นเป็นผู้ทรงประทานปัจจัยยังชีพ (ริสกี) ที่ดีเลิศ พระองค์จะทรงให้พวกเขาได้เข้าสู่สถานที่ที่พวกเขาพึงพอใจ นั่นก็คือ สวนสวรรค์

     แท้จริง อัลลอฮฺเป็นผู้ทรงรอบรู้ เป็นผู้ทรงอดทน

(อัลฮัจญ์ 22 : 58-59)

 

          ผลของการรักอัลลอฮฺยิ่งกว่าการทำตามอารมณ์ปรารถนาของตน และให้สิ่งที่อัลลอฮฺรัก นำหน้าสิ่งที่เขารัก นี่เองจะทำให้เขาได้พบกับความหวานชื่นของการศรัทธา ดังปรากฏอยู่ในฮะดิษซอเฮี๊ยะฮฺ ของท่านอิมามอัลบุคอรีย์ และอิมามมุสลิม แจ้งว่า ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า

 

     “มีอยู่ 3 ประการ ผู้ใดที่มี 3 ประการ อยู่ในตัวของเขา เขาจะพบกับความหวานชื่นของการศรัทธา คือ

     ให้อัลลอฮฺ และร่อซูลของพระองค์เป็นที่รักแก่เขายิ่งกว่าสิ่งอื่นใด และการที่เขารักใครนั้น เขาจะไม่รักเพื่อเหตุอื่นเว้นแต่เพื่ออัลลอฮฺ

     และการที่เขารังเกียจที่จะกลับไปสู่การเป็นผู้ปฏิเสธศรัทธา (กุฟรฺ) ภายหลังจากที่อัลลอฮฺทรงช่วยให้เขารอดพ้นจากการเป็นกุฟรฺมาแล้ว เหมือนกับที่เขารังเกียจในการที่จะถูกโยนเข้าสู่ไฟนรก

(บันทึกโดย อิมามอัลบุคอรีย์)

 

          ความชั่วร้ายทั้งปวงนั้น เกิดขึ้นเพราะการเอาอารมณ์นำหน้าความรักอัลลอฮฺ และร่อซูลของพระองค์ อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ได้ทรงแจ้งลักษณะของมุชริกีนที่ทำตามอารมณ์ ดังปรากฏใน อัลกุรอานที่ว่า

 

     “หากพวกเขาไม่ยอมสนองตอบเจ้า (มุฮัมมัด) ก็พึงรู้เถิดว่า แท้จริง พวกเขาทำตามอารมณ์ใฝ่ต่ำของพวกเขาเท่านั้น

     และผู้ใดเล่าจะหลงผิดยิ่งไปกว่าผู้ที่ดำเนินตามอารมณ์ใคร่ใฝ่ต่ำของเขา โดยมิได้รับแนวทางที่ถูกต้องจากอัลลอฮฺ

     แท้จริง อัลลอฮฺจะไม่ทรงชี้แนะแนวทางที่ถูกต้องแก่กลุ่มชนที่ก่ออธรรม

(อัลกอศ็อศ 28 : 50)

 

          พวกที่ทำอุตริกรรม (บิดอะฮฺ) สร้างกิจกรรมต่าง ในศาสนาขึ้นมาเองโดยไม่มีแบบแผนที่มาจากศาสนานั้น ถือได้ว่าเป็นผู้ที่ทำตามอารมณ์ใคร่ใฝ่ต่ำของตนเอง ซึ่งเป็นการกระทำที่ค้านกับบทบัญญัติของอัลลอฮฺ ด้วยเหตุนี้จึงเรียกผู้ที่ทำบิดอะฮฺ ว่าเป็นผู้ที่ชอบทำตามอารมณ์ (อะฮฺลุ้ลอะฮฺว๊าอฺ) เพราะกระทำการที่ค้านกับบัญญัติของอัลลอฮฺนั่นเอง 

อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ตรัสว่า

 

     “แล้วเราได้ให้เจ้า (มุฮัมมัด) ตั้งอยู่บนแนวทางแห่งบทบัญญัติหนึ่งของศาสนาที่แท้จริง ดังนั้น จงปฏิบัติตามแนวทางนั้นเถิด และอย่าได้ปฏิบัติตามอารมณ์ใฝ่ต่ำของบรรดาผู้ที่ไม่รู้เลย

(อัลญาซิยะฮฺ 45 : 18)

          ผู้ใดที่ทำตามอารมณ์ซึ่งขัดกับคำบัญชาของอัลลอฮฺ ก็เท่ากับเขายึดเอาอารมณ์เป็นพระเจ้าของเขา อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ตรัสว่า

 

     “เจ้า (มุฮัมมัด) เห็นผู้ที่ยึดถือเอาอารมณ์ใฝ่ต่ำของเขาเป็นพระเจ้าของเขาไหม? แล้วเจ้าจะเป็นผู้คุ้มครองเขากระนั้นหรือ?”

(อัลฟุรกอน 25 : 43)

อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ตรัสว่า

 

     “เจ้า (มุฮัมมัด) เคยเห็นผู้ที่ยึดเอาอารมณ์ใฝ่ต่ำของตนเป็นพระเจ้าของเขาไหม?

     แล้วอัลลอฮฺจะ ทรงให้เขาหลงทางไปด้วยกับการรอบรู้ของพระองค์

     และทรงประทับตราบนหูของเขาและหัวใจของเขา และทรงทำให้มีสิ่งบดบังดวงตาของเขาให้มืดบอด

     ดังนั้น ใครจะแนะนำเขาสู่ทางอันเที่ยงตรงได้หลังจากอัลลอฮฺแล้ว พวกเขามิได้พิจารณาใคร่ครวญกันบ้างดอกหรือ?”

(อัลญาซิยะฮฺ 45 : 23)

 

          ผู้ที่กระทำการฝ่าฝืนก็เป็นเพราะเขายึดอารมณ์เป็นใหญ่ ยิ่งกว่าการรักอัลลอฮฺและร่อซูลของพระองค์ คนที่ทิ้งละหมาดก็เช่นเดียวกัน 

อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ตรัสว่า

 

     “แล้วภายหลังจากพวกเขา (บรรดาผู้ยำเกรงอัลลอฮฺ) ชนอีกรุ่นหนึ่งก็ได้สืบช่วงต่อ พวกเขาละทิ้งละหมาด และกระทำตามอารมณ์ใคร่ใฝ่ต่ำ ดังนั้น พวกเขาก็ประสบกับความพินาศหายนะในที่สุด

(มัรยัม 19 : 59)

 

อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ตรัสว่า

     “และเจ้า (ดาวูด) จงอย่าทำตามอารมณ์ใฝ่ต่ำ เพราะมันจะทำให้เจ้าหลงไปจากทางของอัลลอฮฺ แท้จริง บรรดาผู้ที่หลงไปจากทางของ อัลลอฮฺนั้น สำหรับพวกเขาจะถูกลงโทษอย่างแสนสาหัส อันเนื่องมาจากเขาลืมวันแห่งการชำระสอบสวน (วันกิยามะฮฺ) นั่นเอง

(ศ็อด 38 : 26)

 

          เครื่องหมายของความรักของบ่าวที่มีต่ออัลลอฮฺ และร่อซูลของพระองค์ ก็คือ บ่าวจะต้องเป็นผู้ที่อัลลอฮฺ และร่อซูลของพระองค์รัก กล่าวคือ อัลลอฮฺทรงรักคนที่ทำความดี (มุอฺซินีน) อัลลอฮฺทรงรักผู้ที่เกรงกลัวพระองค์ (มุตตะกีน) อัลลอฮฺทรงรักผู้ที่กลับเนื้อกลับตัว (อัตเตาวาบีน) อัลลอฮฺทรงรักผู้ที่ทำตนให้สะอาดบริสุทธิ์ (มุตะเฏาะฮิรีน) อัลกุรอานและอัลฮะดิษระบุเอาไว้มากมายถึงผู้ที่อัลลอฮฺทรงรักบรรดามุอฺมิน อันเนื่องจากการกระทำของเขา คำพูดของเขาและจรรยามารยาทของเขา

 

อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ตรัสว่า

 

     “และในหมู่มนุษย์นั้น มีผู้ที่ยึดเอาบรรดาภาคีอื่นจากอัลลอฮฺเป็นพระเจ้า พวกเขารักบรรดาภาคีเหล่านั้น เช่นเดียวกับที่รักอัลลอฮฺ แต่บรรดาผู้ศรัทธานั้น เป็นที่รักอัลลอฮฺมากยิ่งกว่า

     และหากบรดาผู้ก่ออธรรมได้เห็น ขณะที่พวกเขาเห็นการลงโทษอยู่นั้น แน่นอน พวกเขาจะต้องตระหนักดีว่า แท้จริง พลังนั้นเป็นของอัลลอฮฺ และแท้จริง อัลลอฮฺนั้นเป็นผู้ทรงลงโทษที่รุนแรงยิ่งนัก

     และจงรำลึกถึง ขณะที่บรรดาผู้ที่ถูกตามได้ปลีกตัวแยกออกจากบรรดาผู้ที่ตามพวกเขาและขณะที่พวกเห็นการลงโทษ และขณะที่บรรดาสัมพันธภาพที่มีต่อกันนั้นได้ขาดสะบั้นลง

     และบรรดาผู้ที่ตามได้กล่าวขึ้นว่า หากว่าเรามีโอกาสกลับไปยังโลกดุนยาอีกครั้งหนึ่ง เราก็จะปลีกตัวแยกออกไปจากพวกเขาบ้าง เช่นเดียวกับที่พวกเขาได้ปลีกตัวแยกออกไปจากพวกเรา

     ในทำนองเดียวกันนั้นแหละ อัลลอฮฺจะทรงให้พวกเขาได้เห็นบรรดาผลงานของพวกเขา เป็นที่น่าเสียใจแก่พวกเขา และทั้งพวกเขาจะไม่ได้ออกไปจากไฟนรกอีกด้วย

(อัลบะเกาะเราะฮฺ 2 : 165 – 167)

 

          ท่านอิบนิ อับบ๊าส ร่อฎิยัลลอฮุอันฮุ กล่าวว่า : ดำรัสของอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ที่ว่า

 

     “และบรรดาสัมพันธ์ภาพที่มีต่อกันนั้น ได้ขาดสะบั้นลง” (อัลบะเกาะเราะฮฺ 2 : 166) นั้น หมายถึง ความรัก (อัลมะวัดดะฮ์) นั่นเอง

(บันทึกโดย อัลฮากิม ในอัลมุสตัดร็อก)

อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ตรัสว่า

 

     “อัลลอฮฺ คือ ผู้ที่ทรงช่วยเหลือบรรดาผู้ศรัทธา ด้วยการนำพวกเขาออกจากความมืดสู่ความสว่าง และบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธานั้น ผู้ช่วยเหลือพวกเขาก็คือฏอฆูตพวกมันจะนำพวกเขาออกจากความสว่างไปสู่ความมืด ชนเหล่านี้แหละ คือ ชาวนรก พวกเขาจะอยู่ในนรกนั้นตลอดกาล

(อัลบะเกาะเราะฮฺ 2 : 257)

 

          ผู้เป็นบ่าวของอัลลอฮฺทั้งหลาย จงเกรงกลัวอัลลอฮฺเถิด จงดูผู้ที่ท่านรัก และผู้ที่ท่านคบเป็นเพื่อน เพราะคนเรานั้นจะได้อยู่กับผู้ที่เขารักในวันกิยามะฮฺ อิมาม อิบนิ กอยยิม รอฮิมะฮุ้ลลอฮฺ ได้กล่าวถึงสาเหตุที่อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ทรงรักและผู้ที่พระองค์ทรงรักไว้ 10 ประการด้วยกันคือ

 

   1. การอ่านอัลกุรอาน และพินิจพิจารณาความหมายอัลกุรอาน

   2. รำลึกถึงอัลลอฮฺ อยู่เป็นประจำ ในทุกสภาพการณ์ ด้วยหัวใจ ด้วยคำพูด (ลิ้น) และด้วยการกระทำ

   3. ทำตนให้ใกล้ชิดกับอัลลอฮฺด้วยการปฏิบัติสิ่งที่เป็นซุนนะฮฺ ภายหลังจากที่ได้ปฏิบัติสิ่งที่เป็น วาญิบไปแล้ว

   4. ให้มีร่องรอยของความรักของอัลลอฮฺปรากฏอยู่ในตัวของเขา

   5. พินิจพิจารณาพระนามและคุณลักษณะ (ซิฟาต) ของอัลลอฮฺ เพราะใครที่รู้จักอัลลอฮฺด้วยกับพระนามของพระองค์และการกระทำของพระองค์ เขาก็จะรักพระองค์เต็มตัว

   6. ให้พินิจพิจารณาถึงความโปรดปรานของอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ที่มีต่อผู้เป็นบ่าว เพราะการพินิจพิจารณานึกถึงความโปรดปรานดังกล่าว เป็นการเรียกร้องไปสู่ความรักของผู้ที่ประทานความโปรดปรานมาให้

   7. สลายหัวใจไปอยู่ในพระหัตถ์ของอัลลอฮฺ

   8. การอยู่กับอัลลอฮฺในเวลาที่ใกล้ชิดกับพระองค์ นั่นก็คือ ด้วยการอ่านดำรัสของพระองค์ ในช่วงตอนท้ายของกลางคืน และจบด้วยการขออภัยโทษต่อพระองค์

   9. อยู่ร่วมกับคนดี คนซอและฮฺ คนที่เป็นที่รักของอัลลอฮฺ และคนที่สัจจริง (อัซซอดิกีน)

   10. ห่างไกลจากทุกสิ่งที่เป็นสาเหตุทำให้จิตใจหวั่นไหว เปลี่ยนแปลงไปจากอัลลอฮฺ พระองค์คือ ผู้ทรงให้หัวใจเปลี่ยนแปลง ไหวหวั่นได้

 

          ผู้เป็นบ่าวของอัลลอฮฺทั้งหลาย จงพยายามดำเนินตามทั้ง 10 ประการนี้ ซึ่งจะเป็นสาเหตุให้พวกเรา ท่านเป็นที่รักใคร่ของอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา และจงห่างไกลการกระทำที่ตรงกันข้ามกับที่ได้กล่าวมาแล้ว

 

     พึงรู้เถิดว่าคำพูดที่ดีที่สุดนั้น คือ คัมภีร์ของอัลลอฮฺ และแนวทางที่ดีที่สุด คือ แนวทางของท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม

 

 

วารสารสายสัมพันธ์ : พฤศจิกายน - ธันวาคม 2559