คำถามที่ไม่ต้องการคำตอบจากชาวชีอะฮฺ
โดย ชาวชีอะฮ์ที่กลับใจมาเป็นซุนนะฮฺ
แปลโดย อาจารย์อิหฺซาน มีผลกิจ
คำนำ
การสรรเสริญทั้งมวลล้วนเป็นกรรมสิทธิ์ของอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาล แต่เพียงผู้เดียว อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ตรัสไว้ในอัลกุรอานของพระองค์ว่า
“และแท้จริง นี่คือทางของข้าอันเที่ยงตรง พวกเจ้าจงปฏิบัติตามกันเถิด และจงอย่าปฏิบัติตามหลาย ๆ ทาง เพราะมันจะทำให้พวกเจ้าแตกแยกออกไปจากทางของพระองค์”
(อัลอันอาม 6 : 153)
ขอสดุดี และความศานติ จงประสบแด่ท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ศาสนทูตท่านสุดท้าย และท่านได้กล่าวไว้ว่า
“พวกยิวจะแตกออกเป็นเจ็ดสิบเอ็ดจำพวก และพวกคริสต์จะแตกออกเป็นเจ็ดสิบสองจำพวก และประชาชาตินี้จะแตกเป็นเจ็ดสิบสามจำพวก ทุก ๆ กลุ่มจะอยู่ในนรกทั้งสิ้น ยกเว้นกลุ่มเดียวเท่านั้นที่จะรอดปลอดภัย
มีผู้ถามว่า : โอ้ ท่านร่อซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม กลุ่มนั้นเป็นใครกันหรือที่จะรอดพ้นจาก ไฟนรก ?
ท่านร่อซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ตอบว่า : คือกลุ่มที่เขาปฏิบัติตามแนวทางของฉันและแนวทางของบรรดาซอฮาบะฮ์ของฉัน”
(บันทึกโดย อิมามอบูดาวูด อัตติรมิซีย์ อันนะซาอีย์ และอิบนิฮิบบาน)
นับเป็นพระประสงค์ของอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ที่ปรารถนาจะให้บรรดามุสลิมทั้งหลาย ที่มีความแตกแยกกันเป็นกลุ่ม ๆ มีความคิดที่หลากหลาย และมีการโต้ตอบกัน ได้ย้อนกลับมาหาอัลกุรอานและซุนนะฮ์ของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ดังที่พระองค์ตรัสไว้ว่า
“หากพวกเจ้าขัดแย้งกันในสิ่งใด ก็จงนำสิ่งนั้นกลับไปหาอัลลอฮฺและผู้เป็นร่อซูล หากพวกเจ้าศรัทธาต่ออัลลอฮฺและวันอาคิเราะฮฺ นั่นแหละ เป็นสิ่งที่ดียิ่ง และเป็นการกลับไปที่สวยงามยิ่ง”
(อันนิซาอฺ 4 : 59)
ดังนั้น จึงจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับใครก็ตามที่ทำหน้าที่เผยแพร่ศาสนา ที่จะต้องสร้างความรักความสามัคคีให้เป็นหนึ่งเดียวกัน โดยการพยายามนำเรื่องที่เกิดการขัดแย้งกลับไปหาอัลกุรอาน และซุนนะฮฺของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม และนำความจริงที่เกิดขึ้นในยุคของท่านร่อซูลออกมาตีแผ่ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องหลักเชื่อมั่น (อะกีดะฮฺ) นิติบัญญัติ (ชะรีอะฮฺ) และจริยธรรม โดยให้อยู่ภายใต้ดำรัสของอัลลอฮฺที่ว่า
“และพวกเจ้าจงยึดสายเชือกของอัลลอฮฺโดยพร้อมเพรียงกันทั้งหมด”
(อาละอิมรอน 3 : 103)
สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ การรีบเร่งในการทำความเข้าใจกับบรรดากลุ่มต่าง ๆ ที่แหวกแนว มีความคิดที่สุดโต่ง ขัดแย้งกับสัจธรรมความจริง ออกนอกกรอบของอัลกุรอาน และซุนนะฮฺของท่านนบี ให้พวกเขาเหล่านั้นกลับมาสู่แนวทางที่ถูกต้อง และดำรงอยู่ร่วมกันกับญะมาอะฮฺมุสลิม
ตรงนี้แหละที่เป็นแรงผลักดันให้เกิดประกายแห่งความคิดในการรวบรวมเอาปัญหา ข้อคลุมเครือต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นกับบรรดาเยาวชน นักศึกษาชาวชีอะฮฺกลุ่มอิมามสิบสอง มารวบรวมไว้เพื่อพวกเขาเหล่านั้นจะได้มีส่วนร่วมในการเผยแพร่ข้อมูลแห่งความจริง และนำเอาไปตอบโต้กับบรรดานักวิชาการชาวชีอะฮฺอย่างสมเหตุสมผล
แต่อย่างไรก็ตาม เรื่องราวต่าง ๆ ที่มีอยู่ในหลักการ และในประวัติศาสตร์ของชีอะฮฺนั้นไม่มีหนทางที่จะเป็นจริงและถูกต้องได้เลย เพราะความถูกต้องและความจริงนั้น คือสิ่งที่มาจากอัลกุรอาน และซุนนะฮฺของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม เท่านั้น ซึ่งทั้งสองสิ่งนี้จะไม่มีหนทางที่จะมีการขัดแย้งกันเลย
เป็นเรื่องที่น่าประทับใจสำหรับข้าพเจ้ามากที่ชาวชีอะฮฺท่านหนึ่งได้หลุดพ้นจากแนวทางชีอะฮ์ที่ หลงผิด ไปสู่ทางนำที่ถูกต้องของอิสลาม ด้วยการอ่านหนังสือศาสนาเล่มหนึ่งที่มีชื่อว่า “ฉันได้ซอฮาบะฮ์ แต่ฉันก็ไม่สูญเสียอะฮ์ลุ้ลบัยติ” (I have gained sahabah but I did not lose Ahlulbait) เขียนโดย อบูคอลีฟะฮฺ อาลี อิบนิ มุฮัมมัด อัลกุฏอยบีย์
ชีอะฮ์ท่านนี้ได้รับทางนำที่ถูกต้อง อันเนื่องมาจากการตัดสินใจของเขาในการอ่านหนังสือดังกล่าว และสำหรับมุสลิมที่แท้จริงนั้น เขาจะไม่มีความลำบากใจอะไรเลยที่จะมอบความรักให้กับบรรดาซอฮาบะฮ์ และบรรดาอะฮ์ลุ้ลบัยตฺไปพร้อม ๆ กัน ซึ่งทำให้ข้าพเจ้าคิดถึงเมื่อครั้งหนึ่งที่มีชาวคริสเตียนคนหนึ่งมาเข้ารับอิสลาม และเขาได้เขียนหนังสือขึ้นเล่มหนึ่ง โดยตั้งชื่อหนังสือเล่มที่ว่า “ฉันได้มุฮัมมัด แต่ฉันก็ไม่สูญเสียอีซา อะลัยฮิสลาม” (I have gained Muhammad but I did not lose The Messiah)
สำหรับปัญหาข้อเคลือบแคลงสงสัยทั้งหมดที่ได้รวบรวมไว้ในหนังสือเล่มนี้ ข้าพเจ้าได้คัดเลือกและรวบรวมมาจากกระทู้ต่าง ๆ ในเว็บไซต์ อินเตอร์เน็ต โดยเฉพาะกระทู้เครือข่ายชีอะฮ์ หลังจากนั้นก็ได้ทำการรวบรวมจัดระเบียบในแต่ละประเด็น
ขออัลลอฮฺทรงดลบันดาลให้บรรดาเยาวชนชาวชีอะฮ์ที่เข้ามารับอิสลาม และยอมรับซุนนะฮฺที่ถูกต้องได้รับประโยชน์จากข้อมูลที่ได้นำเสนอในหนังสือเล่มนี้ และขอพระองค์ทรงให้ข้อมูลทั้งหมดนี้ เป็นกุญแจที่จะไขไปสู่ความดีและความถูกต้อง ซึ่งแน่นอนที่สุดสำหรับการหวนกลับไปสู่สัจธรรมแห่งความจริงนั้น ย่อมดีกว่าความดื้อรั้น จมปลักอยู่กับความหลงผิด และคน ๆ เดียวที่เขามีความมั่นคงอยู่บนแนวทางซุนนะฮฺนั้น ย่อมจะมีเกียรติ และศักดิ์ศรีเหนือกว่าคนจำนวนนับพัน ที่จมปลักอยู่กับแนวทางที่โกหก และเสื่อมเสีย เฝ้าคอยแต่จะโต้แย้งกับสัจธรรมแห่งความจริงของศาสนา หมกหมุ่นอยู่กับอารมณ์ใฝ่ต่ำ จมปลักอยู่กับสิ่งที่ไม่เป็นความจริง
อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ตรัสว่า
“ผู้ใดปฏิเสธศรัทธา การปฏิเสธศรัทธานั้นก็ตกอยู่กับเขา และผู้ใดที่ทำความดี พวกเขาก็เตรียมที่พำนักไว้สำหรับตัวของพวกเขาเอง”
(อัรรูม 30 : 44)
อบู มุสอับ ปีฮิจญเราะฮฺศักราชที่ 1426
ข้อคลุมเครือในหลักความเชื่อของชีอะฮ์ที่ยังไม่มีคำตอบชัดเจน
ข้อที่ 1 ชาวชีอะฮ์มีความเชื่อว่า ท่านอาลี อิบนิ อบีฏอลิบ ร่อฎิยัลลอฮุอันฮุ คืออีมามที่มะอ์ซูม (ปราศจากความผิด) แต่ในขณะเดียวกัน พวกเราชาวซุนนะฮฺ และบรรดาชาวชีอะฮ์ก็ทราบดีว่า ท่านอาลีนั้นได้แต่งลูกสาวของท่าน ที่ชื่อ อุมมุกัลป์โซม ให้กับท่านอุมัร อิบนิล ค็อฏฏ็อบ ร่อฎิยัลลอฮุอันฮุ ซึ่งเรื่องดังกล่าวนี้ สามารถอธิบายได้สองประเด็น
ประเด็นแรก ท่านอาลีหมดความชอบธรรมแล้วที่จะเป็นอิมามที่มะอ์ซูม เพราะท่านยกลูกสาวของท่านให้กับท่านอุมัร ร่อฎิยัลลอฮุอันฮุ ที่ชาวชีอะฮ์กล่าวหาว่าเป็นกาเฟร ดังนั้น เมื่อท่านอาลีหมดความชอบธรรม ไม่ใช่อิมามที่มะอ์ซูมแล้ว บรรดาอิมามหลังจากท่านจะเป็นอิมามที่มะอ์ซูมได้อย่างไร ? เพราะบรรดาอิมามของชาวชีอะฮ์ทั้งหมด คือลูกหลานของท่านอิมามของอาลีทั้งสิ้น
ประเด็นที่สอง หรือว่าท่านอุมัร ร่อฎิยัลลอฮุอันฮุ เป็นมุสลิม ท่านอาลีจึงมีความต้องการที่จะเกี่ยวดองเป็นญาติด้วย เลยตกลงยกลูกสาวให้กับท่านอุมัร ร่อฎิยัลลอฮุอันฮุ ซึ่งหากเป็นเช่นนี้ ก็ถือเป็นเรื่องที่แปลกมากๆ เพราะท่านอุมัร ร่อฎิยัลลอฮุอันฮุ นั้น นับเป็นศัตรูของชีอะฮ์ และจะเป็นไปได้อย่างไรที่ท่านอาลีจะ ยกลูกสาวของตนเองให้กับศัตรู
ข้อที่ 2 ชาวชีอะฮ์ได้กล่าวว่า ท่านอบูบักร ร่อฎิยัลลอฮุอันฮุ และท่านอุมัร ร่อฎิยัลลอฮุอันฮุ นั้น ตกเป็นกาเฟร แต่ขณะเดียวกันเราก็พบว่าท่านอิมามอาลีที่มะอ์ซูมของชาวชีอะฮ์ ได้ออกมารับรองการเป็น คอลีฟะฮ์ของท่านทั้งสองด้วยการทำสัตยาบัน (มุบายะอะฮ์) ดังนั้น ท่านอาลีจึงไม่ใช่อีมามที่มะอ์ซูมแล้ว เพราะไปรับรองกาเฟร ซึ่งเป็นไปได้อย่างไร ?
ข้อที่ 3 หลังจากที่ท่านหญิงฟาติมะฮ์ภรรยาของท่านอาลีได้เสียชีวิตลง ท่านอาลีก็ได้แต่งงานใหม่กับสตรีท่านอื่น อีกหลายท่านด้วยกัน และก็ได้มีลูกสืบสกุลอีกหลายคนด้วยกัน ดังต่อไปนี้
1. แต่งงานกับนางอุมมุล บะนีน บินติ ฮิชาม อิบนิ ดาริม และมีบุตรด้วยกัน ดังนี้
- ท่านอับบ๊าส อิบนิ อาลี อิบนิ อบีฏอลิบ
- ท่านอับดุลลอฮ์ อิบนิ อาลี อิบนิ อบีฏอลิบ
- ท่านญะอ์ฟัร อิบนิ อาลี อิบนิ อบีฏอลิบ
- ท่านอุสมาน อิบนิ อาลี อิบนิ อบีฏอลิบ
2. แต่งงานกับนางลัยลา บินติ มัสอู๊ด อัดดารีมียะฮ์ มีบุตรด้วยกัน 2 คน
- ท่านอับบ๊าส อิบนิ อาลี อิบนิ อบีฏอลิบ
- ท่านอบูบักร อิบนิ อาลี อบีฏอลิบ
3. แต่งงานกับนางอัสมาอ์ บินติ อุมัยส์ (อดีตภรรยาของท่านญะอ์ฟัร อิบนิ อบีฏอลิบ ร่อฎิยัลลอฮุอันฮุ) มีบุตรด้วยกัน 3 คน
- ท่านยะห์ยา อิบนิ อาลี อิบนิ อบีฏอลิบ
- ท่านมุฮัมมัด อัลอัซฆอร อิบนิ อาลี อิบนิ อบีฏอลิบ
- ท่านเอาน์ อิบนิ อาลี อิบนิ อบีฏอลิบ
4. แต่งงานกับอุมมุ ฮะบี๊บ บินติ รอบีอะฮ์ มีบุตร 2 คน
- นางรุกอยยะฮ์ บินติ อาลี อิบนิ อบีฏอลิบ
- ท่านอุมัร อิบนิ อาลี อิบนิ อบีฏอลิบ (เสียชีวิตเมื่อมีอายุได้ 35 ปี)
5. แต่งงานกับนางอุมมุ มัสอู๊ด บินติ อุรวะฮ์ อิบนิ มัสอู๊ด อัซซะกอฟีย์ มีบุตร 2 คน
- นางอุมมุลฮาซัน บินติ อาลี อิบนิ อบีฏอลิบ
- นางรอมละฮ์ อัลกุบรอ บินติ อาลี อิบนิ อบีฏอลิบ
คำถาม ณ ที่นี้ก็คือ เป็นไปได้อย่างไรที่ท่านอาลีได้นำเอาชื่อของบรรดาศัตรู มาตั้งเป็นชื่อลูกของท่านเอง เช่น ชื่ออบูบักร อุมัร และอุสมาน ซึ่งชื่อดังกล่าวนี้เป็นชื่อของบุคคลที่บรรดาชาวชีอะฮ์เกลียดที่สุด บรรดาชาวชีอะฮ์ทั้งหลายพึงทราบเถิดว่า ท่านอาลีนั้นเป็นชาวกุรอยช์คนแรก ที่ตั้งชื่อลูกของตัวเองว่า อบูบักร อุมัรและอุสมาน
ข้อที่ 4 ในหนังสือ “นะฮ์ญุลบะลาเฆาะฮ์” ที่ชาวชีอะฮ์ให้การยอมรับ ได้ระบุว่าท่านอาลีนั้น ไม่ขอรับตำแหน่งคอลีฟะฮ์
โดยข้อความระบุว่า“ท่านทั้งหลายจงละทิ้งฉัน และไปแต่งตั้งคนอื่นเถิด”
ซึ่งคำพูดของท่านอาลี ดังกล่าวนี้ขัดแย้งกับแนวทางชีอะฮ์ที่กล่าวว่า : ผู้นำนั้นเป็นกำหนด(ฟัรฏ์) ที่มาจากอัลลอฮฺ ดังนั้น มันจะเป็นไปได้อย่างไรกันที่ท่านอาลียอมสละไม่รับตำแหน่ง ? แต่ในขณะเดียวกัน บรรดาชีอะฮ์ก็กล่าวว่า : ท่านอาลี ได้เคยขอตำแหน่งจากท่านอบูบักร ? ซึ่งเรื่องดังกล่าวฟังแล้วสับสนไปหมด หาความชัดเจนอะไรไม่ได้เลย ?
ข้อที่ 5 ชาวชีอะฮ์ได้กล่าวว่า ท่านหญิงฟาติมะฮ์นั้น คือ ส่วนหนึ่งของท่านร่อซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม แต่ท่านอบูบักร ร่อฎิยัลลอฮุอันฮุ กลับเหยียดหยามดูถูกนาง ทำให้ซี่โครงของนางหัก ทำให้นางต้องแท้งลูกในท้องที่ได้ชื่อไว้แล้วว่า “มัวะฮ์ซิน” และตั้งท่าจะเผาบ้านนางอีก คำถามก็คือ หากเรื่องนี้เป็นเรื่องจริง ท่านอาลีไปอยู่เสียที่ไหน ? ทำไมจึงไม่ออกมาปกป้องนาง รักษาเกียรติ และศักดิ์ศรีของนาง ทั้ง ๆ ที่ท่านอาลี คือผู้ที่มีความกล้าหาญชาญชัยยิ่งนัก
ข้อที่ 6 อีกทั้งท่านอาลีเองเป็นคนแรกที่ตั้งชื่อลูกของท่านว่า อบูบักร เช่นกัน ท่านฮาซัน อิบนิ อาลี ได้ตั้งชื่อลูกชายทั้งสามว่า อบูบักร อับดุรเราะห์มาน ฏ็อลฮะฮ์ และอุบัยดิลลาห์
ท่านฮาซัน อิบนุลฮาซัน อิบนุ อาลี ก็ตั้งชื่อเหล่านี้เช่นกัน ส่วนท่านมูซา อัลกาซิม ได้ตั้งชื่อบุตรสาวว่า อาอิซะฮ์ ส่วนในหมู่อะฮ์ลุ้ลบัยติที่ตั้งชื่อบุตรของตนว่าอุมัรนั้น มีดังนี้
- ท่านอาลี อิบนิ อบีฏอลิบ ที่ตั้งชื่อลูกชายว่า อุมัร อัลอักบัร (คนโต) ซึงมีแม่ชื่ออุมมุฮาบี๊บ บินติ รอบีอะฮ์ และลูกอีกคนหนึ่งท่านก็ตั้งชื่อว่า อุมัร อัลอัซฆ็อร (คนเล็ก) ซึ่งมีแม่ชื่อ อัซซอฮ์บาฮ์ อัตตัฆลุบียะฮ์
- ส่วนลูกชายของท่านอาลี คือ ท่านอัลฮาซันได้ตั้งชื่อลูกว่า อบูบักร และอุมัร
- ท่านซัยนุลอาบิดีน ท่านมูซา อัลกาซิม และท่านอัลฮุซัยน์ บุตรของซัยด์ บุตรของท่านอาลีก็เช่นกัน พวกเขาตั้งชื่อลูกว่า อุมัร
- และยังมีอีกมากมายที่เราไม่ขอระบุในที่นี้ เพราะเกรงว่าจะยืดยาว
- ส่วนผู้ที่ตั้งชื่อบุตรสาวตนเองว่า อาอิซะฮ์ นั้นมีทั้งท่านมูซา อัลกาซิม และอาลี อัลฮาดี
ข้อที่ 7 ผู้รู้ของชีอะฮ์ที่ชื่อ อัลกุลัยนีย์ได้กล่าวในหนังสือ “อัลกาฟีย์” ว่า : “แท้จริง บรรดาอิมามสามารถจะทราบได้ว่า เขาจะเสียชีวิตเมื่อใด และก็สามารถที่จะเลือกวิธีที่จะเสียชีวิตได้ด้วย”
อัลมัจญลิซีย์ ได้กล่าวในหนังสือของเขาที่ชื่อว่า “บิฮารุ้ลอันว๊าร” ว่า : อิมามจะไม่ตาย นอกจากเขาจะเลือกตายด้วยกับการถูกฆ่าหรือการกินยาพิษ”
ในเมื่ออิมามของชาวชีอะฮ์สามารถที่จะรู้ได้ว่า ตัวเองจะตายเมื่อใด และก็รู้ด้วยว่า สิ่งที่เขาได้รับจากอาหาร และเครื่องดื่มนั้นมียาพิษ และยังกินมันเข้าไปอีก ก็เท่ากับเขาได้ฆ่าตัวเองตาย
และท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้กล่าวชัดเจนว่า : “ผู้ที่ฆ่าตัวตายนั้นจะอยู่ในนรก”
อยากทราบว่าบรรดาชาวชีอะฮ์เห็นด้วย และพึงพอใจกระนั้นหรือ ? ที่จะเห็นอิมามของตนอยู่ในนรก ?
มี ต่ อ
ที่มา : วารสารสายสัมพันธ์ กันยายน – ตุลาคม 2559