ท่านนบีอิดรีส และท่านนบีนั๊วะห์ อะลัยฮิมัสลาม
บรรยายโดย : เชค ฏอริค สุวัยดาน
ถอดความโดย : ฟาฏิน บรอฮีมี
อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ตรัสไว้ในอัลกุรอานว่า
“เราจะเล่าเรื่องราวที่ดียิ่งแก่เจ้า (มุฮัมมัด)”
(ยูซุฟ 12 : 3)
“เราจะเล่าเรื่องราวของพวกเขาแก่เจ้า (มุฮัมมัด) ตามความเป็นจริง”
(อัลกะฮฺฟิ 18 : 13)
นบีอิดรีส อะลัยฮิสลาม
นบีซีสเป็นปู่ทวดคนที่ห้าของนบีอิดรีส อะลัยฮิสลาม นบีอิดรีสเกิดในสมัยที่นบีอาดัมยังมีชีวิต ซึ่งตอนนั้นนบีอาดัมมีอายุได้ 120 ปี หลังจากที่ซีสเสียชีวิตลง อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ทรงเลือก นบีอิดรีสจากลูกหลานของอาดัมให้เป็นนบีและร่อซูล
ในฮะดิษรายงานว่า
“ท่านเป็นนบีคนแรกหลังจากนบีอาดัมและท่านซีส อะลัยฮิมัสลาม”
และยังมีรายงานอีกว่า ท่านเป็นนบีคนแรกที่เขียนโดยใช้ปากกา เป็นคนแรกที่ทำให้การเขียนถูกใช้อย่างแพร่หลายในหมู่คน และเป็นคนแรกที่สวมอาภรณ์ที่เย็บด้วยผ้า (ก่อนหน้านี้เป็นอาภรณ์ที่ทำจากหนังสัตว์) และเป็นคนแรกที่คิดค้นวิชาดาราศาสตร์และวิชาคณิตศาสตร์”
ลักษณะของท่านนั้น ดังที่ท่านอิบนุ กะษีรได้รายงานไว้ว่า
“ท่านเป็นชายผิวสีน้ำตาลเข้ม สูง หน้าตาดี เคราดก ลักษณะท่าทางภูมิฐาน ใบหน้าคมคาย เปี่ยมด้วยมารยาท ไหล่กว้าง กระดูกใหญ่ และเนื้อน้อย (คือไม่อ้วน) ดวงตาทั้งสองเป็นประกาย ขอบตา คมเข้ม พูดจาเนิบนาบมีจังหวะ เป็นคนเงียบขรึม ร่างกายสมบูรณ์ เมื่อยามที่ท่านเดินท่านมักจะมองไปที่พื้น เป็นคนช่างคิด เมื่อโมโหก็จะเสียงดัง เมื่อพูดก็จะขยับนิ้วชี้ไปมา...”
นบีอิดรีส อะลัยฮิสลาม ปกครองกลุ่มชนด้วยกฎหมายของนบีซีส และเพิ่มเติมบางข้อเข้าไปด้วย แต่ความเสื่อมเสียชั่วร้ายก็ยังคงมีอยู่และมากขึ้น ที่พวกเขาทำร้ายคนดี ๆ อย่างต่อเนื่อง ดังนั้น นบีอิดรีสจึงเตรียมกองกำลังทหารและสู้รบกับพวกนั้น จนชนะในที่สุด ท่านเป็นคนแรกที่ทำสงครามและจับเชลยในหนทางของอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา
เรื่องราวของท่านถูกกล่าวไว้ไม่มาในอัลกุรอาน อัลออฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ตรัสไว้ใน ซูเราะฮฺมัรยัม อายะฮฺที่ 56 – 57 ที่ว่า
“และจงกล่าวถึงเรื่องอิดรีสที่อยู่ในคัมภีร์ แท้จริง เขาเป็นผู้ที่ซื่อสัตย์ เป็นนบี และเรา (อัลลอฮฺ) ได้เทิดเกียรติด้วยตำแหน่งอันสูงส่ง”
จากฮะดิษซอเฮียะฮฺ ระบุว่า
“แท้จริง ท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้พบกับนบีอิดรีสในฟ้าชั้นที่สี่ ในคืน อิสรออฺและเมี๊ยะรอจญ์”
แม้ว่าความเสื่อมเสียและความชั่วร้ายจะแพร่สะพัดไปในแผ่นดินก็ตาม แต่ผู้คนก็ยังคงอยู่บนเตาฮีด (ให้เอกภาพต่ออัลลอฮฺ) หลังจากที่นบีอาดัมเสียไปแล้ว 1,000 ปี อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ตรัสในซูเราะฮฺอัลบะกอเราะฮฺ อายะฮฺที่ 213 ที่ว่า
“มนุษย์นั้น เคยเป็นประชาชาติเดียวกันมาก่อน”
จนกระทั่งพวกเขาได้เริ่มอิบาดะฮฺรูปเจว็ด แล้วมันเกิดขึ้นได้อย่างไร ?
นบีนั๊วะห์ อะลัยฮิสลาม
เรื่องมีอยู่ว่า ก่อนการแต่งตั้งนบีนั๊วะห์เป็นนบีนั้น มีคนดีกลุ่มหนึ่งจากกลุ่มของท่านที่อยู่มาก่อน พวกเขาเป็นที่รักของผู้คน ผู้คนอยากใกล้ชิดกับพวกเขา และสรรเสริญพวกเขา ดังนั้น เมื่อพวกเขาเสียชีวิตลง หรือบางคนอาจจะสูญหายไป ชัยฏอนก็ได้เข้ามากระซิบกระซาบ ผู้คนจึงนำเอาก้อนหินหรืออะไรก็ตามมาวางไว้ ณ ที่ที่บรรดาคนดี ๆ เหล่านั้นมักจะมารวมตัวกัน และเรียกสิ่งเหล่านั้นด้วยชื่อของบรรดาคนดี ๆ ที่ได้เสียชีวิตไปแล้ว เพื่อเป็นเครื่องหมายให้รำลึกถึง เพื่อจะได้ไม่ลืมพวกเขา
ซึ่งชื่อของบรรดาก้อนหินที่พวกเขาเรียก ได้แก่ วัดด์ ซุวาอ์ ยะฆูษ ยะอู๊ก และนัซร์ เป็นต้น แม้พวกเขาจะทำเช่นนี้ แต่พวกเขาก็ไม่ได้ทำการกราบไหว้ก้อนหินเหล่านั้นแต่อย่างใด ผู้คนยังคงให้เอกภาพต่ออัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา องค์เดียว แต่เมื่อชนรุ่นนี้ได้สูญสิ้นลง และมีชนรุ่นใหม่มาทดแทน พวกเขาไม่รู้ถึงเจตนาที่แท้จริงของชนรุ่นก่อน ก้อนหินเหล่านี้ถูกตั้งไว้เพียงเพื่อให้รำลึกถึงเท่านั้น ไม่ใช่ให้ทำการอิบาดะห์ พวกเขาจึงได้ทำการขอบะรอกะฮฺจากก้อนหินเหล่านั้น ด้วยคิดว่ามันเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ และในที่สุดพวกเขาก็อิบาดะฮฺต่อมัน
ท่านอิบนุอับบ๊าส ร่อฎิยัลลอฮุอันฮุมา กล่าวว่า
“บรรดาเจว็ดเหล่านี้มีอยู่เพียงแต่ในกลุ่มชนของนั๊วะห์ ในตอนหลังได้กลายมาอยู่ในอาหรับ และเป็นที่รู้จักในหมู่ชาวอาหรับ”
อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ตรัสไว้ในซูเราะฮฺนั๊วะห์ อายะฮฺที่ 23 ว่า
“และพวกเขาได้กล่าวว่า : พวกท่านอย่าได้ทอดทิ้งบรรดาพระเจ้าทั้งหลายของพวกท่านเป็นอันขาด พวกท่านอย่าได้ทอดทิ้งวัดด์ และสุวาอฺ และยะฆูษ และยะอู๊ก และนัซรฺ เป็นอันขาด”
การทำชิริกแพร่ขยายไปในแผ่นดิน จนกระทั่งไม่มีใครอยู่ในหลักเตาฮีดแม้แต่คนเดียว พวกเขากลายเป็นผู้ปฏิเสธศรัทธา นอกจากนบีนั๊วะห์ อะลัยฮิสลาม เท่านั้น ที่ยังคงอยู่ในหลักเตาฮีด และนั่นเอง นบีนั๊วะห์จึงถูกแต่งตั้งให้เป็นร่อซูล
ในฮะดิษอิมามอัลบุคอรีย์ จากท่านอิบนิ อับบ๊าส ร่อฎิยัลลอฮุอันฮุมา แจ้งว่า : แท้จริง ท่านนบี มุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า
“ระหว่างนบีอาดัมกับนบีนั๊วะห์ห่างกัน 10 ศตวรรษ”
นบีนั๊วะห์ได้เสียสละ และอุตสาหะอย่างใหญ่หลวงในการเรียกร้องไปสู่อัลลอฮฺองค์เดียว อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ได้ตรัสเรื่องราวของท่านไว้ในซูเราะฮฺนั๊วะห์ อายะฮฺที่ 1-20 ที่ว่า
“แท้จริง เราได้ส่งนั๊วะห์ไปยังหมู่ชนของเขา (โดยบัญชาว่า) เจ้าจงกล่าวตักเตือนหมู่ชนของเจ้า ก่อนที่การลงโทษอันเจ็บปวดจะมาถึงพวกเขา
เขา (นั๊วะห์) กล่าวว่า : โอ้ หมู่ชนของฉันเอ๋ย แท้จริง ฉันคือ ผู้ตักเตือนอันชัดแจ้งของพวกท่าน พวกท่านจงเคารพภักดีอัลลอฮฺเถิด และจงยำเกรงพระองค์ และจงเชื่อฟังปฏิบัติตามฉัน พระองค์จะทรงอภัยโทษให้แก่พวกท่านในความผิดของพวกท่าน และจะทรงผ่อนผันพวกท่าน จนกระทั่งถึงวาระที่ถูกกำหนดไว้ แท้จริง วาระของอัลลอฮฺนั้น เมื่อมาถึงแล้วมันจะไม่ยืดเวลาต่อไปอีก หากพวกท่านได้รู้
เขากล่าวว่า : ข้าแต่พระเจ้าของข้าพระองค์ แท้จริง ข้าพระองค์ได้เรียกร้องเชิญชวนหมู่ชนของข้าพระองค์ทั้งกลางคืนและกลางวัน แต่การเรียกร้องเชิญชวนของข้าพระองค์มิได้เพิ่มพูนสิ่งใดแก่พวกเขา นอกจากการหลบหนี และแท้จริง ทุกครั้งที่ข้าพระองค์เรียกร้องเชิญชวนพวกเขาเพื่อที่พระองค์ท่านจะได้อภัยโทษให้แก่พวกเขา พวกเขาก็เอานิ้วมืออุดรูหูของพวกเขา และเอาเสื้อผ้าของพวกเขาคลุมโปง และพวกเขายังดื้อรั้น และหยิ่งยโสด้วยความจองหอง
ต่อมาข้าพระองค์ได้เรียกร้องเชิญชวนพวกเขาอย่างเปิดเผย แล้วข้าพระองค์ก็ได้ประกาศแก่พวกเขาอย่างเปิดเผย อีกทั้งข้าพระองค์ยังได้บอกกล่าวแก่พวกเขาอย่างลับ ๆ อีกด้วย
ข้าพระองค์ได้กล่าวว่า : พวกท่านจงขออภัยโทษต่อพระเจ้าของพวกท่านเถิด เพราะแท้จริง พระองค์เป็นผู้ทรงอภัยโทษอย่างแท้จริง
พระองค์จะประทานน้ำฝนอย่างมากมายแก่พวกท่าน และพระองค์จะทรงเพิ่มพูนทรัพย์สินและลูกหลานแก่พวกท่าน
และจะทรงทำให้มีสวนมากมายแก่พวกท่าน และจะทรงทำให้มีลำน้ำมากมายแก่พวกท่าน ทำไมพวกท่านจึงไม่สำนึกถึงความยิ่งใหญ่ของอัลลอฮฺ
ทั้งๆ ที่แท้จริงแล้ว พระองค์ทรงสร้างพวกท่านตามลำดับขั้นตอน พวกท่านไม่เห็นดอกหรือว่าอัลลอฮฺทรงสร้างชั้นฟ้าทั้งเจ็ดเป็นชั้น ๆ อย่างไร ?
และทรงทำให้ดวงจันทร์ในชั้นฟ้าเหล่านั้นมีแสงสว่าง และทรงทำให้ดวงอาทิตย์มีแสงจ้า
และอัลลอฮฺทรงบังเกิดพวกท่านจากแผ่นดินเช่นพืชผัก แล้วจะทรงให้พวกท่านกลับคืนสู่แผ่นดิน และจะทรงให้พวกท่านออกมาอีกเพื่อฟื้นคืนชีพ
และอัลลอฮฺทรงทำให้แผ่นดินนี้ราบเรียบกว้างใหญ่สำหรับพวกท่าน เพื่อพวกท่านจะได้สัญจรไปมาตามพื้นที่โล่งกว้างนั้น”
นบีนั๊วะห์เรียกร้องเชิญชวนกลุ่มชนของท่านทั้งกลางวันและกลางคืน เรียกร้องทั้งแบบลับ ๆ และเปิดเผย ทั้งตัวต่อตัว และเป็นกลุ่ม ๆ ซึ่งทั้งหมดที่ท่านอุตสาหะนี้เป็นเวลาถึง 950 ปี
ในสมัยนั้น ผู้ที่ปกครองกลุ่มชนของนบีนั๊วะห์เป็นกษัตริย์กาเฟร เขาสั่งทุกคนไม่ให้ฟังนั๊วะห์และห้ามพวกเขาพบปะกับนั๊วะห์ อีกทั้งยังไม่ให้ละทิ้งการสักการะรูปเจว็ดเด็ดขาด พวกเขาทำตามกษัตริย์คนนี้และละทิ้งนบีนั๊วะห์
ด้วยเหตุนี้นบีนั๊วะห์จึงได้กล่าวในซูเราะฮฺนั๊วะห์ อายะห์ที่ 21 ว่า
“นั๊วะห์ได้กล่าวว่า : ข้าแต่พระเจ้าของข้าพระองค์ แท้จริง พวกเขาได้ฝ่าฝืนข้าพระองค์และไปเชื่อฟังผู้ที่ทรัพย์สินของเขา และลูกหลานของเขา มิได้เพิ่มพูนสิ่งใดให้แก่เขานอกจากการขาดทุนเท่านั้น”
กษัตริย์กาเฟรคนนี้ได้เห็นข้อสังเกตที่ชัดเจนอย่างหนึ่งของบรรดาหมู่ชนที่ติดตามนบีนั๊วะห์ ซึ่งมีจำนวนประมาณไม่เกิน 80 คน โดยพบว่า พวกเขาเหล่านั้นล้วนแต่เป็นผู้ที่อ่อนแอ ยากจน ขัดสนหรือไม่ก็เป็นทาส ไม่ใช่บุคคลสำคัญแต่อย่างใด ดังนั้น กษัตริย์กาเฟรจึงได้เริ่มวางอุบายแปลก ๆ เขากล่าวว่า :
“เราจะยอมให้ผู้คนทั้งหลายพูดคุยกับเจ้า และจะอนุญาตให้เจ้าเรียกร้องชวนพวกเขา และบางทีเราอาจจะศรัทธาต่อเจ้าก็เป็นได้ แต่เรามีเงื่อนไขอยู่ข้อหนึ่ง ... เจ้าจะต้องละทิ้งบรรดาพวกที่อ่อนแอ ยากจน ไร้ค่าเหล่านี้เสียก่อน เราผู้ซึ่งมีเกียรติ จะไม่ไปคลุกคลีกับพวกยาจก ต่ำต้อยเหล่านี้เด็ดขาด ... ถ้าเจ้าต้องการให้เรารับฟังเจ้า และตามเจ้า เจ้าก็ต้องละทิ้งพวกเขา”
อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ได้ตรัสเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้ในซูเราะฮฺฮูด อายะฮฺที่ 27-35 ว่า
“แล้วบรรดาบุคคลชั้นนำซึ่งปฏิเสธศรัทธาจากกลุ่มชนของเขากล่าวว่า : เรามิเห็นท่านเป็นอื่นใด นอกจากเป็นสามัญชนเช่นเรา และเรามิเห็นผู้ใดปฏิบัติตามท่าน นอกจากบรรดาผู้ต่ำช้าของพวกเราที่มีความคิดตื้น ๆ และเรามิเห็นว่าพวกท่านจะประเสริฐกว่าพวกเรา แต่เราคิดว่าพวกท่านเป็นพวกโกหก
เขา (นั๊วะห์) กล่าวว่า :
โอ้ หมู่ชนของฉันเอ๋ย พวกท่านเห็นเป็นเช่นไร หากฉันมีหลักฐานอันชัดแจ้งจากพระเจ้าของฉัน และพระองค์ประทานความเมตตาจากพระองค์แก่ฉัน แล้วได้ถูกทำให้มืดมนแก่พวกท่าน เราจะบังคับพวกท่านให้รับมันทั้ง ๆ ที่พวกท่านเกลียดชังมันกระนั้นหรือ และ
โอ้ หมู่ชนของฉันเอ๋ย ฉันมิได้ร้องขอทรัพย์สินใด ๆ สำหรับการเผยแพร่ แต่รางวัลของฉันอยู่ที่อัลลอฮฺ และฉันจะไม่เป็นผู้ขับไล่บรรดาผู้ศรัทธาดอก แท้จริงพวกเขาจะเป็นผู้พบพระเจ้าของพวกเขา แต่ฉันเห็นว่า พวกท่านเป็นหมู่ชนผู้งมงาย และ
โอ้หมู่ชนของฉันเอ๋ย ผู้ใดจะช่วยฉัน ณ ที่อัลลอฮฺ หากฉันขับไล่พวกเขา พวกท่านไม่คิดบ้างดอกหรือ และฉันมิได้กล่าวแก่พวกท่านว่า : ฉันมีขุมคลังของอัลลอฮฺ และฉันไม่รู้ถึงสิ่งพ้นญาณวิสัย และฉันมิได้กล่าวว่า : แท้จริง ฉันเป็นมลัก มีฐานะสูงส่ง และฉันมิได้กล่าวแก่บรรดาผู้ที่สายตาของพวกท่านเหยียดหยามว่า อัลลอฮฺจะไม่ประทานความดีแก่พวกเขา อัลลอฮฺ ทรงรู้ดียิ่งถึงสิ่งที่อยู่ในจิตใจของพวกเขา แท้จริง ถ้าไม่อย่างนั้น ฉันจะอยู่ในหมู่ผู้อธรรมทั้งหลาย
พวกเขากล่าวว่า : โอ้ นั๊วะห์เอ๋ย แน่นอน ท่านได้โต้เถียงกับเรา แล้วท่านทำให้การโต้เถียงของเรามากเรื่องขึ้น ดังนั้น จงนำสิ่งที่ท่านสัญญากับเราไว้ (การลงโทษ) มาให้เราเถิด ถ้าท่านอยู่ในหมู่ผู้สัตย์จริง
เขา (นั๊วะห์) กล่าวว่า : แท้จริง อัลลอฮฺเท่านั้นจะทรงนำ (การลงโทษ) มายังพวกท่าน หากพระองค์ทรงประสงค์ และพวกท่านจะไม่เป็นผู้ที่รอดไปได้ และคำสั่งสอนของฉันจะไม่เกิดประโยชน์แก่พวกท่านตามที่ฉันปรารถนาจะสั่งสอนพวกท่าน ถ้าอัลลอฮฺทรงประสงค์จะให้พวกท่านหลงผิด พระองค์คือพระเจ้าของพวกท่าน และพวกท่านจะถูกนำกลับไปยังพระองค์
หรือพวกเขา (กุฟฟารกุรอยช์) กล่าวว่า : เขา (มุฮัมมัด) ได้อุปโลกน์มัน (เรื่องของนั๊วะห์) ขึ้นมา
(มุฮัมมัด) จงกล่าวเถิดว่า : ถ้าหากฉันอุปโลกน์มันขึ้นมา ความผิดของฉันย่อมตกอยู่ที่ฉัน และฉันขอปลีกตัวออกจากสิ่งที่พวกท่านกระทำผิด”
เมื่อเรื่องเป็นเช่นนี้ นบีนั๊วะห์จึงได้ท้าทายพวกเขา อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ตรัสไว้ในซูเราะฮฺ ยูนุส อายะฮฺที่ 71-73 ว่า
“และเจ้า (มุฮัมมัด) จงอ่านให้พวกเขาฟังถึงเรื่องราวของนั๊วะห์ เมื่อเขา (นั๊วะห์) กล่าวแก่กลุ่มชนของเขาว่า :
โอ้ หมู่ชนของฉัน หากว่าการอยู่ของฉัน และการตักเตือนของฉันด้วย บรรดาอายาตทั้งหลายของอัลลอฮฺ เป็นเรื่องใหญ่แก่พวกท่านแล้ว ดังนั้น ฉันขอมอบมอบหมายต่ออัลลอฮฺเท่านั้น พวกท่านจงร่วมกันวาแผนของพวกท่าน พร้อมกับบรรดาภาคีของพวกท่านเถิด แล้วอย่าให้แผนของพวกท่านเป็นที่ปิดบังแก่พวกท่าน (คือให้แผนการที่จะทำลายนบีนั๊วะห์เป็นที่รู้กันโดยทั่วไปเลย) แล้วงจงดำเนินการต่อฉันทันที และอย่าได้ลังเลเลย หากพวกท่านผินหลังให้ ฉันมิได้ขอค่าตอบแทนใด ๆ จากพวกท่าน แต่รางวัลของฉันนั้นอยู่ที่อัลลอฮฺ และฉันถูกใช้ให้อยู่ในหมู่ผู้ที่นอบน้อม แล้วพวกเขาก็ปฏิเสธเขา (นั๊วะห์)
เรา (อัลลอฮฺ) ได้ช่วยให้เขาและผู้ที่อยู่กับเขาบนเรือได้รอดพ้น และเราได้ให้พวกเขาเป็นตัวแทน (บนผืนแผ่นดินในเวลาต่อมา) และเราได้ให้บรรดาผู้ปฏิเสธอายาตทั้งหลายของเราจมน้ำตาย ดังนั้น เจ้าจงดูเถิดว่า ผลสุดท้ายของพวกที่ถูกเตือนนั้นเป็นอย่างไร”
อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ตรัสไว้ในซูเราะฮฺฮูด อายะฮ์ที่ 36 ว่า
“และได้มีวะฮีย์แก่นั๊วะห์ว่า : แท้จริง จะไม่มีผู้ใดจากหมู่ชนของพวกเจ้าศรัทธา เว้นแต่ผู้ที่ได้ศรัทธากันแล้ว ดังนั้น เจ้าอย่าเศร้าหมองในสิ่งที่พวกเขากระทำ”
อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ตรัสไว้ในซูเราะฮฺฮูด อายะฮฺที่ 38-39 ว่า
“และเขาได้สร้างเรือ และคราใดที่บุคคลชั้นนำจากหมู่ชนของเขาผ่านเขา (นั๊วะห์) พวกเขาก็เยาะเย้ยเขา
เขาก็จะกล่าวว่า : หากพวกท่านเยาะเย้ยพวกเรา แท้จริง เราก็จะเยาะเย้ยพวกท่านเช่นเดียวกับที่พวกท่านได้เยาเย้ยเรา แล้วพวกท่านก็จะรู้ว่า ผู้ใดที่การลงโทษอันอัปยศจะมาประสบกับเขา และการลงโทษอันถาวรจะประสบกับเขา”
มีรายงานจากท่านอิบนิอับบ๊าส ร่อฎิยัลลอฮุอันฮุมา ในการให้ลักษณะเรือของนบีนั๊วะห์ว่าเป็นเรือที่มีความยาว 300 ศอก (ศอกเป็นหน่วยความยาวในสมัยนั้น คือ ศอกของนบีนั๊วะห์ไม่เท่ากับศอกในสมัยนี้ อิมามอัลบุคอรีย์ และมุสลิม รายงานว่า :
“อัลลอฮฺทรงสร้างอาดัมมาด้วยความสูง 60 ศอก”
ดังนั้น คนในยุคนั้นจึงมีความสูงเฉลี่ยสามสิบกว่าเมตร จึงคะเนว่าเรือนี้น่าจะมีความยาวกว่าหนึ่งกิโลเมตร) มีความกว้าง 50 ศอก สูง 30 ศอก
อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ตรัสไว้ในซูเราะฮฺอัลเกาะมัร อายะฮฺที่ 11-15 ว่า
“ดังนั้น เรา (อัลลอฮฺ) จึงได้เปิดประตูแห่งฟากฟ้าให้น้ำฝนกระหน่ำเทลงมาอย่างหนัก และเราได้ทำให้แผ่นดินแยกออกเป็นตาน้ำไหลพวยพุ่งออกมา แล้วน้ำ (ฝน น้ำตก และตาน้ำ) ได้มาบรรจบกันตามพระบัญชาของอัลลอฮฺที่ได้ถูกกำหนดไว้แต่เดิมแล้ว
และเรา (อัลลอฮฺ) ได้บรรทุกเขาไว้บนเรือที่ทำด้วยแผ่นไม้กระดาน และตอกติดด้วยตะปู (และเราได้ให้นั๊วะห์ และผู้ที่อยู่กับเขารอดพ้นจากการจมน้ำตาย) มัน (เรือ) ได้แล่นไป (ท่ามกลางคลื่นพัดกระหน่ำ) ภายใต้สายตา (การดูแลรักษา) ของเรา (ซึ่งการกระทำเช่นนี้) เป็นการลงโทษผู้ปฏิเสธศรัทธา
และแท้จริง เรา (อัลลอฮฺ) ได้ปล่อยทิ้งไว้ (หมายถึง การลงโทษนี้ที่เราได้ลงโทษพวกเขาเหล่านั้น) เพื่อเป็นข้อเตือนใจหนึ่ง แล้วมีผู้ใดบ้างที่พิจารณาใคร่ครวญกันบ้าง?”
น้ำท่วมโลกครั้งนี้ทำลายทุกสิ่งทุกอย่างในแผ่นดิน ระดับน้ำนั้นสูงกว่าภูเขาที่สูงที่สุดในโลกเสียอีก เลยยอดเขาไปอีก 15 ศอก ท่วมครอบคลุมพื้นดินทั่วทุกทิศ ไม่มีสิ่งมีชีวิตใด ๆ หลงเหลืออยู่เลย
อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ได้ตรัสไว้ในซูเราะฮฺฮูด อายะฮฺที่ 40-41 ว่า
“จนกระทั่งเมื่อคำบัญชาของเราได้มา และน้ำได้พวยพุ่งขึ้นมา เรา (อัลลอฮฺ) กล่าว (แก่นั๊วะห์) ว่า :
จงบรรทุกสัตว์ทุกชนิดในแผ่นดินไว้ในแผ่นดินไว้ในเรือเป็นคู่ ๆ ทั้งตัวผู้และตัวเมีย และครอบครัวของเจ้าด้วย นอกจากผู้ที่ดำรัสของพระองค์ได้กำหนดแก่เขาไว้ก่อนแล้วว่าเป็นผู้ที่จมน้ำตาย (หมายถึงบุตรของท่านที่ชื่อ กันอาน และภรรยาของท่านที่ชื่อ วาอิละฮฺ เนื่องจากไม่ยอมศรัทธา) ตลอดจนผู้ศรัทธาพร้อมกับเจ้า และไม่มีผู้ศรัทธาร่วมกับเขา (นั๊วะห์) นอกจากจำนวนเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
และเขา (นั๊วะห์) กล่าว (แก่ครอบครัวของเขา และกลุ่มชนของเขาที่อยู่ในเรือ) ว่า : พวกท่านจงขึ้นไปบนเรือด้วยพระนามของอัลลอฮฺ ทั้งในยามที่เรือแล่นและในยามที่มันจอด แท้จริง พระเจ้าของฉันเป็นผู้ทรงอภัย ผู้ทรงเมตตาเสมอ"
และส่วนหนึ่งจากความเมตตากรุณาของพระองค์ต่อบรรดาผู้ศรัทธาก็คือ การที่ทรงให้พวกเขารอดพ้นจากความพินาศนั่นเอง
อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ทรงสัญญาไว้กับนบีนั๊วะห์ว่า พระองค์จะทรงให้ครอบครัวของท่านรอดปลอดภัย แล้วทุกคนก็รอดปลอดภัยจากน้ำท่วมนี้ นอกจากลูกชายคนหนึ่งของท่านชื่อ กันอาน และภรรยาคนหนึ่งของท่าน ซึ่งนางเป็นผู้ปฏิเสธศรัทธา โดยดังกล่าวนี้อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ตรัสไว้ในซูเราะฮฺอัตตะฮฺรีม อายะฮฺที่ 10 ว่า
“อัลลอฮฺทรงยกอุทาหรณ์เปรียบเทียบแก่บรรดาผู้ปฏิเสธ (ศรัทธาต่ออัลลอฮฺ และร่อซูลของพระองค์) ว่า ภริยาของนั๊วะห์ และภริยาของลู๊ฏ นางทั้งสองเป็นภรรยาของบ่าวที่ดีทั้งสองในหมู่ปวงบ่าวของเรา แต่แล้วนางทั้งสองได้ทรยศต่อสามีของนางทั้งสอง (ด้วยการขัดขวาง ต่อต้านหนทางของอัลลอฮฺ และช่วยเหลือสนับสนุนพวกปฏิเสธศรัทธาจากกลุ่มชนของท่าน)
ดังนั้น เขาทั้งสองจึงไม่สามารถช่วยเหลือนางทั้งสองให้พ้นจากการลงโทษของอัลลอฮฺได้แต่ประการใด
จึงมีเสียงกล่าวขึ้นว่า : เจ้าทั้งสองจงเข้าไปในไฟนรกพร้อมกับบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธา และบรรดาผู้ที่ทรยศละเมิดที่เข้าไปอยู่ในนรกกันเถิด”
อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอา ตรัสถึงเหตุการณ์ระหว่างนบีนั๊วะห์กับบุตรชายของท่านไว้ในซูเราะฮฺฮูด อายะฮฺที่ 42-43 ว่า
“และเรือนั้นได้แล่นไปท่ามกลางคลื่นลูกเท่าภูเขาพร้อมกับพวกเขาเหล่านั้น และนั๊วะห์ได้เรียกร้องลูกชายของเขา (ที่เป็นผู้ปฏิเสธศรัทธา) ซึ่งอยู่คนเดียวอย่างโดดเดี่ยว ว่า :
โอ้ ลูกพ่อจงขึ้นมาที่เรือพร้อมกับเราเถิด (เพื่อที่จะได้รอดพ้นจากการถูกจมน้ำ) และเจ้าอย่าไปอยู่ร่วมกับบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาเลย (เพราะจะทำให้เจ้าพบกับความพินาศ ต้องจมน้ำตาย)
เขา (ลูกชายของนั๊วะห์) กล่าวว่า : ฉันจะไปอาศัยอยู่ที่ภูเขาสูงลูกหนึ่ง มันจะคุ้มครองฉันให้พ้นจากน้ำท่วมนี้ได้
เขา (นั๊วะห์) กล่าว (แก่ลูกของเขา) ว่า : วันนี้ไม่มีผู้ใดจะปกป้องคุ้มกันให้พ้นจากการลงโทษของอัลลอฮฺ เว้นแต่ผู้ที่พระองค์ทรงเอ็นดูเมตตาเขาเท่านั้น
และคลื่นได้ซัดเข้ามาตรงกลางระหว่างเขาทั้งสอง ดังนั้น เขา (ลูกชาย) จึงเป็นหนึ่งในบรรดาผู้ที่จมน้ำตาย (อันเนื่องมาจากการเป็นผู้ปฏิเสธศรัทธาของเขานั่นเอง)”
กระแสน้ำได้ทำลายทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่มีสิ่งมีชีวิตใดหลงเหลืออยู่เลย นอกจากผู้ที่อยู่บนเรือกับ นบีนั๊วะห์เท่านั้น มีรายงานจากท่านอิบนิอับบ๊าส ร่อฎิยัลลอฮุอันฮุมา ระบุว่า : “พวกเขาอยู่ในเรือนั้นเป็นเวลา 6 เดือน" และจากอีกหลายสายรายงานระบุว่า : “พวกเขาได้ลงจากเรือในวันอาซูรอ คือ วันที่ 10 เดือนมุฮัรรอม”
และมีรายงานว่า : ท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ถือศีลอดในวันดังกล่าว เนื่องจากเป็นวันที่อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ทรงช่วยท่านนบีมูซาให้รอดพ้นจากพวกฟาโรห์ (ฟิรอูน) ด้วยการให้พวกเขาจมน้ำตาย และเป็นวันที่อัลลอฮฺทรงช่วยท่านนบีนั๊วะห์กับกลุ่มชนผู้ศรัทธาของท่านที่อยู่บนเรือให้รอดพ้นจากการจมน้ำ โดยเรือนั้นมาจอดอยู่ที่ภูเขาญูดีย์ (คือภูเขาลูกหนึ่งอยู่ในเมืองโมซูล ในประเทศอิรักปัจจุบัน)
อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ตรัสไว้ในซูเราะฮฺฮูด อายะฮฺที่ 44-48
“และ (อัลลอฮฺ) ได้ตรัสแก่แผ่นดิน (หลังเหตุการณ์น้ำท่วมโลก) ว่า : แผ่นดินเอ๋ย จงกลืนน้ำของเจ้าเสีย และฟ้าเอ๋ย จงหยุด และเก็บน้ำฝนของเจ้าเสีย และน้ำก็ได้ลดลง (จนกระทั่งแผ่นดินแห้ง) และอัลลอฮฺทรงให้บรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาพินาศสิ้น และเรือนั้นก็ได้จอดเทียบอยู่ที่ภูเขาญูดีย์
และได้มีเสียงกล่าวว่า : ความหายนะจงประสบแก่หมู่ชนผู้อธรรมเถิด และนั๊วะห์ได้ร้องเรียนต่อพระเจ้าของเขาโดยกล่าวว่า :
ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้าของพระองค์ แท้จริง ลูกชายของข้าพระองค์นั้นเป็นคนหนึ่งในครอบครัวของข้าพระองค์ (ที่พระองค์ทรงสัญญาแก่ข้าพระองค์ว่าจะทรงให้พวกเขารอดพ้น) และแท้จริง สัญญาของพระองค์นั้นเป็นความจริง และพระองค์ท่านนั้นทรงตัดสินด้วยความเที่ยงธรรมยิ่ง และทรงรู้ดียิ่งในหมู่ผู้ตัดสินทั้งหลาย
พระองค์ตรัสว่า : โอ้ นั๊วะห์เอ๋ย แท้จริง ลูกชายของเจ้าเขามิได้เป็นคนหนึ่งในครอบครัวของเจ้า เพราะเขาเป็นผู้ปฏิเสธศรัทธา ดังนั้น เจ้าอย่าได้ร้องเรียนต่อข้าในสิ่งที่เจ้าไม่มีความรู้เลย แท้จริง ข้าขอเตือนเจ้าในการที่เจ้าจะอยู่ในหมู่ผู้งมงาย (เจ้าอย่าได้มาถามข้าในสิ่งที่ค้านกับฮิกมะฮฺของข้า)
เขา (นั๊วะห์) กล่าวว่า : ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้าของข้าพระองค์ แท้จริง ข้าพระองค์ขอความคุ้มครองต่อพระองค์ท่านให้พ้นจากการร้องเรียนต่อพระองค์ในสิ่งที่ข้าพระองค์ไม่มีความรู้ในเรื่องนั้นเลย และหากพระองค์ไม่ทรงอภัยให้แก่ข้าพระองค์ และไม่ทรงเอ็นดูเมตตาข้าพระองค์แล้ว ข้าพระองค์ก็จะตกอยู่ในหมู่ผู้ขาดทุนอย่างแน่นอน
อัลลอฮฺตรัสว่า : โอ้ นั๊วะห์เอ๋ย จงลงไปยังผืนแผ่นดิน (ลงจากเรือ) ด้วยความศานติและปลอดภัยจากเรา และได้รับความกรุณาจากอัลลอฮฺ อันจะประสบกับเจ้าและแก่กลุ่มชนผู้ศรัทธาที่อยู่กับเจ้า (ในเรือ) และส่วนกลุ่มชนอื่น ๆ ที่เราจะให้พวกเขาได้รับความสุขสนุกสนานในโลกดุนยานี้แล้ว การลงโทษอันเจ็บปวดจากเราก็จะประสบแก่พวกเขา”
มีรายงานมากมายว่า นบีนั๊วะห์ อะลัยฮิสสลาม อยู่บนเรือต่อถึง 6 เดือน เพื่อรอให้น้ำลด ท่านได้ส่งนกพิราบไป แล้วมันก็กลับมา โดยที่ไม่ได้เอาอะไรมาด้วยเลย ท่านจึงส่งมันไปอีกรอบ แล้วในวันหนึ่งมันก็กลับมาพร้อมกับกิ่งมะกอก นั่นทำให้รู้ว่าน้ำเริ่มลดลงแล้ว และต้นไม้เริ่มแตกกิ่ง หลังจากนั้นท่านก็ส่งมันออกไปอีกรอบ ในครั้งนี้ที่มันกลับมา มีรอยดินเปื้อนเท้าของมันมาด้วย ซึ่งบ่งว่ามันได้เหยียบลงบนพื้นดิน และนั่นบอกให้รู้ว่าน้ำได้แห้งลงแล้ว
นบีนั๊วะห์และผู้รอดชีวิตกับท่านที่เหลือลงมาจากเรือ อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ทรงให้พวกเขาทั้งหมดเป็นหมัน ยกเว้นนบีนั๊วะห์และภรรยาของท่านเท่านั้น ดังนั้น จึงไม่มีเชื้อสายใดเหลืออยู่บนโลกใบนี้ นอกจากลูกหลานของท่านเท่านั้น ด้วยเหตุนี้ท่านนบีนั๊วะห์จึงได้รับการขนานนามว่า “อะบุ้ลบะซัร” บิดาแห่งมนุษยชาติคนที่สอง รองลงมาจากท่านนบีอาดัม อะลัยฮิสลาม
อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ตรัสไว้ในซูเราะฮฺอัศศอฟฟ๊าต อายะฮฺที่ 75-81 ว่า
“และแท้จริง นั๊วะห์ได้วิงวอนขอต่อเรา (ขอให้อัลลอฮฺลงโทษกลุ่มชนของเขาที่ปฏิเสธศรัทธา) ดังนั้น ผู้ตอบสนองคำวิงวอนช่างประเสริฐเสียนี่กระไร และเราได้ช่วยเขา และคนในครอบครัวของเขา (ตลอดจนบรรดาผู้ที่ศรัทธาพร้อมกับเขา) ให้รอดพ้นจากอันตรายอันยิ่งใหญ่ (จากการจมน้ำตาย อันเป็นการลงโทษบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาจากกลุ่มชนของเขา)
และเราได้ให้ลูกหลานของเขาเป็นผู้ที่รอดพ้น และเราได้ปล่อยทิ้งไว้ (เป็นเกียรติคุณ) แก่เขาในกลุ่มชนรุ่นหลัง ๆ ความศานติ ความปลอดภัยจงมีแด่นั๊วะห์ในหมู่ประชาชาติทั้งหลาย
แท้จริง เช่นนั้นแหละที่เราจะตอบแทนบรรดาผู้กระทำความดีทั้งหลาย แท้จริง เช่นนั้นแหละที่เราจะตอบแทนบรรดาผู้กระทำความดีทั้งหลาย แท้จริง เช่นนั้นแหละที่เราจะตอบแทนผู้กระทำความดีทั้งหลาย แท้จริง เขา (นั๊วะห์) นั้น อยู่ในปวงบ่าวผู้ศรัทธาของเรา”
และพระองค์ได้ทรงสรรเสริญนบีนั๊วะห์ไว้ในซูเราะฮฺอัลอิสรออฺ อายะฮฺที่ 3 ว่า
“พวกเจ้าทั้งหลายนั้น สืบเชื้อสายมาจากผู้ที่อัลลอฮฺได้ทรงกรุณาแก่พวกเขาให้รอดพ้นจากการจมน้ำตายมาพร้อมกับนั๊วะห์ในคราน้ำท่วมโลก (ดังนั้น พวกเจ้าจงนึกถึงพระมหากรุณาธิคุณดังกล่าว และจงกตัญญูต่ออัลลอฮฺด้วยการอิบาดะฮฺต่อพระองค์เพียงองค์เดียว)
และจงดำเนินตามนั๊วะห์กันเถิด เพราะเขาเป็นผู้ที่กตัญญูต่ออัลลอฮฺอย่างมากมาย”
มนุษยชาติสืบเชื้อสายมาจากบุตรสามคนของนบีนั๊วะห์ คือ ซาม ฮาม และยาฟิศ, ลูกหลานของซามส่วนใหญ่ผิวขาว และอาจจะมีผิวดำหรือน้ำตาลเป็นส่วนน้อย, ส่วนลูกหลานของฮามส่วนใหญ่ผิวดำ, และยาฟิศลูกหลานของเขามีผิวน้ำตาลหรือผิวแดง อาหรับเป็นลูกลานของซาม และเช่นเดียวกัน บนีอิสรออีล, ชาวแอฟริกันเป็นลูกหลานของฮาม, ส่วนชาวเอเชียตะวันออกและชาวยุโรป เป็นลูกหลานยาฟิศ
นบีนั๊วะห์มีชีวิตอยู่ต่อมาหลังจากน้ำท่วมอีก 350 ปี ท่านใช้ชีวิตที่เหลือในการอิบาดะฮฺต่ออัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา และท่านเป็นบ่าวผู้กตัญญู มีรายงานจากท่านร่อซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ว่า
“นั๊วะห์ถือศีลอดไม่เว้นแม้แต่วันเดียว นอกจากวันอีด”
รายงานที่มีน้ำหนักมากที่สุดบอกว่า ท่านเสียชีวิตและถูกฝังที่มักกะฮฺ แต่ก็มีบางรายงานระบุว่า ท่านถูกฝังที่เลบานอน
ที่มา : วารสารสายสัมพันธ์