นบีอีซา เกิดมาโดยไม่มีบิดา
โดย ... อาจารย์ดารี บินอะหมัด ร่อฮิมะฮุลลอฮฺ
ตัฟซีรอัลกุรอาน ซูเราะฮฺอาละอิมรอน ญุซอ์ที่ 3 อายะฮฺที่ 59-63
คำอธิบายอายะฮฺที่ 59-63
3 : 59 “แท้จริง อุปมาอีซา ณ อัลลอฮฺนั้น อุปไมยดังอาดัม โดยที่พระองค์ทรงบังเกิดเขาจากดิน แล้วทรงประกาศิตแก่เขาว่า : จงเป็น แล้วเขาก็เป็นขึ้น”
3 : 60 “ความจริงนั้นมาจากพระเจ้าของพวกเจ้า (มุฮัมมัด) อย่าได้อยู่ในหมู่ผู้สงสัยเป็นอันขาด”
3 : 61 “ดังนั้น ผู้ใดที่โต้เถียงเจ้าในเรื่องของเขา (อีซา) หลังจากที่ได้มีความรู้มายังเจ้าแล้ว ก็จงกล่าวว่า : ท่านทั้งหลายจงมาเถิด เราก็จะเรียกลูก ๆ ของเรา และลูก ๆ ของพวกท่านและเรียกบรรดาหญิงของ พวกเรา และบรรดาหญิงของพวกท่าน และตัวของพวกเรา และตัวของพวกท่าน แล้วเราก็จะวิงวอนกันด้วยความนอบน้อม โดยที่เราจะขอให้การสาปแช่งของอัลลอฮฺพึงประสบแก่บรรดาผู้กล่าวเท็จ”
3 : 62 “แท้จริง เรื่องนี้มันเป็นเรื่องจริง และไม่มีผู้ที่ควรได้รับการเคารพสักการะใด ๆ นอกจาก อัลลอฮฺเท่านั้น และแท้จริง อัลลอฮฺนั้นคือผู้ทรงเดชานุภาพ ผู้ทรงปรีชาญาณ”
3 : 63 “แต่ถ้าพวกเขาผินหลังให้ แน่นอน อัลลอฮฺนั้นเป็นผู้ทรงรู้ดีถึงบรรดาผู้บ่อนทำลายทั้งหลาย”
คือ อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ทรงเปรียบเทียบท่านนบีอีซา ซึ่งเกิดมาโดยไม่มีบิดา อันผิดกฎแห่งการกำหนดสภาวะนั้น ว่า : เหมือนกับที่พระองค์ได้ทรงบังเกิดท่านนบีอาดัมนั่นเอง ซึ่งท่านนบีอาดัมนั้นเป็นที่ยอมรับกันโดยเอกฉันท์ในทุกยุคทุกสมัยมาแล้วว่า ถูกบังเกิดขึ้นจากดิน โดยที่ไม่มีทั้งพ่อและแม่ ทั้งนี้เนื่องด้วยประกาศิตของพระองค์ที่ว่า “จงเป็น” เท่านั้น แล้วท่านนบีอาดัมก็เป็นขึ้น
ในการนี้ ถ้าจะพิจารณาถึงความมหัศจรรย์ในการเกิดของท่านนบีอีซาแล้ว ก็ย่อมน้อยกว่าความมหัศจรรย์ของท่านนบีอาดัม เพราะท่านนบีอีซา แม้ว่าท่านจะไม่มีบิดา แต่ท่านก็ยังมีมารดาอุ้มครรภ์ท่าน และคลอดท่านเหมือนกับเด็กทั่ว ๆ ไปแล้วเติบโตเหมือนเด็กทั่ว ๆ ไป
ส่วนท่านนบีอาดัมนั้น ไม่มีทั้งบิดาและมาดา และไม่ได้คลอดเหมือนเด็ก อื่น ๆ และไม่ได้เติบโตจากสภาพเด็กไปสู่สภาพการเป็นผู้ใหญ่ด้วย หากแต่ท่านเกิดขึ้นในสภาพเป็นผู้ใหญ่โดยสมบูรณ์จากดิน ทั้งนี้ ด้วยประกาศิตของอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา
ในเมื่อมนุษย์ยอมรับการเกิด ของท่านนบีอีซา โดยไม่มีบิดา ซึ่งมีความมหัศจรรย์น้อยกว่า จนกระทั่งได้มีการอุปโลกน์และยัดเยียด ท่านนบีอีซาให้เป็นพระบุตรของอัลลอฮฺ ทั้ง ๆ ที่อัลลอฮฺนั้นทรงบริสุทธิ์เกินกว่าที่พระองค์จะทรงมีพระบุตร ส่วนพวกก็อดยานีย์นั้น ได้อุปโลกน์และยัดเยียดยูซุฟผู้เป็นช่างไม้ให้เป็นบิดาของท่าน กระนั้นก็ดี เขาก็ยังอ้างตนว่าเป็นมุสลิมอยู่อีก ทั้ง ๆ ที่พวกเขาหมดสภาพการเป็นมุสลิมด้วยการปฏิเสธอายาตของอัลลอฮฺ ไปแล้ว กล่าวคือ อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา แจ้งว่า : ท่านนบีอีซาไม่มีพ่อ พวกเขาบอกว่าไม่จริง ท่านนบีอีซามีพ่อต่างหาก พ่อของท่านคือ ยูซุฟ ผู้เป็นช่างไม้
อนึ่ง แม้ว่า การเกิดของท่านบีอาดัมจะมีความมหัศจรรย์มากกว่าท่านนบีอีซาก็ตาม แต่ในการบังเกิดท่านทั้งสองนั้น หาได้มีความยากลำบาก หรือแตกต่างกันแต่ประการใด สำหรับอัลลอฮฺเพราะพระองค์ทรงบังเกิดท่านนบีอาดัมด้วยประกาศิตที่ว่า “จงเป็น” และได้บังเกิดท่านนบีอีซาด้วยประกาศิตอย่างเดียวกันว่า “จงเป็น” แล้วทั้งสองท่านก็เป็นขึ้นมา
ความที่ว่า “ความจริงนั้น มาจากพระเจ้าของเจ้า ดังนั้น เจ้าอย่าได้อยู่ในหมู่ผู้สงสัยเป็นอันขาด” คือ เรื่องราวต่าง ๆ ในอดีตที่อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ทรงแจ้งให้ท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ทราบนั้น เป็นความจริงที่มาจากพระองค์ทั้งสิ้น ด้วยเหตุนี้ จึงได้ทรงกำชับท่านว่า จงอย่าได้สงสัยอย่างกับที่ผู้คนบางพวกสงสัยกันเป็นอันขาด
กล่าวคือ พวกคริสต์กล่าวว่า ท่านนบีอีซานั้นเป้นทั้งพระบุตร และพระเจ้า
และชาวยิวกล่าวหามารดาของท่านนบีอีซาว่า ผิดประเวณีกับยูซุฟ ผู้เป็นช่างไม้ เป็นต้น
อนึ่ง การที่อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ทรงกำชับท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม มิให้สงสัยนั้น ใช่ว่าท่านนบีจะสงสัยก็หาไม่ หากแต่เพื่อให้พวกที่สงสัยกันอยู่นั้นได้เลิกสงสัยกันเสีย และเพื่อให้ประชาชาติ (อุมมะฮฺ) ของท่านนบีบางคน ที่มีใจรวนเรจะได้เลิกเชื่อตามเขา โดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์
ความที่ว่า “ดังนั้น ผู้ใดที่โต้เถียงเจ้าในเรื่องของเขา (อีซา) หลังจากที่ได้มีความรู้มายังเจ้าแล้ว” คือ ถ้ามีผู้ใดโต้เถียงกับท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ในเรื่องของท่านนบีอีซาอีก หลังจากที่อัลลอฮฺได้ทรงแจ้งความเป็นจริงให้ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ทราบโดยแจ่มแจ้งแล้ว ก็จงเรียกพวกเขาให้มาทำการวิงวอนต่ออัลลอฮฺกันว่า ถ้าใครพูดไม่จริงก็ขอให้พระองค์ทรงสาปแช่งเขา ดังคำของพระองค์ที่ว่า
“ก็จงกล่าวว่า : ท่านทั้งหลายจงมาเถิด เราก็จะเรียกลูก ๆ ของเรา และลูก ๆ ของพวกท่าน และเรียกบรรดาหญิงของพวกเรา และบรรดาหญิงของพวกท่าน และตัวของพวกเรา และตัวของพวกเรา และตัวของพวกท่าน แล้วเราก็จะวิงวอนกัน ด้วยความนอบน้อม โดยที่เราจะขอให้การสาปแช่งของอัลลอฮฺพึงประสบ แก่บรรดาผู้กล่าวเท็จ”
คือ ทรงใช้ให้ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม เรียกบรรดาผู้ที่โต้เถียงกับท่าน ให้มา และในขณะเดียวกันก็ให้ต่างฝ่ายต่างเรียกลูก ๆ ของฝ่ายตน บรรดาหญิงของฝ่ายตน และพร้อมด้วยตัวเองด้วย มารวมกันโดยพร้อมเพรียงกัน แล้วต่างฝ่ายต่างวิงวอนขอต่ออัลลอฮฺขอให้พระองค์ทรงสาปแช่ง ผู้ที่พูดไม่จริงเกี่ยวกับการเกิดของท่านนบีอีซา การที่ต่างฝ่ายต่างขอให้อัลลอฮฺทรงสาปแช่งนี้ เรียกว่า “อัลมุบาฮะละฮฺ” ด้วยเหตุนี้ อายะฮฺนี้จึงได้ชื่อว่า : อัยย่าตุ้ลมุบาฮะละฮฺ
มีรายงานจากหลายทางด้วยกันว่า ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้เชิญชาวคริสต์แห่ง นัจญ์รอนมาทำการ “มุบาฮะละฮฺ” กัน แต่พวกเขาไม่ยอมมา ท่านอิมามอัลบุคอรีย์และมุสลิมได้รายงานว่า :
อัลอากิบและอัซซัยยิดได้มาหาท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม แล้วท่านนบีต้องการที่จะทำการสาปแช่งกับทั้งสองคนนั้น คนหนึ่งในสองคนจึงกล่าวแก่เพื่อนของเขาว่า :
“ฉันขอสาบานต่ออัลลอฮฺว่า : ถ้าเขา (มุฮัมมัด) เป็นนบีจริงแล้วไซร้ แล้วสาปแช่งเรา แน่นอนเราจะไม่ได้รับความสำเร็จตลอดกาล และเราก็จะมิได้ให้มีสิ่งใดอยู่เบื้องหลังเราอีกต่อไป หลังจากที่พวกเราตายไปแล้ว”
แล้วทั้งสองจึงได้กล่าวแก่ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ว่า : “เราจะให้แก่ท่านตามที่ท่านขอ ดังนั้น ท่านจงส่งชายคนหนึ่งที่ซื่อสัตย์ร่วมไปกับเรา”
แล้วท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้กล่าวขึ้นว่า : “อบูอุบัยดะฮฺจงลุกขึ้น” ครั้นเมื่อ อบูอุบัยดะฮฺลุกขึ้นแล้ว
ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ก็กล่าวว่า “นี้แหละคือผู้ที่ซื่อสัตย์สุจริตแห่งประชาชาตินี้”
ท่านอบูนะอีมได้รายงานไว้ในอัตตะลาอิ้ล ซึ่งได้รายงานมาจากท่านอิบนอิอับบ๊าส ร่อฎิยัลลอฮุ อันฮุมา ว่า :
มีชาวคริสต์แห่งนัจญ์รอนแปดคน มาหาท่านร่อซูลุลลอฮฺ มีอัลอากิบ และอัซซัยยิดร่วมอยู่ด้วย แล้วอัลลอฮฺได้ประทานอายะฮฺนี้ลงมา
แล้วพวกเขาได้กล่าวขึ้นว่า : “โปรดให้เวลาแก่พวกเราสามวัน”
แล้วพวกเขาก็ไปบนีกุรอยเซาะฮฺ บนีอันนะฎีบนีอันนะฏีร และบนีกอยนุก็ออฺ ซึ่งทั้งสามตระกูลนี้เป็นชาวยิวที่อยู่ในนครมะดีนะฮฺ แล้วพวกเขาได้คำแนะนำแก่ชาวคริสต์นัจญ์รอนให้ประนีประนอมยอมความกับท่านนบี ศ็อลลัลลอฮะลัยฮฺวะซัลลัม และห้ามไม่ให้ทำการสาปแช่งกับท่าน
โดยกล่าวว่า : “เขาคือนบีที่เราพบในคัมภีร์เตารอตของเรา”
แล้วพวกเขาก็ทำการประนีประนอมกับท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลัม โดยให้เสื้อผ้าหนึ่งพันชิ้นในเดือนซอฟัร และอีกหนึ่งพันชิ้นในเดือนร่อซับ และเงินอีกจำนวนหนึ่ง”
มีรายงานว่า : ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซํลลัม ได้เลือกท่านอาลี ท่านหญิงฟาฏิมะฮฺ และบุตรชายทั้งสองคนของเขา และได้นำพวกเขาออกไป
ท่านได้กล่าวว่า : “หากฉันวิงวอนอะไร พวกท่านจงกล่าวรับว่า อามีน”
อิบนุ อะซากิร ได้รายงานมาจากญะอฺฟัร ซึ่งเขาได้รายงานมาจากบิดาของเขาว่า : “เมื่ออายะฮฺนี้ถูกประทานลงมา ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้นำท่านอบูบักร และลูกของท่าน และได้นำท่านอุมัรและลูกของท่าน และได้นำท่านอุสมาน และลูกของท่านออกไปชุมนุมกัน”
เป็นที่แน่นอนว่า สิ่งที่เข้าใจจากอายะฮฺนี้นั้น คือ ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮฺวะซัลลัม ได้รับคำสั่งให้เรียกร้องพวกอะฮฺลิ้ลกิตาบที่โต้แย้งกับท่านนบีเกี่ยวกับท่านนบีอีซาให้มาชุมนุมกันทั้งหญิงและชาย ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ ในขณะเดียวกัน ท่านก็เรียกชุมนุมบรรดาผู้ศรัทธาทั้งหญิงและชาย ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ เพื่อที่ต่างฝ่ายต่างจะได้วิงวอนต่ออัลลอฮฺ ให้ทรงสาปแช่ง (ละอฺนัต) แก่ฝ่ายที่พูดโกหกในเรื่องที่เกี่ยวกับท่านนบีอีซา แต่แล้วพวกอะฮฺลิ้ลกิตาบก็ ไม่ยอมรับคำเรียกร้องนี้อันเป็นการยืนยันว่า ความเชื่อถือของพวกนั้น หาได้มีความมั่นใจแต่อย่างใดไม่
ความที่ว่า “แท้จริง เรื่องนี้เป็นเรื่องจริง และไม่มีผู้ที่ควรได้รับการเคารพสักการะใด ๆ นอกจากอัลลอฮฺองค์เดียวเท่านั้น และแท้จริง อัลลอฮฺนั้น คือผู้ทรงเดชานุภาพ ผู้ทรงปรีชาญาณ” คือ อัลลอฮฺได้ทรงย้ำอีกว่า สิ่งที่พระองค์ทรงเล่าให้ฟังเกี่ยวกับท่านนบีอีซา ซึ่งเกิดมาโดยไม่มีบิดานั้นเป็นความจริงทั้งสิ้น มิใช่อย่างที่พวกคริสต์อ้างว่า ท่านเป็นพระเจ้า หรือเป็นพระบุตรของพระองค์และมิใช่อย่างที่ชาวยิวอ้างว่าท่านเป็นบุตรที่เกิดขึ้นจากการทำซินา ด้วยเหตุนี้ ท่านนบีอีซา จึงเป็นบุตรของมนุษย์ ซึ่งเป็นบ่าวของอัลลอฮฺท่านหนึ่งเท่านั้น ดังนั้น ท่านจึงไม่อยู่ในฐานะที่จะได้รับการเคารพสักการะ ดังที่ชาวคริสต์ได้กระทำกัน ผู้ที่สมควรจะได้รับการเคารพสักการะนั้น คืออัลลอฮฺองค์เดียวเท่านั้น เพราะองค์เป็นผู้ทรงเดชานุภาพ ผู้ทรงปรีชาญาณ
ความที่ว่า “ดังนั้น หากพวกเจ้าผินหลังให้ แน่นอน อัลลอฮฺนั้นเป็นผู้ทรงรู้ดีต่อบรรดาผู้บ่อนทำลายทั้งหลาย” คือ ถ้าหากพวกเขาไม่ยอมศรัทธาต่อท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม และไม่ยอมรับหลักการในการให้เอกภาพต่ออัลลอฮฺที่ท่านนำมา และทั้งไม่ยอมรับตามที่ท่านเรียกร้องให้ทำการมุบาฮะละฮฺกันแล้ว แน่นอน พวกเขาก็หาใช่เป็นพวกที่ปราถนาดีไม่ หากแต่เป็นผู้บ่อนทำลายอย่างชัดเจน และอัลลอฮฺนั้นทรงรู้ดีว่า ใครเป็นผู้บ่อนทำลาย ซึ่งพระองค์จะทรงลงโทษพวกเขาให้สาสมกับความดื้อรั้นของพวกเขา
ที่มา : วารสารสายสัมพันธ์