มั๊วะญิซาตอัมบิยาอ์ หินก้อนนั้นกับการพิชิตอันยิ่งใหญ่
อับดุลมุนอิน อัลฮาซิมีย์
แปลโดย อาจารย์ยะห์ยา หมัดละ
มีรายงานจากท่านอัลบะร็ออ์ อิบนิ อาซิบ ร่อฎิยัลลอฮุอันฮุ กล่าวว่า :
ขณะที่พวกเราขุดคอนดั๊ก (สนามเพลาะในสงครามคอนดั๊ก เพื่อเป็นแนวคูยาวป้องกันศัตรูบุกจู่โจมเมืองมะดีนะฮ์จากทิศเหนือ) อยู่นั้นก็พบหินก้อนนั้น พวกเขาไม่สามารถจะเอาพลั่วขุดมันออกได้ พวกเราไปร้องทุกข์กับท่านร่อซูล
ท่านร่อซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า “บิสมิ้ลลาฮฺ”
พร้อมกับกระแทกพลั่วนั้นลงไปอย่างแรง ทำให้หินแตกออกหนึ่งในสามส่วนทันที และมีแสงพวยพุ่งออกมาจากแปลงหินอัคนีภูเขาไฟสีดำ (ซึ่งเป็นร่องรอยของภูเขาระเบิดในอดีต) ตลอดสองฟากฝั่งของเมืองมะดีนะฮ์ (ทางทิศตะวันออกและตะวันตก)
ท่านกล่าวว่า :“อัลลอฮุอักบัร.. ฉันได้รับกุญแจเมืองชาม.. ฉันมองเห็นราชวังสีแดงของชามจากตรงนี้ ในนาทีนี้ ..”
แล้วท่านก็กระแทกพลั่วลงไปเป็นครั้งที่สอง หินก็แตกออกอีกหนึ่งในสาม ทันใดนั้นก็มีแสงฟ้าแลบมาจากทางเปอร์เซียสว่างวาบขึ้นระหว่างแปลงหินสีดำ ทั้งสองฟากฝั่งของเมืองมะดีนะฮ์
ท่านร่อซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า :“อัลลอฮุอักบัร.. ฉันได้รับกุญแจเมืองเปอร์เซีย วัลลอฮ์ (ขอสาบานต่ออัลลอฮฺ) ฉันเห็นเมืองมะดาอิน และราชวังสีขาวจากตรงนี้ (คือมะดาอินของกิสรอ กษัตริย์เปอร์เซีย)
และญิบรีลได้บอกฉันว่า : ประชาชาติของฉันจะมีชัยชนะเหนือพวกเขา ดังนั้น พวกท่านจงรีบแจ้งข่าวดีถึงชัยชนะ (ในเร็ววันนี้) ด้วยเถิด”
และท่านก็กระแทกพลั่วลงเป็นครั้งที่สาม ท่านกล่าวว่า : “บิสมิ้ลลาฮฺ”
ก้อนหินที่เหลืออยู่ก็แตกกระจาย และมีแสงพวยพุ่งออกมาจากทิศทางของประเทศเยเมน สว่าง วาบขึ้นมาระหว่างแปลงหินสีดำ ทั้งสองฟากฝั่งของเมืองมะดีนะฮฺ คล้ายกับแสงไฟส่องสว่างในยามค่ำคืนที่มืดมิด
ท่านร่อซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม กล่าววว่า :“อัลลอฮุอักบัร ฉันได้รับกุญแจเมืองเยเมน วัลลอฮ์ (ขอสาบานว่า) ฉันเห็นประตูเมือง “ศ็อนอาอ์” จากตรงนี้ ในนาทีนี้”
ดังกล่าวข้างต้นคือมั๊วะอ์ญิซาต ของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม มีรายละเอียดดังต่อไปนี้
1. “ฉันได้รับกุญแจเมืองชาม”
มีมั๊วะอ์ญิซาต (อภินิหาร) เกิดขึ้น กับท่านร่อซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม และได้เกิดขึ้นจริงภายหลังจากที่ท่านร่อซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม สิ้นชีวิตไปแล้วหลายปี เนื่องจากท่านเป็นร่อซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ท่านสุดท้าย เป็นนบีท่านสุดท้าย มั๊วะอ์ญิซาตของท่าน ก็จะเกิดขึ้นมาให้เห็นอยู่เรื่อย ๆ พร้อม ๆ กับกาลเวลา
หลังจากท่านร่อซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้พูดเช่นนั้น (ที่กล่าวในฮะดิษ) แล้วมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง?
ท่านร่อซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้กล่าวไว้เช่นนั้น ตั้งแต่ปี ฮ.ศ.ที่ 5 (สงครามคอนดั๊ก) ขณะนั้น พลังอำนาจของโลก หรือมหาอำนาจของโลก อยู่ที่สองฝ่ายคือเปอร์เซีย และโรม ฝ่ายโรมนั้นอยู่ทางทิศตะวันตก ส่วนเปอร์เซียอยู่ทางทิศตะวันออก (อาหรับอยู่ตรงกลาง) ปรากฏว่าพวกโรมเข้าครอบครองเมืองชามและเมืองรอบ ๆ นั้น ส่วนเปอร์เซียก็เข้าครอบครองอิหร่าน และบางส่วนของประเทศอิรัก
และก็ได้เกิดสงครามครั้งใหญ่ขึ้นระหว่างมหาอำนาจทั้งสอง... สงครามครั้งนั้น ฝ่ายมุสลิมจะเอาใจช่วยฝ่ายไหนให้ได้รับชัยชนะ? คิดว่าพวกเราจะต้องเอาใจช่วยฝ่ายโรมให้มีชัยชนะเหนือฝ่ายเปอร์เซียเป็น แน่แท้ เพราะเหตุใดหรือ? ก็เพราะพวกเปอร์เซียขณะนั้น เป็นผู้ที่เคารพสักการะดวงอาทิตย์ รูปเคารพต่าง ๆ บูชาไฟ อื่น ๆ ยึดเอาสิ่งเหล่านั้น เป็นผู้เป็นเจ้าที่พวกเขากราบไหว้ เคารพสักการะ ส่วนโรมนั้นพวกเขาเป็นชาวคัมภีร์ นับถือศาสนาคริสต์
แต่ข่าวการสู้รบที่มาถึง กลับไม่เป็นไปตามคาดของพี่น้องมุสลิม นั่นก็คือ สงครามครั้งนั้นเปอร์เซียมีชัยชนะเหนือโรม ทำให้ฝ่ายมุสลิมเสียใจมาก อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ประทานอัลกุรอานลงมา พร้อมมั๊วะอ์ญิซาตที่ว่า โรมจะมีชัยชนะหลังจากนั้นอีกไม่กี่ปี และบอกถึงเวลาแห่งความพ่ายแพ้ของโรมอีกครั้งหนึ่ง
อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ตรัสว่า
“อลีฟ ลาม มีม พวกโรมได้ถูกพิชิตแล้ว (เปอร์เซียชนะโรม) ในดินแดนใกล้ ๆ (ดินแดนชามติดกับดินแดนเปอร์เซีย) และพวกเขา (โรม) หลังจากนั้นจะพิชิตพวกเขา (เปอร์เซีย) ในช่วงเวลาอีกไม่กี่ปีข้างหน้า (ไม่เกิน 10 ปี และไม่น้อยกว่า 3 ปี)"
(อัรรูม 30 : 14)
♦ใครเล่า จะสามารถบอกผลของสงครามที่จะเกิดขึ้นภายหลังจากนั้น (วันที่วะฮีย์ลงมา) อีก 9 ปี
♦ใครเล่าจะประกันได้ว่าในช่วง 9 ปีนี้ โรมกับเปอร์เซียจะไม่ประนีประนอมกัน แล้วสงครามก็ไม่เกิด .. หรือสงครามอาจจะเกิดขึ้นอีก และโรมก็แพ้อีกก็เป็นได้
ประวัติศาสตร์บอกแก่พวกเราว่า โรมพ่ายแพ้ 2 ครั้ง อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ทรงรอบรู้สิ่งเร้นลับนี้ หลังจาก 9 ปีต่อมา โรมชนะเปอร์เซีย ศัตรู ตัวฉกาจ ทำให้โรมกลายเป็นมหาอำนาจที่ยิ่งใหญ่
ต่อมามุสลิมพิชิตอาณาจักรชาม และโรมเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ทรงสนับสนุนให้มุสลิมมีชัยชนะเหนือโรมในสงคราม “ยัรมู๊ก” ซึ่งเกิดขึ้นภายหลังจากนั้นหลายสิบปี เป็นไปตามคำพูดของท่านร่อซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ที่เคยพูดไว้ว่า “ฉันได้รับกุญแจเมืองชาม”
ย้อนกลับมาสู่เหตุการณ์ ภายหลังจากที่ท่านร่อซูลสิ้นชีวิต อำลาจากโลกดุนยานี้ไปหลายปีว่า มุสลิมมีชัยชนะเหนือโรมในสงครามยัรมู๊กได้อย่างไร?
2. เตรียมกองกำลังสำหรับทำศึกกับโรม
ภายหลังจากเสร็จศึก “ริดดะฮ์” (สงครามกับกลุ่มออกนอกศาสนา ตกมุรตัด) ท่านคอลิด อิบนิล วะลีด ร่อฎิยัลลอฮุอันฮุ เดินทัพจากยะมามะฮ์ไปยังอิรัก ในปี ฮ.ศ.ที่ 13 ท่านอบูบักร อัซซิดดิ๊ก ร่อฎิยัลลอฮุอันฮุ เตรียมกองทหารไปยังชาม ดังนี้
1. ท่านส่งท่านอัมร์ อิบนิ้ลอ๊าศ ร่อฎิยัลลอฮุอันฮุ ไปยังปาเลสไตน์
2. ท่านให้ท่านยะซีด อิบนิ อบีซุฟยาน ร่อฎิยัลลอฮุอันฮุ ไปยังชาม
3. ท่านให้ท่านอบูอุบัยดะฮ์ อิบนิ้ลญัรร๊อฮ์ ร่อฎิยัลลอฮุอันฮุ ไปยังชาม
4. และท่านซะเราะฮ์บี้ล อิบนิ ฮะสะนะฮ์ ร่อฎิยัลลอฮุอันฮุ มุ่งไปยังชาม จากเส้นทางตะบู๊ก อัลบัยก๊อฮ์ สู่เมืองชาม1
แต่ละท่านจากเหล่านายทหารทั้งสี่ท่านดังกล่าว จะมีพลทหารหาญ 3,000 นาย และได้ส่งกองหนุนอย่างต่อเนื่องเข้าไปเสริมอีก
ท่านอบูบักร อัซซิดดิ๊ก ร่อฎิยัลลอฮุอันฮุ กำหนดให้นายทหารแต่ละท่านปฏิบัติการในเขตรับผิดชอบ
ท่านอัมรฺ อิบนิ้ลอ๊าศ ร่อฎิยัลลอฮุอันฮุ รับผิดชอบปาเลสไตน์
ท่านยะซีด อิบนิ อบีซุฟยาน ร่อฎิยัลลอฮุอันฮุ รับผิดชอบดามัสกัส
ท่านอบูอุบัยดะฮ์ อิบนิ้ลญัรร๊อฮ์ ร่อฎิยัลลอฮุอันฮุ รับผิดชอบเมืองฮิมศ์
ท่านซะเราะฮ์บี้ล อิบนิ ฮะสะนะฮ์ ร่อฎิยัลลอฮุอันฮุ รับผิดชอบจอร์แดน
เรื่องดังกล่าวนี้รู้ไปถึงเฮร็อกล์ (เฮราคลิอุส) กษัตริย์แห่งโรม เขาต้องการที่จะสู้รบกับบรรดาผู้นำทัพเหล่านั้น โดยแต่ละกลุ่มแยกต่างหากจนกว่าจะพ่ายแพ้ไปทีละกลุ่ม ๆ (แต่ท่านอุมัร ร่อฎิยัลลอฮุอันฮุ ก็ตระหนักถึงเรื่องนี้อยู่แล้ว) ความจริง กองกำลังฝ่ายโรมที่มีอยู่เบื้องหน้า มีจำนวนถึง 90,000 คน
(ดูใน อัลกามิล ฟิตตารีด 2/276)
บรรดาหัวหน้ากองกำลังอิสลามจึงได้ส่งสาส์นไปถึงท่านอมีรุ้ลมุอ์มินีน อบูบักร ร่อฎิยัลลอฮุอันฮุ ที่อยู่นครมะดีนะฮ์ และท่านอบูบักรก็ส่งสาส์นไปยังท่านคอลิด อิบนิ้ลวะลีด ร่อฎิยัลลอฮุอันฮุ และกล่าวแก่ พี่น้องมุสลิมที่อยู่มะดีนะฮ์ เป็นคำพูดของท่านที่ทราบกันดีว่า
“วัลลอฮิ (ขอสาบานต่ออัลลอฮฺว่า) ฉันจะทำให้โรมลืมเสียงกระซิบของชัยฏอนด้วยกับคอลิด อิบนิ้ลวะลีด”
ข้อความที่ท่านอบูบักรส่งสาส์นไปยังท่านคอลิด อิบนิ้ลวะลีด ร่อฎิยัลลอฮุอันฮุ นั้นมีอยู่ว่า “ขอให้ท่านเดินทัพไปรวมกับกองกำลังมุสลิมที่ยัรมู๊ก”
เมื่อท่านคอลิด อิบนิ้ลวะลีด ได้รับสาส์นแล้วก็ปฏิบัติตามคำสั่งโดยทันที ท่านนำพากองกำลังผ่านเส้นทางที่มีเทือกเขามากมาย เพื่อให้การหนุนเนื่องกองกำลังมุสลิมในชามเป็นไปได้อย่างทันท่วงที
เมื่อท่านคอลิดมาถึงชาม กองกำลังมุสลิมดีใจเป็นอย่างยิ่ง ทำให้มีกำลังใจและมั่นใจในชัยชนะ แต่ฝ่ายโรมโกรธมากเมื่อได้ทราบข่าวนี้
เฮร็อกล์ กษัตริย์แห่งโรมถึงกับสั่นสะท้าน และพูดขึ้นว่า“ข้าไม่ได้บอกแก่พวกเจ้าหรือว่า อย่าไปรบกับพวกนี้ เพราะพวกเจ้าไม่มีทางเอาชนะพวกเขา ได้หรอก”
คำพูดนี้ทำให้สหายของเขาไม่พอใจ และกล่าวแก่เขาว่า “ท่านจงรบเถิด ไม่ต้องกลัวใครทั้งนั้น จงทำตามหน้าที่ของท่าน”
บรรยากาศตอนนี้ทำให้มีการเตรียมพร้อมสำหรับการสู้รบ แม่ทัพกองกำลังโรมกล่าวแก่กษัตริย์ว่า
“ชาวอาหรับมาหาท่านแล้ว มาพร้อมกับกองกำลังมหึมา พวกเขาอ้างว่า : นบีของพวกเขา มุฮัมมัด ซ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม บอกพวกเขาไว้ว่า จะได้รับชัยชนะเหนือประเทศนี้ บัดนี้ พวกเขามาหาท่านแล้ว พร้อมกับลูกหลานของพวกเขา ภรรยาของพวกเขา โดยเชื่อในคำพูดนบีของพวกเขา”
อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ให้พวกเขาเกิดความกลัว จนกระทั่งลือกันไปว่า แม่ทัพคอลิดนั้น ในมือถือดาบที่ถูกประทานมาจากฟากฟ้า ที่ท่านร่อซูลของอัลลอฮฺได้ให้แก่ท่านไว้ รบกับใครก็ชนะทุกครั้ง
ทั้งสองฝ่ายเตรียมพร้อมสำหรับการสู้รบแล้ว ฝ่ายโรมตกอยู่ในความวิตก สับสน ตื่นกลัวจากสิ่งที่ได้ยินมา ส่วนฝ่ายมุสลิมนั้นอยู่ในสภาพมั่นใจเพื่อในชัยชนะ เพราะนึกถึงคำพูดของท่านร่อุ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัม ที่ว่า “ฉันได้รับกุญแจเมืองชาม”
ทหารโรมมีจำนวน 240,000 นาย ในจำนวนนี้ มี 80,000 นาย อยู่ในสภาพถูกล่ามโซ่ เพื่อไม่ให้หนีระหว่างการสู้รบ ทหารมุสลิมมีจำนวน 27,000 นาย และแม่ทัพคอลิด ร่อฎิยัลลอฮุอันฮุ นำมาสมทบอีก 9,000 นาย รวมเป็น 36,000 นาย
ท่านแม่ทัพคอลิด ร่อฎิยัลลอฮุอันฮุ แบ่งกองกำลังออกเป็นหลายหน่วย แต่ละหน่วยประกอบด้วยนักรบที่อยู่บนหลังม้า เพื่อพร้อมสำหรับการรบอย่างต่อเนื่องหลายระรอกที่ไม่มีวันจบสิ้น
ท่านแม่ทัพคอลิด ร่อฎิยัลลอฮุอันฮุ แบ่งกองกำลังอัศวินบนหลังม้า ออกเป็นสามกลุ่ม
1. กลุ่มกองกลาง ผู้นำได้แก่ ท่านแม่ทัพอบูอุบัยดะฮ์ อิบนิ้ลญัรร๊อฮ์ ร่อฎิยัลลอฮุอันฮุ มีหน่วยทหารอัศวิน 18 หน่วย แต่ละหน่วยมีผู้นำหนึ่งท่าน
2. กลุ่มปีกขวา ผู้นำได้แก่ ท่านแม่ทัพอัมร์ อิบนุ้ลอ๊าศ ร่อฎิยัลลอฮุอันฮุ มีหน่วยทหารอัศวิน 11 หน่วย ทุกหน่วยมีผู้นำหนึ่งท่านเช่นเดียวกัน
ท่านแม่ทัพคอลิดใช้ให้ท่านมิกด๊าด อิบนิ อัมร์ ร่อฎิยัลลอฮุอันฮุ อ่านอัลกุรอาน ซูเราะฮฺอัลอัมฟาล เป็นกำลังใจให้แก่ทหารหาญ เพราะในซูเราะฮฺนี้กล่าวถึงการต่อสู้ ท่านก็เริ่มอ่าน พร้อมกับเดินไปตามระหว่างแถวทหารเหล่านั้น ทุกคนต่างก็สงบนิ่ง สดับฟังดำรัสของอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ด้วยจิตที่เปี่ยมล้นด้วยอีมานศรัทธา
สงครามยัรมู๊กมีซอฮาบะฮ์เข้าร่วมรบด้วยนับพันคน และประมาณ 100 คน ที่เป็นผู้เคยผ่านการสู้รบที่บัดร์มาแล้ว
ท่านอบูซุฟยาน ร่อฎิยัลลอฮุอันฮุ เป็นอีกท่านหนึ่งที่เข้าร่วมรบในศึกครั้งนี้ ท่านเดินมาหยุดอยู่ที่หน่วยกองกำลังทหารและกล่าวว่า
“อัลลอฮฺ ... อัลลอฮฺ พวกท่านเป็นกองหนุนจากชาวอาหรับ และเป็นผู้ช่วยเหลือศาสนาอิสลาม แต่พวกเขาเป็นกองหุนของชาวโรม และเป็นผู้ช่วยเหลือชิริก และกุฟร์...
โอ้ อัลลอฮฺ วันนี้เป็นวันหนึ่งจากบรรดาวันทั้งหลายของท่าน โอ้ อัลลอฮฺ โปรดประทานชัยชนะให้แก่บ่าวของพระองค์ด้วยเถิด...”
ขณะที่ท่านแม่ทัพคอลิด ร่อฎิยัลลอฮุอันฮุ เดินจัดระเบียบ ตรวจแถวกองกำลังทหารอยู่นั้น ท่าน ได้ยินเสียงพูดว่า“ทหารโรมช่างมากมาย ทหารมุสลิมช่างน้อยนิด”
ท่านก็พูดสวนกลับไปทันควันเลยว่า“แต่ทหารจะมากก็เพราะแกร่งกล้า จึงมีชัย จะน้อยก็เพราะอ่อนแอและพ่ายแพ้ มิใช่อยู่ที่จำนวนของทหาร”
ท่านแม่ทัพกล่าวเช่นนี้ ท่านได้สร้างความฮึกเหิมให้เกิดขึ้นในจิตใจของเหล่าทหาร และทำให้เกิดความหวาดกลัวสับสนขึ้นในจิตใจของศัตรู
ในที่สุด การสู้รบระหว่างมุสลิมกับโรมก็เกิดขึ้น ทั้งสองฝ่ายล้มตายลงเป็นจำนวนมาก ทหารม้าทั้งสองฝ่ายจู่โจมเข้าหากันอย่างไม่คิดชีวิต
ขณะนั้นก็มีผู้ส่งข่าวจากเมืองมะดีนะฮ์ อัลมุเนาวะเราะฮ์มาถึง พวกเขาต่างก็ถามว่ามีข่าวอะไร ท่านคอลิด ร่อฎิยัลลอฮุอันฮุ ได้แต่บอกเพียงข่าวดีว่า บัดนี้ มีกองหนุนเข้ามาเสริมพวกเราแล้ว
แต่ข่าวที่มาถึงนั้นคือ การสิ้นชีวิตของท่านอบูบักร อัซซิดดี๊ก ร่อฎิยัลลอฮุอันฮุ เมื่อวันจันทร์ที่ 22 ญุมาดั้ลอาคิเราะฮ์ ปี ฮ.ศ.ที่ 13 และได้แต่งตั้งให้ท่านอบูอุบัยดะฮ์ ร่อฎิยัลลอฮุอันฮุ เป็นแม่ทัพแทน ข่าวดังกล่าวมาถึงท่านคอลิด และท่านก็ไม่ได้บอกข่าวการสิ้นชีวิตของท่านอบูบักร และการเปลี่ยนแม่ทัพให้เหล่าทหารได้ทราบ เพราะเกรงว่าบรรดาทหารจะเกิดความโกลาหล
สถานการณ์การต่อสู้รุนแรงขึ้นเป็นลำดับ และยังคงสภาพอยู่เช่นนั้น จนกระทั่งพวกโรมดูเหมือนจะอ่อนล้าลง ท่านแม่ทัพคอลิดจึงบุกตะลุยเข้าไปถึงใจกลางของการสู้รบ เข้าประชิดฝ่ายโรมจนกระทั่งทหารฝ่ายโรมไม่รู้จะทำอย่างไรดี สนามรบเปิดกว้างสำหรับการไล่ล่ากันของทั้งสองฝ่ายแบบไม่มีทางหนี ม้าของฝ่ายโรมเผ่นออกนอกสนามรบไปสู่ท้องทะเลทราย ในระหว่างที่ท่านแม่ทัพคอลิดกับกองกำลังของท่านก็ตามไล่ล่าทหารฝ่ายโรมที่เตลิดหนี
ท่านอิกริมะฮ์ อิบนิ อบีญะฮ์ลิ ร่อฎิยัลลอฮุอันฮุ กับทหารม้าจำนวน 400 ท่าน ได้ให้สัตยาบันต่อกันว่า พวกเราจะขอสู้ตาย ในจำนวนนี้มีท่านดิร็อร อิบนิ้ลอัซวัร รวมอยู่ด้วย ในที่สุดก็เสียชีวิตล้มตายลงเป็นชะฮีดหลายท่าน และที่ได้รับบาดเจ็บอีกเป็นจำนวนมาก
การสู้รบยุติลง ชัยชนะเป็นของฝ่ายมุสลิม และทหารมุสลิมเสียชีวิตเป็นชะฮีดจำนวน 3,000 ท่าน ในจำนวนนี้มีท่านอิกริมะฮ์ อิบนิ อบีญะฮ์ลิ ร่อฎิยัลลอฮุอันฮุ และลูกชายของท่านรวมอยู่ด้วย
ชามถูกพิชิตแล้ว อภินิหารของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม เป็นความจริง ตามคำพูดของท่านที่ว่า “ฉันได้รับกุญแจเมืองชาม” บัดนี้ พี่น้องมุสลิมได้เห็นพระราชวังแดง เหมือนกับที่ท่านร่อซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม เคยเห็นในอดีต ขณะที่ท่านใช้พลั่วกระแทกลงบนหินก้อนนั้น
มีต่อ.....
ที่มา : วารสารสายสัมพันธ์