อัชชะฟาอะฮ์ การขอความกรุณาต่ออัลลอฮ์ให้แก่เพื่อนมนุษย์ในวันอาคิเราะฮ์
  จำนวนคนเข้าชม  5037


อัชชะฟาอะฮ์ 

การขอความกรุณาต่ออัลลอฮ์ให้แก่เพื่อนมนุษย์ในวันอาคิเราะฮ์ 

โดย : มุฮ์มิน

 

     จากรายงานของท่านอิบนุ อุมัร ร่อฎิยัลลอฮุอันฮุมา แจ้งว่า : แท้จริง ท่านนบี ศอลลัลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม ได้กล่าวว่า

 

     “แน่แท้ ในวันกิยามะฮ์ นั้นดวงอาทิตย์จะเข้ามาใกล้ จนกระทั่งเหงื่อท่วมถึงครึ่งใบหู ระหว่างที่พวกเขาเป็นเช่นนั้นอยู่นั้น 

     พวกเขาก็จะไปขอความช่วยเหลือจากท่านนบีอาดีม อะลัยฮิสลาม แต่ท่านจะกล่าวว่า :  “ฉันมิได้อยู่ในฐานะที่จะกระทำเช่นนั้นได้

     แล้วพวกเขาก็ไปขอความช่ายเหลือจากท่านนบีมูซา อะลัยฮิสลาม และท่านนบีมูซาก็ตอบในทำนองเดียวกัน 

     แล้วพวกเขาจึงไปขอความช่วยเหลือจากท่านนบีมุฮัมหมัด แล้วท่านนบีก็จะทำการขอชาฟาอะฮ์ต่ออัลลอฮ์ เพื่อว่าจะได้มีการตัดสินชี้ขาดขึ้นในระหว่างมนุษยชาติ 

     แล้วท่านนบีก็จะเดินไปเพื่อจะจับห่วงประตูสวรรค์ แล้วในวันนั้นแหละ อัลลอฮ์ ตะอาลา ก็จะทรงให้ท่านนบี ได้รับตำแหน่งอันน่าสรรเสริญ ซึ่งบรรดาผู้ที่ชุมนุมอยู่ทุกๆคนจะสรรเสริญท่าน

 (บันทึกโดย อิมามอบูดาวู๊ด และอัลฮากิม)

 

คำอธิบาย

 

       ความมุ่งหมายในการชาฟาอะฮ์นั้น คือการขอความดีและความเมตตาต่ออัลลอฮ์ ตะอาลา ให้แก่เพื่อนมนุษย์ในวันอาคิเราะฮ์ เป็นการวิงวอนขออย่างหนึ่งจากหลายๆ อย่างที่อัลลอฮ์ ตะอาลา จะทรงรับ

     

          หนึ่งในบรรดาการชะฟาอะฮ์ (การขอความกรุณาต่ออัลลอฮ์ครั้งสำคัญ) การชะฟาอะฮ์อันนี้ไม่มีใครสามารถจะกระทำได้นอกจากท่านนบีมุฮัมหมัด ซอลลัลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม เท่านั้น โดยที่ท่านจะขอความกรุณาต่ออัลลอฮ์ได้ทรงตัดสินชี้ขาดผลกรรมตามที่มนุษย์ได้กระทำไว้ เพื่อว่าผู้ที่กระทำความดีจะได้พ้นจากภาวะคับขัน และความพรั่นพรึงแห่งสถานการณ์ของวันอาคิเราะฮ์นั้นเสีย

          ในการนี้จะทำให้มวลมนุษย์ทั้งที่เป็นพวกที่มาก่อน และมาที่หลัง ปลื้มปิติยินดีโดยทั่วหน้ากัน จากปฏิบัติการณ์ดังกล่าว ทำให้คุณความดีของท่านนบี ซอลลัลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม เป็นที่ประจักษ์ชัดแก่มนุษยชาติทั้งมวล และสิ่งนี้แหละ คือตำแหน่งอันน่าสรรเสริญ(อัลมะกอมุ้ลมะฮ์มู๊ด) ที่ท่านได้รับคำมั่นสัญญาไว้ ดังดำรัสของอัลลอฮ์ ตะอาลา ว่า :  

 

      “และบางส่วนของกลางคืนนั้น เจ้าจงตื่นขึ้นทำการละหมาดตะฮัจญุดในเวลานั้น ทั้งนี้ เป็นการกระทำสิ่งเพิ่มเติมสำหรับเจ้า เพื่อว่าพระเจ้าของเจ้าจะทรงให้เจ้า ได้รับตำแหน่งที่ได้รับการสรรเสริญ

(อัลอิสร๊อ 17: 79)

 

    และระบุในฮาดิษจากรายงานของอุบัย อิบนิ กะฮ์บ ระบุว่า : แท้จริง ท่านนบี ซอลลัลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า :

    “เมื่อวันกิยามะฮ์ปรากฎขึ้นแล้ว ฉันจะเป็นอิมามของบรรดานบีทั้งหลายและเป็นคอฎีบของพวกเขา และเป็นผู้ที่จะขอชาฟาอะฮ์ให้พวกเขาด้วย โดยปราศจากการโอ้อวด

(บันทึกโดย อิมามอบูดาวู๊ด )

 

 

การขอชาฟาอะฮ์จะต้องมีเงื่อนไขต่อไปนี้ คือ

 

1. จะต้องได้รับการอนุมัติจากอัลลอฮ์ ตะอาลา ดังดำรัสของพระองค์ที่ว่า

 “ใครเล่าคือผู้ที่จะชะฟาอะฮ์ ที่พระองค์ได้ นอกจากด้วยอนุมัติจากพระองค์เท่านั้น

( อัลบะเกาะเราะฮ์ 2: 255)

 

2. จะต้องได้แก่ผู้ที่อัลลอฮ์ทรงพอพระทัยเท่านั้น ดังดำรัสของพระองค์ที่ว่า

 “และเขาเหล่านั้นจะไม่ทำการชะฟาอะฮ์ นอกจากผู้ที่พระองค์ทรงยินดีเท่านั้น

(อัลอันบิยาฮ์ 21 : 28)

 

         อนึ่ง อัลลอฮ์ ตะอาลา นั้นจะไม่ทรงยินดี และจะไม่ทรงอนุมัติให้แก่ผู้ใดทำการชะฟาอะฮ์ นอกจากผู้ที่ให้เอกภาพแด่อัลลอฮ์ และเป็นผู้ที่สมควรจะได้รับการอภัยโทษ ตามความเป็นธรรมแห่งพระผู้เป็นเจ้าด้วย ทั้งนี้ก็เพื่อให้การชะฟาอะฮ์เป็นการแสดงออกถึงเกียรติของผู้การชะฟาอะฮ์ และแสดงออกถึงตำแหน่งหน้าที่อันสำคัญของเขา ที่พระเจ้าของเขาด้วย ในฐานะผู้ดำเนินการให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของพระองค์ ทั้งนี้ หลังจากได้วิงวอนขออนุมัติต่อพระองค์ และก็ได้รับอนุมัติจากพระองค์แล้วเท่านั้น

 

             การชะฟาอะฮ์นี้ ใช่ว่าจะมีสิ่งจูงใจให้สำคัญคนผิดก็หาไม่ หรือจงใจให้มีการมักง่าย โดยละทิ้งสิ่งที่อัลลอฮ์ ตะอาลา ทรงกำหนดไว้ อันได้แก่อีมานอันป็นสิ่งซักฟอกจิตใจ และการปฏิบัติงานที่ดี อันจะนำมนุษย์ไปสู่ความเพียบพร้อมสมบูรณ์ถูกกำหนดเป็นเป้าหมายไว้ 

 

             บรรดาผู้ที่สักการะเจว็ดนั้น  พวกเขายึดมั่นในบรรดาเจว็ดของพวกเขาและกล่าวว่า เจว็ดเหล่านั้นจะขอชะฟาอะฮ์ให้แก่พวกเขาได้   ที่อัลลอฮ์ ตะอาลา ดังดำรัสของพระองค์ที่ว่า  : 

 

     “และเขาเหล่านั้นกำลังเคารพสักการะอื่นนอกจากอัลลอฮ์ ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่เป็นโทษแก่พวกเขา และไม่เป็นคุณแก่พวกเขา

     และพวกเขากล่าวว่า เหล่านี้แหละคือบรรดาผู้ที่ช่วยเหลือที่จะขอชะฟาอะฮ์ให้พวกเรา ที่อัลลอฮ์

 (ยูนุส  10 : 18)

      

          แล้วอัลลอฮ์ ตะอาลา ก็ทรงทำลายความเพ้อฝันของพวกเขา ด้วยดำรัสของพระองค์ที่ว่า :  

 

     “แต่ละชีวิตนั้น จะถูกจำนำไว้ด้วยกับสิ่งที่ชีวิตนั้นได้แสวงหาเอาไว้ นอกจากบรรดาผู้ที่ได้รับบันทึกผลงานของเขาด้วยมือขวาเท่านั้น พวกเขาจะอยู่ในบรรดาสวนสวรรค์ 

     พวกเขาต่างไถ่ถามกันเกี่ยวกับบรรดาผู้ที่ประพฤติชั่วว่า อะไรเล่าที่ทำให้พวกท่านเข้าอยู่ในสะก็อร์(นรก

     พวกเขากล่าวว่า พวกเรามิได้อยู่ในหมู่ผู้ทำการละหมาด และพวกเรามิได้ให้อาหารแก่ผู้ยากไร้ขัดสน(มิสกีน) และพวกเราได้ร่วมคุยฟุ้งอยู่กับบรรดานักคุยฟุ้งทั้งหลาย(ในเรื่องไร้สาระ) และพวกเราปฏิเสธวันตอบแทน จนกระทั่งความตาย ได้มายังพวกเรา แล้วการชะฟาอะฮ์ ของบรรดาผู้ทำการชะฟาอะฮ์ก็หาได้เป็นประโยชน์แก่พวกเขาไม่

(อัลมุดดัซซิร 74: 38-48)

 

          อนึ่ง มนุษย์จำนวนมากมายที่ได้ยึดมั่นในการชะฟาอะฮ์ต่อบรรดาคนซอและห์ ในการนี้ทำให้พวกเขาย่ามใจ ประพฤติตนออกนอกลู่นอกทางทุกชนิด โดยผินหลังให้กับการจงรักภักดีต่ออัลลอฮ์ ทั้งนี้ก็เพราะเชื่อมั่น และยึดมั่นในการชะฟาอะฮ์ของคนซอและฮ์ดังกล่าว แล้วอัลลอฮ์ ตะอาลา ก็ทรงทำลายความหวังอันเหลวไหลของพวกเขา โดยประทานคำชี้แจงมาให้ทราบว่า

 

    “หาใช่ด้วยความหวังของพวกเจ้าไม่ และก็หาใช่ความหวังของอะห์ลิ้ลกิตาบไม่ ผู้ใดที่ประพฤติชั่ว เขาก็จะได้รับการตอบแทนด้วยความชั่วนั้น 

     และอื่นจากอัลลอฮ์แล้ว เขาจะไม่พบผู้คุ้มครองคนใด และผู้ช่วยเหลือคนใดสำหรับเขาได้ 

     และผู้ใดกระทำบรรดาสิ่งที่ดี ไม่ว่าเขาจะเป็นชายหรือหญิงก็ตาม ในฐานะที่เขาเป็นผู้ศรัทธาแล้วไซร้ ชนเหล่านั้นจะได้เข้าสวรรค์ และพวกเขาจะไม่ถูกอธรรม แม้เท่ารูเล็กที่อยู่บนหลังเมล็ดอินทผลัม 

     และผู้ใดเล่าจะมีศาสนาดียิ่งไปกว่าผู้ที่มอบใบหน้าของเขาให้แก่อัลลอฮ์ (บริสุทธิ์) และขณะเดียวกันเขาก็เป็นผู้กระทำดีและปฏิบัติตามแนวทางของอิบรอฮีม ผู้ใฝ่หาความจริง 

     และอัลลอฮ์ได้ถือเอาอิบรอฮีมเป็นสหาย และสิ่งที่อยู่ในบรรดาชั้นฟ้าและสิ่งที่อยู่ในแผ่นดินนั้นล้วนเป็นกรรมสิทธิ์ของอัลลอฮ์ทั้งสิ้น และอัลลอฮ์นั้นทรงล้อมทุกสิ่งทุกอย่างไว้แล้ว

 (อันนิซาอ์ 4 :123 – 126)

 

    ศาสนาที่จะได้รับการปฏิบัตินั้นอันแท้จริงนั้น คือผู้ปฏิบัติจะต้องมอบชีวิตร่างกายให้แก่อัลลอฮ์ ซึ่งอัลกรุอานได้ใช้คำว่าและจะต้องปฏิบัติงานอันเป็นหน้าที่ของตนให้ดีที่สุด โดยไม่คิดหวังพึ่งคนหนึ่งคนใดนี่แหละคือวิญญาณของอิสลาม

 

    ท่านร่อซูล ซอลลัลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม ได้สั่งเสียฟาฎิมะฮ์บุตรีที่รักของท่านไว้มีความว่า

 “ ฟาฎิมะฮ์เอ๋ย จงกระทำเถิด แท้จริง ฉันไม่สามารถช่วยเหลือเธอให้พ้นจากการลงโทษของอัลลอฮ์ได้

 

        อัลลอฮ์ ตะอาลา นั้นจะไม่ทรงเจาะจงช่วยเหลือคนหนึ่งคนใดโดยเฉพาะ นี่เหละ คือแนวทางของพระองค์ที่ได้ดำเนินมาแก่ผู้ที่มาก่อนและผู้ที่มาที่หลัง

 


ที่มา วารสารสายสัมพันธ์