อัชชะฟาอะฮ์
การขอความกรุณาต่ออัลลอฮ์ให้แก่เพื่อนมนุษย์ในวันอาคิเราะฮ์
โดย : มุฮ์มิน
จากรายงานของท่านอิบนุ อุมัร ร่อฎิยัลลอฮุอันฮุมา แจ้งว่า : แท้จริง ท่านนบี ศอลลัลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม ได้กล่าวว่า :
“แน่แท้ ในวันกิยามะฮ์ นั้นดวงอาทิตย์จะเข้ามาใกล้ จนกระทั่งเหงื่อท่วมถึงครึ่งใบหู ระหว่างที่พวกเขาเป็นเช่นนั้นอยู่นั้น
พวกเขาก็จะไปขอความช่วยเหลือจากท่านนบีอาดีม อะลัยฮิสลาม แต่ท่านจะกล่าวว่า : “ฉันมิได้อยู่ในฐานะที่จะกระทำเช่นนั้นได้”
แล้วพวกเขาก็ไปขอความช่ายเหลือจากท่านนบีมูซา อะลัยฮิสลาม และท่านนบีมูซาก็ตอบในทำนองเดียวกัน
แล้วพวกเขาจึงไปขอความช่วยเหลือจากท่านนบีมุฮัมหมัด แล้วท่านนบีก็จะทำการขอชาฟาอะฮ์ต่ออัลลอฮ์ เพื่อว่าจะได้มีการตัดสินชี้ขาดขึ้นในระหว่างมนุษยชาติ
แล้วท่านนบีก็จะเดินไปเพื่อจะจับห่วงประตูสวรรค์ แล้วในวันนั้นแหละ อัลลอฮ์ ตะอาลา ก็จะทรงให้ท่านนบี ได้รับตำแหน่งอันน่าสรรเสริญ ซึ่งบรรดาผู้ที่ชุมนุมอยู่ทุกๆคนจะสรรเสริญท่าน”
(บันทึกโดย อิมามอบูดาวู๊ด และอัลฮากิม)
คำอธิบาย
ความมุ่งหมายในการชาฟาอะฮ์นั้น คือการขอความดีและความเมตตาต่ออัลลอฮ์ ตะอาลา ให้แก่เพื่อนมนุษย์ในวันอาคิเราะฮ์ เป็นการวิงวอนขออย่างหนึ่งจากหลายๆ อย่างที่อัลลอฮ์ ตะอาลา จะทรงรับ
หนึ่งในบรรดาการชะฟาอะฮ์ (การขอความกรุณาต่ออัลลอฮ์ครั้งสำคัญ) การชะฟาอะฮ์อันนี้ไม่มีใครสามารถจะกระทำได้นอกจากท่านนบีมุฮัมหมัด ซอลลัลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม เท่านั้น โดยที่ท่านจะขอความกรุณาต่ออัลลอฮ์ได้ทรงตัดสินชี้ขาดผลกรรมตามที่มนุษย์ได้กระทำไว้ เพื่อว่าผู้ที่กระทำความดีจะได้พ้นจากภาวะคับขัน และความพรั่นพรึงแห่งสถานการณ์ของวันอาคิเราะฮ์นั้นเสีย
ในการนี้จะทำให้มวลมนุษย์ทั้งที่เป็นพวกที่มาก่อน และมาที่หลัง ปลื้มปิติยินดีโดยทั่วหน้ากัน จากปฏิบัติการณ์ดังกล่าว ทำให้คุณความดีของท่านนบี ซอลลัลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม เป็นที่ประจักษ์ชัดแก่มนุษยชาติทั้งมวล และสิ่งนี้แหละ คือตำแหน่งอันน่าสรรเสริญ(อัลมะกอมุ้ลมะฮ์มู๊ด) ที่ท่านได้รับคำมั่นสัญญาไว้ ดังดำรัสของอัลลอฮ์ ตะอาลา ว่า :
“และบางส่วนของกลางคืนนั้น เจ้าจงตื่นขึ้นทำการละหมาดตะฮัจญุดในเวลานั้น ทั้งนี้ เป็นการกระทำสิ่งเพิ่มเติมสำหรับเจ้า เพื่อว่าพระเจ้าของเจ้าจะทรงให้เจ้า ได้รับตำแหน่งที่ได้รับการสรรเสริญ”
(อัลอิสร๊อ 17: 79)
และระบุในฮาดิษจากรายงานของอุบัย อิบนิ กะฮ์บ ระบุว่า : แท้จริง ท่านนบี ซอลลัลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า :
“เมื่อวันกิยามะฮ์ปรากฎขึ้นแล้ว ฉันจะเป็นอิมามของบรรดานบีทั้งหลายและเป็นคอฎีบของพวกเขา และเป็นผู้ที่จะขอชาฟาอะฮ์ให้พวกเขาด้วย โดยปราศจากการโอ้อวด”
(บันทึกโดย อิมามอบูดาวู๊ด )
การขอชาฟาอะฮ์จะต้องมีเงื่อนไขต่อไปนี้ คือ
1. จะต้องได้รับการอนุมัติจากอัลลอฮ์ ตะอาลา ดังดำรัสของพระองค์ที่ว่า :
“ใครเล่าคือผู้ที่จะชะฟาอะฮ์ ณ ที่พระองค์ได้ นอกจากด้วยอนุมัติจากพระองค์เท่านั้น”
( อัลบะเกาะเราะฮ์ 2: 255)
2. จะต้องได้แก่ผู้ที่อัลลอฮ์ทรงพอพระทัยเท่านั้น ดังดำรัสของพระองค์ที่ว่า :
“และเขาเหล่านั้นจะไม่ทำการชะฟาอะฮ์ นอกจากผู้ที่พระองค์ทรงยินดีเท่านั้น”
(อัลอันบิยาฮ์ 21 : 28)
อนึ่ง อัลลอฮ์ ตะอาลา นั้นจะไม่ทรงยินดี และจะไม่ทรงอนุมัติให้แก่ผู้ใดทำการชะฟาอะฮ์ นอกจากผู้ที่ให้เอกภาพแด่อัลลอฮ์ และเป็นผู้ที่สมควรจะได้รับการอภัยโทษ ตามความเป็นธรรมแห่งพระผู้เป็นเจ้าด้วย ทั้งนี้ก็เพื่อให้การชะฟาอะฮ์เป็นการแสดงออกถึงเกียรติของผู้การชะฟาอะฮ์ และแสดงออกถึงตำแหน่งหน้าที่อันสำคัญของเขา ณ ที่พระเจ้าของเขาด้วย ในฐานะผู้ดำเนินการให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของพระองค์ ทั้งนี้ หลังจากได้วิงวอนขออนุมัติต่อพระองค์ และก็ได้รับอนุมัติจากพระองค์แล้วเท่านั้น
การชะฟาอะฮ์นี้ ใช่ว่าจะมีสิ่งจูงใจให้สำคัญคนผิดก็หาไม่ หรือจงใจให้มีการมักง่าย โดยละทิ้งสิ่งที่อัลลอฮ์ ตะอาลา ทรงกำหนดไว้ อันได้แก่อีมานอันป็นสิ่งซักฟอกจิตใจ และการปฏิบัติงานที่ดี อันจะนำมนุษย์ไปสู่ความเพียบพร้อมสมบูรณ์ถูกกำหนดเป็นเป้าหมายไว้
บรรดาผู้ที่สักการะเจว็ดนั้น พวกเขายึดมั่นในบรรดาเจว็ดของพวกเขาและกล่าวว่า เจว็ดเหล่านั้นจะขอชะฟาอะฮ์ให้แก่พวกเขาได้ ณ ที่อัลลอฮ์ ตะอาลา ดังดำรัสของพระองค์ที่ว่า :
“และเขาเหล่านั้นกำลังเคารพสักการะอื่นนอกจากอัลลอฮ์ ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่เป็นโทษแก่พวกเขา และไม่เป็นคุณแก่พวกเขา
และพวกเขากล่าวว่า เหล่านี้แหละคือบรรดาผู้ที่ช่วยเหลือที่จะขอชะฟาอะฮ์ให้พวกเรา ณ ที่อัลลอฮ์”
(ยูนุส 10 : 18)
แล้วอัลลอฮ์ ตะอาลา ก็ทรงทำลายความเพ้อฝันของพวกเขา ด้วยดำรัสของพระองค์ที่ว่า :
“แต่ละชีวิตนั้น จะถูกจำนำไว้ด้วยกับสิ่งที่ชีวิตนั้นได้แสวงหาเอาไว้ นอกจากบรรดาผู้ที่ได้รับบันทึกผลงานของเขาด้วยมือขวาเท่านั้น พวกเขาจะอยู่ในบรรดาสวนสวรรค์
พวกเขาต่างไถ่ถามกันเกี่ยวกับบรรดาผู้ที่ประพฤติชั่วว่า อะไรเล่าที่ทำให้พวกท่านเข้าอยู่ในสะก็อร์(นรก)
พวกเขากล่าวว่า พวกเรามิได้อยู่ในหมู่ผู้ทำการละหมาด และพวกเรามิได้ให้อาหารแก่ผู้ยากไร้ขัดสน(มิสกีน) และพวกเราได้ร่วมคุยฟุ้งอยู่กับบรรดานักคุยฟุ้งทั้งหลาย(ในเรื่องไร้สาระ) และพวกเราปฏิเสธวันตอบแทน จนกระทั่งความตาย ได้มายังพวกเรา แล้วการชะฟาอะฮ์ ของบรรดาผู้ทำการชะฟาอะฮ์ก็หาได้เป็นประโยชน์แก่พวกเขาไม่”
(อัลมุดดัซซิร 74: 38-48)
อนึ่ง มนุษย์จำนวนมากมายที่ได้ยึดมั่นในการชะฟาอะฮ์ต่อบรรดาคนซอและห์ ในการนี้ทำให้พวกเขาย่ามใจ ประพฤติตนออกนอกลู่นอกทางทุกชนิด โดยผินหลังให้กับการจงรักภักดีต่ออัลลอฮ์ ทั้งนี้ก็เพราะเชื่อมั่น และยึดมั่นในการชะฟาอะฮ์ของคนซอและฮ์ดังกล่าว แล้วอัลลอฮ์ ตะอาลา ก็ทรงทำลายความหวังอันเหลวไหลของพวกเขา โดยประทานคำชี้แจงมาให้ทราบว่า :
“หาใช่ด้วยความหวังของพวกเจ้าไม่ และก็หาใช่ความหวังของอะห์ลิ้ลกิตาบไม่ ผู้ใดที่ประพฤติชั่ว เขาก็จะได้รับการตอบแทนด้วยความชั่วนั้น
และอื่นจากอัลลอฮ์แล้ว เขาจะไม่พบผู้คุ้มครองคนใด และผู้ช่วยเหลือคนใดสำหรับเขาได้
และผู้ใดกระทำบรรดาสิ่งที่ดี ไม่ว่าเขาจะเป็นชายหรือหญิงก็ตาม ในฐานะที่เขาเป็นผู้ศรัทธาแล้วไซร้ ชนเหล่านั้นจะได้เข้าสวรรค์ และพวกเขาจะไม่ถูกอธรรม แม้เท่ารูเล็กที่อยู่บนหลังเมล็ดอินทผลัม
และผู้ใดเล่าจะมีศาสนาดียิ่งไปกว่าผู้ที่มอบใบหน้าของเขาให้แก่อัลลอฮ์ (บริสุทธิ์) และขณะเดียวกันเขาก็เป็นผู้กระทำดีและปฏิบัติตามแนวทางของอิบรอฮีม ผู้ใฝ่หาความจริง
และอัลลอฮ์ได้ถือเอาอิบรอฮีมเป็นสหาย และสิ่งที่อยู่ในบรรดาชั้นฟ้าและสิ่งที่อยู่ในแผ่นดินนั้นล้วนเป็นกรรมสิทธิ์ของอัลลอฮ์ทั้งสิ้น และอัลลอฮ์นั้นทรงล้อมทุกสิ่งทุกอย่างไว้แล้ว”
(อันนิซาอ์ 4 :123 – 126)
ศาสนาที่จะได้รับการปฏิบัตินั้นอันแท้จริงนั้น คือผู้ปฏิบัติจะต้องมอบชีวิตร่างกายให้แก่อัลลอฮ์ ซึ่งอัลกรุอานได้ใช้คำว่า “และจะต้องปฏิบัติงานอันเป็นหน้าที่ของตนให้ดีที่สุด โดยไม่คิดหวังพึ่งคนหนึ่งคนใด” นี่แหละคือวิญญาณของอิสลาม
ท่านร่อซูล ซอลลัลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม ได้สั่งเสียฟาฎิมะฮ์บุตรีที่รักของท่านไว้มีความว่า :
“ ฟาฎิมะฮ์เอ๋ย จงกระทำเถิด แท้จริง ฉันไม่สามารถช่วยเหลือเธอให้พ้นจากการลงโทษของอัลลอฮ์ได้”
อัลลอฮ์ ตะอาลา นั้นจะไม่ทรงเจาะจงช่วยเหลือคนหนึ่งคนใดโดยเฉพาะ นี่เหละ คือแนวทางของพระองค์ที่ได้ดำเนินมาแก่ผู้ที่มาก่อนและผู้ที่มาที่หลัง
ที่มา วารสารสายสัมพันธ์