สัญญาณบางประการของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม
โดย อาจารย์มาลิก โยธาสมุทร
แท้จริง อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ได้ทรงส่งบรรดาร่อซูลของพระองค์มาในฐานะเป็นผู้แจ้งข่าวดี และเป็นผู้ตักเตือนเพื่อเป็นหลักฐานยืนยันสำหรับมวลมนุษย์ต่ออัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ภายหลังจากที่บรรดาร่อซูลเหล่านั้นได้มาแล้ว ด้วยเหตุนี้ อัลลอฮฺจึงทรงสนับสนุนบรรดาร่อซูลเหล่านั้น ด้วยสัญญาณ (อายาต) อันชัดแจ้ง เพื่อเป็นหลักฐานยืนยันถึงความสัตย์จริงของบรรดาร่อซูลเหล่านั้น และความถูกต้องแห่งบรรดาสาสน์ของท่านเหล่านั้น
อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา จึงตรัสว่า
“แท้จริง เราได้ส่งบรรดาร่อซูลของเรามาพร้อมด้วยหลักฐานอันชัดแจ้ง และเราได้ให้คัมภีร์และความยุติธรรมมาพร้อมกับพวกเขา เพื่อที่ผู้คนจะดำรงไว้ซึ่งความยุติธรรม”
(อัลฮะดี๊ด 57 : 25)
ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า
“ไม่มีนบีใดๆ ที่มานอกจากจะต้องมีอายาต (สัญญาณ) ต่างๆ ของพระองค์ลงมาด้วยเพื่อให้ผู้คนได้เชื่อมั่นศรัทธา ดังนั้น อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา จึงทรงสนับสนุนพวกเขาเหล่านั้นด้วยอายาตต่างๆ เพื่อเป็นหลักฐานยืนยันแก่บรรดาผู้ที่ต่อต้าน และเพื่อผู้ที่ศรัทธาจะได้มั่นใจและรู้แจ้งเห็นจริง เพื่อเปิดหัวอกของเขาสู่การศรัทธา (อีมาน) และทำให้มีจิตใจที่สงบสุข”
สำหรับท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ของเรานั้น ได้รับสัญญาณที่ยิ่งใหญ่กว่าและสูงส่งกว่า บรรดาอายาตที่ท่านได้รับนั้น มีทั้งอายาตที่เป็นบทบัญญัติ “ชัรอียะฮ์” และอายาต “เกานียะฮ์” แห่งโลก สำหรับอายาต “ชัรอียะฮ์” นั้น ส่วนมากแล้ว คือ อัลกุรอานุลอะศีม อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ตรัสกับบรรดาผู้ที่ต้องการรู้ถึงอายาต ดังที่ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ว่า
“ยังไม่เป็นการเพียงพอแก่พวกเขาอีกดอกหรือ ที่เราได้ให้คัมภีร์แก่เจ้า ซึ่งได้ถูกอ่านให้พวกเขาฟัง แท้จริงในการนั้น ย่อมเป็นความเอ็นดูเมตตา และเป็นการเตือนแก่กลุ่มชนที่ศรัทธา”
(อัลอังกะบู๊ต 29 : 51)
และท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า
“แท้จริง ผู้ที่ได้รับวะฮีย์ หรือผู้ที่อัลลอฮฺได้ประทานวะฮีย์แก่เขานั้น ก็หวังว่าจะมีผู้ดำเนินตามเขามากมายในวันกิยามะฮฺ”
ใช่แล้ว ที่จริงอัลกุรอานอันยิ่งใหญ่นี้ ย่อมเป็นสัญญาณอันยิ่งใหญ่สำหรับท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม เพราะอัลกุรอานมาเพื่อยืนยันความสัตย์จริงแห่งบรรดาคัมภีร์ของอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ที่ถูกประทานมาแต่ก่อนๆ และเป็นผู้ทำหน้าที่ตัดสินชี้ขาด และยกเลิกบรรดาคัมภีร์ก่อนๆ ดังดำรัสของอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ที่ว่า
“และเรา (อัลลอฮฺ) ได้ให้คัมภีร์อัลกุรอานลงมาแก่เจ้า (มุฮัมมัด) ด้วยความจริง ในฐานะเป็นที่ยืนยันคัมภีร์ที่ถูกประทานลงมาก่อนหน้านี้ และเป็นที่ควบคุมคัมภีร์นั้นๆ
ดังนั้น เจ้า (มุฮัมมัด) จงตัดสินชี้ขาดในระหว่างพวกเขา ด้วยสิ่งที่อัลลฮฺได้ประทานลงมาเถิด และอย่าได้ปฏิบัติตามอารมณ์ใฝ่ต่ำของพวกเขาเลย ด้วยการจะให้เจ้าหันเหออกจาความจริง”
(อัลมาอิดะฮฺ 5 : 48)
อัลกุรอานเป็นสัญญาณอันยิ่งใหญ่ สำหรับท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม เพราะอัลกุรอานได้แจ้งถึงลักษณะแห่งสาสน์ของอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา โดยรวม ตลอดจนนำมาใช้ได้ทุกเวลาและทุกสถานที่ ทั้งในดุนยาและอาคิเราะฮฺ ไม่มีคำว่าล้าหลังล้าสมัย และถือเป็นรากฐานของนิติบัญญัติทางศาสนา
อัลกุรอานเป็นสัญญาณอันยิ่งใหญ่ สำหรับท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ที่รวมไว้ซึ่งข่าวคราวที่เป็นจริง เรื่องราวต่างๆ ที่ดีงาม เพียบพร้อมไปด้วยข้อคิด และการอบรมบ่มนิสัย ตลอดจนบทบัญญัติที่เที่ยงธรรม เป็นที่พึงพอใจและเป็นการแก้ไขสังคม
อัลกุรอานเป็นสัญญาณอันยิ่งใหญ่ ทั้งในถ้อยคำและความหมาย มีผลต่อชีวิตจิตใจของบุคคลและประชาชาติทั้งมวล ทั้งในยุคแรกๆ จนกระทั่งยุคสุดท้ายอัลกุรอานที่มุสลิมอ่านอยู่ในปัจจุบันเหมือนกับ กุรอานที่มุสลิมในยุคแรกในอดีตอ่าน และพวกเขาตัดสินชี้ขาดด้วยบทบัญญัติเดียวกับที่มุสลิมในยุคแรกในอดีตใช้ตัดสินชี้ขาด
ดังดำรัสของอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ที่ว่า
“แท้จริง เรา (อัลลอฮฺ) ได้ให้ “อัซซิกร์” (อัลกุรอาน) ลงมา และแท้จริง เราเป็นผู้รักษาอัลกุรอานอย่างแน่นอน”
(อัลฮิจญร์ 15 : 9)
ส่วนหนึ่งจากสัญญาณแห่งการเป็นนบีของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ก็คือบทบัญญัติที่สมบูรณ์ ทั้งในด้านหลักเชื่อมั่น (อะกีดะฮฺ) การปฏิบัติ (อิบาดะฮฺ) จรรยามารยาท (อัคล๊าก) จริยธรรม (อาด๊าบ) และการประพฤติปฏิบัติต่างๆ (มุอามะล๊าต) ตลอดจนการอบรมบ่มนิสัย มารยาทของผู้เป็นบ่าวที่จะต้องประพฤติปฏิบัติต่อตนเอง ต่อผู้อื่น และต่อพระผู้เป็นเจ้า หากคนทั้งโลกรวมหัวกันที่จะนำมาซึ่งบทบัญญัติ เช่นเดียวกับที่อิสลามได้นำมาแล้ว ก็ไม่มีทางที่จะเสมอเหมือนได้เลย เพราะอิสลามเป็นบทบัญญัติของอัลลอฮฺ ผู้ทรงรอบรู้ว่าอันใดจะเป็นคุณ เป็นประโยชน์ต่อปวงบ่าวของพระองค์ ทรงฉลาดรอบรู้ ในสิ่งที่ได้ทรงกำหนดให้แก่ปวงบ่าวของพระองค์ ทรงเอ็นดูเมตตาในสิ่งที่พระองค์ทรงบังคับใช้พวกเขา
กฎระเบียบและข้อบังคับทั้งหลายทั้งปวงที่อิสลามกำหนดขึ้นนั้น ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่ดี เป็นคุณประโยชน์ต่อผู้ที่นำไปประพฤติปฏิบัติทั้งสิ้น ไม่เว้นแม้สักข้อเดียว และในเมื่อมนุษย์ไม่สามารถจะนำบทบัญญัติใดๆ มาเปรียบเทียบกับบัญญัติอิสลามได้ จึงเป็นหลักฐานชี้ชัดว่า บทบัญญัติที่ท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม นำมานั้น คือ บทบัญญัติของอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา อย่างแท้จริง
สำหรับอายาตที่เกี่ยวกับการบริหาร การจัดการจักรวาล (อัลเกานียะฮ์) ที่บ่งชี้ถึงสาสน์แห่งการเป็นนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม นั้น มีอยู่มากมาย ไม่สามารถที่จะนำมาเสนอได้ทั้งหมด ส่วนหนึ่งก็คือ การที่อัลลอฮฺทรงให้ท่านนบีเป็นผู้มีมารยาทอันสูงส่งและดีงาม ดังที่กษัตริย์แห่งเมืองฆ็อซซาน กล่าวว่า
“ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้เชิญชวนให้เข้ารับอิสลาม ขอสาบานต่ออัลลอฮฺว่า
นบีผู้อ่านไม่ออก เขียนไม่เป็นผู้นี้ ได้ชี้ให้ฉันเห็นว่า จะไม่ชี้แนะไปสู่ความดี นอกจากท่านต้องเป็นคนแรกที่กระทำความดีเสียก่อน
และท่านจะไม่ห้ามปรามมิให้ทำความชั่ว นอกจากท่านต้องเป็นคนแรกที่ละทิ้งความชั่ว
และแม้ว่าท่านจะเป็นผู้ชนะ แต่ท่านก็ไม่ยโส เนรคุณ เมื่อท่านแพ้ ท่านก็ไม่ท้อแท้ ผิดหวัง ท่านเป็นผู้รักษาสัญญา และปฏิบัติตามสัญญา
ด้วยเหตุนี้ ฉันจึงขอปฏิญาณยืนยันว่าท่านนั้นเป็นนบีที่แท้จริง”
ชัยคุลอิสลาม อิบนี ตัยมียะฮ์ ได้เขียนไว้ในหนังสือ (อัลญะวาบุซซอฮีย์ ลิมัน บัตตะละ ดีนิลมะซี๊ฮ์ : คำตอบที่ถูกต้องสำหรับผู้ที่เปลี่ยนศาสนาคริสต์) ซึ่งเป็นหนังสือที่เที่ยงตรง สมควรที่มุสลิมจะต้องอ่าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งสมัยนี้ ซึ่งมีการเผยแพร่ศาสนาคริสต์ในหมู่มุสลิมกันอย่างแพร่หลาย ทั้งโดยทางรัฐและกลุ่มเอกชน ทั้งนี้ เพื่อให้ผู้คนได้เห็นธาตุแท้ของพวกเหล่านี้
ชัยคุลอิสลาม อิบนิ ตัยมียะฮ์ ได้เขียนในชีวประวัติของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ว่า
“มารยาทของท่านนบี คำพูดของท่านบี การกระทำของท่านนบี และบทบัญญัติที่ท่านนบีนำมานั้น นับเป็นส่วนหนึ่งจากบรรดาสัญญาณของท่าน เพราะท่านนบีสืบเชื้อสายมาจากท่านนบีอิบรอฮีมโดยตรง เป็นผู้ที่ได้รับการอบรมบ่มนิสัยมาเป็นอย่างดี และท่านยังเติบโตมาอย่างเป็นที่รู้กันดีว่า
♦ ท่านเป็นผู้สัตย์จริง ทำดี มีความยุติธรรม มีมารยาทอันดีงาม
♦ ท่านไม่เคยทำความชั่ว หรือก่อการอธรรมใดๆ ไม่เคยพบเห็นหรือได้ยินว่า มีการกระทำอันเป็นที่น่าละอายใดๆ
♦ ไม่เคยมีใครพูดถึงท่านว่า เป็นคนโกหก เป็นผู้ก่ออธรรม หรือประกอบกรรมทำชั่วใดๆ
♦ แต่ทว่า ท่านเป็นผู้ที่พูดจริงที่สุด เป็นผู้มีความยุติธรรมที่สุด เป็นผู้ที่รักษาทุกๆ คำมั่นสัญญา
ซึ่งแตกต่างจากสภาพความเป็นอยู่ที่มีอยู่รอบๆ ตัวท่าน ไม่ว่าจะในยามศึกสงคราม หรือในยามหวาดกลัว ไม่ว่าในยามมั่งคั่งร่ำรวย หรือในยามอดอยากยากจน ไม่ว่าจะอยู่ต่อหน้าศัตรู หรือลับหลังศัตรูก็ตาม”
และส่วนหนึ่งจากสัญญาณแห่งการเป็นนบีของท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ที่ปรากฏแก่มนุษยชาติจากฟากฟ้าและพื้นพิภพก็คือ มีดาวตกหรือผีพุ่งใต้มากมายในท้องฟ้า เพื่อเผาไหม้บรรดาชัยฏอนที่แอบขึ้นไปฟังข่าวคราวบนฟากฟ้า ถูกลูกไฟจากฟากฟ้าขว้างเข้าใส่ ทั้งนี้ เพื่อเป็นการคุ้มันวะฮีย์ของอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ที่ประทานมาให้แก่ท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ดังดำรัสของอัลลอฮฺที่ตรัสว่า
“และแท้จริง เรา (พวกญิน) เคยนั่ง ณ ที่นั่งในฟากฟ้าเพื่อดักฟัง แต่เดี๋ยวนี้ ผู้ใดที่ดังฟัง ก็จะพบกับเปลวเพลิง (ลูกไฟ) ซึ่งถูกเตรียมไว้ขว้างขับไล่ผู้ที่พยายามเข้าใกล้”
(อัลญิน 72 : 9)
กุรอยช์ต้องการจะเห็นสัญญาณแห่งการเป็นนบีของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ดังนั้น อัลลอฮฺจึงทรงให้พวกเขาได้เห็นดวงจันทร์ถูกแยก (ผ่า) ออกเป็นสองซีก จนกระทั่งมองเห็นถ้ำฮิร็ออ์อยู่ตรงกลาง โดยซีกหนึ่งอยู่ด้านบนของภูเขา อีกซีกหนึ่งอยู่ที่ตีนเขา
(บันทึกโดย อิมามอัลบุคอรีย์ และอิมามมุสลิม)
การที่ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม อิสรออ์จากมัสยิดอัลฮะรอมไปยังมัสยิดอัลอักซอ และได้พบกับบรรดานบีทั้งหลาย และท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้เป็นอิมามนำบรรดานบีเหล่านั้นละหมาด
แล้วต่อมาท่านได้ขึ้นไปยังฟากฟ้า และได้พบกับชาวฟ้าจากบรรดานบี และบรรดาร่อซูลทั้งหลายในทุกชั้น
ท่านได้ให้สลามกับท่านเหล่านั้น และท่านเหล่านั้นก็ตอบรับสลามท่านนบี และแสดงความชื่นชมกับท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม
และท่านได้ไปถึง “ซิดร่อตุ้ลมุนตะฮา” และสถานที่นี้ที่ได้ยินเสียงขีดเขียนของปากกาอย่างชัดเจน
และอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ได้ตรัสกับท่านตามที่พระองค์ทรงประสงค์ และท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้เทียวไปเทียวมาระหว่างอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา กับท่านนบีมูซาอยู่หลายรอบ เกี่ยวกับสิ่งที่อัลลอฮฺทรงกำหนดให้ อันได้แก่ "การละหมาด"
และสวรรค์ก็ได้ถูกนำมาให้ท่านนบีได้เห็นต่อหน้า และท่านก็ได้เข้าไป และนรกก็ได้ถูกนำมาให้ท่านเห็นต่อหน้า ดังนั้น ท่านจึงได้เห็นหลายสิ่งหลายอย่างในคืนเดียว (แค่เพียงบางส่วน)
ซึ่งเป็นอายาตอันยิ่งใหญ่ที่แสดงถึงเดชานุภาพของอัลลอฮฺ เป็นหลักฐานบ่งชี้ถึงการเป็นนบีที่แท้จริงของท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ดังที่อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ตรัสว่า
“แท้จริง เขา (มุฮัมมัด) ได้เห็นส่วนหนึ่งจากบรรดาสัญญาณอันยิ่งใหญ่แห่งพระเจ้าของเขา (อันแสดงถึงเดชานุภาพของพระองค์ เช่น สวรรค์ และนรก ฯลฯ เป็นต้น)”
(อันนัจม์ 53 : 18)
มีชายคนหนึ่งมาหาท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ขณะที่ท่านกำลังกล่าวคุฏบะฮฺวันศุกร์อยู่บนมิมบัร เขากล่าวว่า “จงขอต่ออัลลอฮฺให้ประทานน้ำฝนให้กับเราสิ”
ดังนั้น ท่านนบีจึงวิงวอนขอต่ออัลลอฮฺ จนกระทั่งมองเห็นก้อนเมฆมารวมตัวกันเป็นก้อนใหญ่ดุจดั่งภูเขา ไม่ทันที่ท่านนบีลงจากมิมบัร ฝนก็ตกลงมาเปียกเคราของท่าน ฝนตกอยู่เช่นนั้นตลอดสัปดาห์
จนกระทั่งในอีกวันศุกร์ต่อมา ชายคนนั้นได้เข้ามาอีก พลางกล่าวว่า จงขอต่ออัลลอฮฺให้ฝนหยุดตกได้แล้ว !
ดังนั้น ท่านนบีจึงขอดุอาอฺต่ออัลลอฮฺและใช้นิ้วชี้ไปที่ก้อนเมฆ ท่านนบีไม่ได้ชี้ไปที่ไหนดอก นอกจากเพื่อให้เปิดทางออก แล้วผู้คนก็ออกเดินตากแดด
และในพื้นพิภพ ผู้คนก็ได้พบเห็น ประจักษ์พยานอันมากมายแห่งการเป็นนบีของท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ส่วนหนึ่งก็คือ สิ่งที่ท่านญาบิร อิบนิ อับดิลลาฮฺ ร่อฎิยัลลอูอันฮุมา รายงานว่า
“ผู้คนต่างกระหายน้ำกันมากและที่มือของท่านนบีถือ “ริกวะฮ์” อยู่ (อัรริกวะฮฺ คือ ภาชนะใส่น้ำที่ทำมาจากหนังสัตว์) ผู้คนกำลังส่งเสียงร้องระงม
ท่านบีจึงถามว่า : พวกท่านเป็นอะไรกัน?
พวกเขากล่าวว่า : พวกเราไม่มีน้ำที่จะดื่ม และจะใช้อาบน้ำละหมาด นอกจากที่เห็นที่มือของท่านเท่านั้น
ดังนั้น ท่านนบีจึงเอามือจุ่มลงไปใน “อัรริกวะฮฺ” นั้น ทำให้มีน้ำไหลออกมาจากซอกนิ้วมือของท่านดุจดังตาน้ำ ดังนั้น พวกเราจึงได้ดื่มน้ำและได้อาบน้ำละหมาดกัน
มีผู้กล่าวกับท่านญาบิรว่า : พวกท่านมีจำนวนเท่าใดกัน?
ท่านญาบิรตอบว่า : พวกเรามีจำนวนหนึ่งพันห้าร้อยคน และหากว่า เรามีจำนวนถึงหนึ่งแสนคน น้ำนั้นก็คงพอ”
อนัส อิบนิ มาลิก ร่อฎิยัลลอฮุอันฮุ ได้มาหาท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ในฐานะเป็นตัวแทนกลุ่มหนึ่งของบรรดาซอฮาบะฮฺที่หิวโหย ดังนั้น อนัสจึงไปหาอบีฎอลละฮ์ ซึ่งเป็นสามีของมารดาของเขา แล้วบอกให้ทราบถึงสิ่งที่ได้พบเห็นมาจากท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม
ดังนั้น อบูฎอลละฮ์จึงพูดกับอุมมุสลีม ซึ่งเป็นภรรยาของเขาว่า มีอะไรบ้างหรือเปล่า?
นางตอบว่า “มี” และได้ฉีกขนมปังและอินทผลัมออกเป็นชิ้นๆ และพูดว่า หากท่านร่อซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม มาคนเดียว เราก็ให้ท่านได้กินจนอิ่ม และหากมีคนมากับท่านด้วย ก็จงบอกให้ทราบด้วย
ท่านอนัสกล่าวว่า ดังนั้น ฉันจึงไปหาท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม แล้วท่านก็มองมาที่ฉัน ฉันจึงพูดว่า อบูฎอลละฮ์ ตอบรับท่านแล้ว ตอบรับท่านแล้ว
ดังนั้น ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม จึงพูดกับบรรดาผู้ที่อยู่กับท่านว่า ท่านทั้งหลายลุกขึ้นเถิด อบูฎอลละฮ์ เปิดประตูบ้านรอพวกท่านอยู่แล้ว ดังนั้น อบูฎอลละฮฺ จึงกล่าวว่า โอ้ ท่านร่อซูลุลลอฮฺ เป็นของเล็กๆ น้อย ๆ เท่านั้น ดังนั้น
ท่านนบีจึงกล่าวว่า ให้นำมาสิ เพราะอัลลอฮฺจะประทานความจำเริญ (บะรอกะฮฺ) ให้ ต่อมาท่านก็สั่งให้นำเนยมา และเทลงในภาชนะ และท่านได้ขอดุอาอฺ แล้วกล่าวว่า ให้ถึง 10 คน
แล้วท่านก็กล่าวว่า พวกท่านจงกินและจงกล่าวพระนามของอัลลอฮฺ แล้วพวกเขาก็ทยอยกันเข้ามาทีละ 10 คน ๆ รวมทั้งสิ้น แล้วถึง 80 คน จนกระทั่งอิ่มแปล้กันทุกคน แล้วท่านร่อซูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม และเจ้าของบ้านก็กินจนกระทั่งอิ่ม และยังมีเหลือให้เพื่อนบ้านอีกด้วย
ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม เคยยืนคุฏบะฮฺวันศุกร์บนท่อน (ลำต้น) อินทผลัมในมัสยิด รั้นเมื่อมิมบัรสร้างเสร็จ ท่านก็ยืนคุฏบะฮฺบนมิมบัรเป็นศุกร์แรก แทนที่จะยืนบนท่อน (ลำต้น) อินผลัม ทันใดนั้น ท่านก็ได้ยินเสียงร้องครวญครางคล้ายเสียงของอูฐตัวเมียที่กำลังมีท้องดังลอดมาจากท่อนอินทผลัมนั้น และไม่ยอมหยุด จนกระทั่งท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม เอามืออันประเสริฐของท่านวางลงบนท่อนอินทผลัมนั้น มันจึงหยุดเสียงเงียบลง
ส่วนหนึ่งจากสัญญาณแห่งการเป็นท่านร่อซูลของท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ก็คือ การที่ท่านได้รับข่าวคราวเกี่ยวกับเรื่องเร้นลับต่างๆ ซึ่งเป็นจริงตามที่ท่านได้รับแจ้งมา เสมือนกับว่าท่านได้พบเห็นมาด้วยกับตาของท่านเอง ดังคำพูดของท่านที่ว่า
“ในช่วงยุคสุดท้าย จะมีคนกลุ่มหนึ่งมาพูดจาแคล่วคล่อง ฝันเฟื่อง พูดจาไพเราะ อ่อนหวาน พวกเขาจะแตกแยกตัวออกไปจากอิสลาม เสมือนกับลูกธนูที่พุ่งออกไปจากแล่ง(คัน)ธนู การอีมานของพวกเขาติดอยู่แค่ลูกกระเดือกของพวกเขาเท่านั้น”
(บันทึกโดย อิมามอบูดาวูด)
และท่านร่อซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ยังกล่าวอีกว่า
“ยังคงมีกลุ่มหนึ่งจากประชาชาติของฉัน ที่ยืนหยัดอยู่กับคำบัญชาของอัลลอฮฺ และผู้ที่ละทิ้งหรือหักหลังเขา และผู้ที่ไม่เห็นด้วยกับเขานั้น ไม่สามารถจะทำอันตรายหรือให้โทษใดๆ กับพวกเขาได้ จนกระทั่งพระบัญชาแห่งอัลลอฮฺจะมายังพวกเขาอยู่ในสภาพดังกล่าว”
(บันทึกโดย อิมามมุสลิม)
อัลฮัมดุลิลลาฮฺ ที่ประชาชาติอิสลามนี้ยังคงมีสภาพที่ยืนหยัดมั่นคงต่อคำบัญชาของอัลลอฮฺเช่นนี้อยู่ ผู้ที่ทิ้งพวกเขาและผู้ที่ขัดแย้งไม่เห็นด้วยกับพวกเขาได้ แม้ว่าพวกศัตรูจะทำสงครามสู้รบกับศาสนาอิสลามมามากมายแค่ไหนจนนับครั้งไม่ถ้วน ตั้งแต่ในสมัยท่านนบี ศ็อลลัลลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม (คือ จากพวกยิว พวกคริสต์ และพวกกุ๊ฟฟาร) ก็ตาม
มีรายงานจากอนัส อิบนิ มาลิก ร่อฎิยัลลอฮุอันฮุ แจ้งว่า มีชายชาวคริสต์คนหนึ่งเข้ารับอิสลามแล้วเขาก็อ่านซูเราะฮฺอัลบะกอเราะฮฺ และซูเราะฮฺอาละอิมรอน ที่เขาเป็นผู้บันทึก (เขียน) ให้กับท่านนบีแล้วเขาก็กลับไปเป็นคริสต์อีก
แล้วเขาก็กล่าวว่า “ไม่รู้จักมุฮัมมัด นอกจากสิ่งที่ฉันเขียนให้เขาเท่านั้น”
แล้วอัลลอฮฺจึงทรงให้เขาตายไป แล้วเขาก็ถูกนำไปฝัง ครั้นพอรุ่งเช้าก็มีเสียง (พูด) ออกมาจากพื้นดินว่า
พวกเขากล่าวว่า “นี่คือ การกระทำของมุฮัมมัดและซอฮาบะฮฺของเขา อันเนื่องมาจากการหนีมาจากพวกเขา”
แล้วเขาก็ถูกขุดคุ้ยศพขึ้นมาและถูกจับโยนออกไป ดังนั้น พวกเขาจึงขุดหลุมใหม่ให้ลึกกว่าเก่า แล้วฝังศพนั้น พอตอนเช้าก็มีเสียงมาจากแผ่นดินอีกว่า “นี่เป็นการกระทำของมุฮัมมัดและซอฮาบะฮฺของเขา เมื่อเขาได้หนีไปจากพวกเขา”
พวกเขาจึงถูกขุดคุ้ยหลุมฝังศพและถูกโยนออกมา ดังนั้น พวกเขาจึงขุดหลุมฝังเขาอีกให้ลึกยิ่งกว่าเก่าเท่าที่จะสามารถ พอรุ่งเช้าก็มีเสียงจากแผ่นดินอีกดังเดิม ดังนั้น พวกเขาจึงรู้ว่า ที่จริงแล้ว เขา (ชายคนนั้น) มิใช่มนุษย์
ดังนั้น พวกเขาจึงโยนเขาทิ้งไป โดยไม่มีใครแยแส และนี่คือสิ่งที่อัลลอฮฺทรงให้เป็นชัยชนะเหนือบรรดาศัตรูของพระองค์ และทำให้ผู้คนได้เห็นสัญญาณของพระองค์ในหมู่พวกเขา จนกระทั่ง ความจริงเป็นที่ประจักษ์แก่พวกเขา
ผู้เป็นบ่าวของอัลลอฮฺทั้งหลาย จงเกรงกลัวอัลลอฮฺเถิด จงมั่นใจในสัญญาของอัลลอฮฺ หากพวกท่านเป็นผู้ที่สัตย์จริง และพวกท่านทั้งหลายอย่าได้สิ้นหวังในความเมตตาของอัลลอฮฺเลย
อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ตรัสว่า
“แท้จริง ไม่มีผู้ใดสิ้นหวังในความเมตตาของอัลลอฮฺ นอกจากกลุ่มชนที่ปฏิเสธศรัทธาเท่านั้น”
(ยูซุฟ 12 : 87)
ที่มา : วารสารสายสัมพันธ์