สถานะสตรีในอิสลาม
แปลเรียบเรียง อ.อาบีดีน พัสดุ
เราได้กล่าวถึงสิ่งที่ศัตรูของศาสนานี้ปารถนา เล่ห์เหลี่ยมที่พวกเขามีต่ออิสลามและบรรดามุสลิม และ เมื่อพวกเขาหมดความสามารถที่จะทำลายอิสลามด้วยกับอาวุธยุทโธปกรณ์ , พวกเขาจึงเลือกทำสงครามต่อความคิดขนบธรรมเนียมและประเพณี สร้างภาพลักษณ์อันเสื่อมเสียเผยแพร่ให้แก่ผู้ที่ไม่ใช่มุสลิม และสร้างความคลางแคลงแก่บรรดามุสลิมในแนวทางแห่งศาสนาของพวกเขา
เราได้กล่าวมาแล้วว่า สิ่งสำคัญที่พวกเขาพยายามใช้ในการโจมตีบรรดามุสลิมคือ สตรี , พยายามตีแผ่และเผยแพร่คำกล่าวเท็จและข้อเคลือบแคลง เกี่ยวกับฐานะของสตรีในอิสลาม ความเท็จที่สำคัญซึ่งพวกเขาพยายามเผยแพร่ในหมู่มุสลิม คืออิสลามได้อธรรมต่อสตรีและให้นางอยู่ในฐานะที่ต่ำต้อย
เราจะได้หยุดอยู่ ณ ข้อกล่าวหาอันเป็นเท็จและคำกล่าวอันเลวร้ายนี้ เพื่อที่เราจะได้ชี้แจงถึงความเท็จของมัน และเพื่อที่จะตอบโต้ต่อผู้ที่กล่าวและพยายามเผยแพร่สิ่งเหล่านี้ ซึ่งพวกเขาคือศัตรูของอัลลอฮฺและร่อซู้ลของพระองค์ โดยเป็นการตอบโต้แบบสรุปในเบื้องต้น , หลังจากนั้นจะตอบโต้อย่างละเอียด ด้วยความช่วยเหลือของอัลลอฮฺ
ประการแรก พวกเขากล่าวว่าอิสลามได้อธรรมต่อสตรี และให้นางอยู่ในฐานะที่ต่ำต้อย . ดังนั้นเราจะได้พูด เพื่อเป็นการเตือนให้ระมัดระวัง เนื่องจากคำกล่าวเช่นนี้ถือเป็น กุฟรฺ จึงจำเป็นจะต้องระวัง , เพราะอิสลามคือแนวทางแห่งอัลลอฮฺ , พระองค์ประทานแนวทางและบทบัญญัติลงมาแก่พวกเรา
อัลลอฮฺ ตรัสว่า
ٱلْيَوْمَ أَكْمَلْتُ لَكُمْ دِينَكُمْ وَأَتْمَمْتُ عَلَيْكُمْ نِعْمَتِى وَرَضِيتُ لَكُمُ ٱلأسْلاَمَ دِيناً [المائدة:3].
“วันนี้ข้าได้ให้สมบูรณ์แก่พวกเจ้าแล้วซึ่งศาสนาของพวกเจ้า และข้าได้ให้ครบถ้วนแก่พวกเจ้าแล้วซึ่งความกรุณาเมตตาของข้า และข้าได้เลือกอิสลามให้เป็นศาสนาแก่พวกเจ้าแล้ว”
และจากตรงนี้เอง เราจึงกล่าวว่า ใครก็ตามที่กล่าวว่าอิสลามอธรรมต่อสตรี หรือให้นางอยู่ในฐานะที่ต่ำต้อย แท้จริงเท่ากับเขาได้กล่าวว่า อัลลอฮฺทรงอธรรมต่อสตรีและให้นางอยู่ในฐานะต่ำต้อย , อัลลอฮฺทรงสูงส่งเหนือสิ่งที่บรรดาพวกโฉดเขลาพวกอธรรมได้กล่าวร้าย อัลลอฮฺ ตรัสว่า
وَلاَ يَظْلِمُ رَبُّكَ أَحَدًا [الكهف:49]
“และพระผู้เป็นเจ้าของเจ้ามิทรงอธรรมต่อผู้ใดเลย”
إِنَّ ٱللَّهَ لاَ يَظْلِمُ مِثْقَالَ ذَرَّةٍ [النساء:40]
“แท้จริงอัลลอฮฺจะไม่ทรงอธรรมแม้เพียงนำหนักเท่าผงธุลี”
إِنَّ ٱللَّهَ لاَ يَظْلِمُ ٱلنَّاسَ شَيْئًا [يونس:44]
“แท้จริงอัลลอฮฺนั้นจะไม่ทรงอธรรมต่อมนุษย์แต่อย่างใด”
เพราะฉะนั้น คำกล่าวว่าอัลลอฮฺทรงอธรรมต่อสตรี หลังจากโองการเหล่านี้ คือการปฏิเสธต่ออัลกุรอ่าน และการปฏิเสธอัลกุรอ่านถือเป็นกุฟรฺ . นี่คือการตอบโต้แบบสรุปๆ ที่มุสลิมทุกคนจำเป็นจะต้องเข้าใจและตระหนัก และทำให้ผู้คนทั้งหลายมีความเข้าใจ นั่นคือ การที่พวกเราต่างเชื่อมั่นและศรัทธาว่าอัลลอฮฺมิทรงอธรรมต่อผู้ใด
หลังจากนั้น พี่น้องผู้ศรัทธาที่ให้เอกภาพต่ออัลลอฮฺ เรามาพิจรณาสภาพการณ์ของสตรีก่อนอิสลาม และสถานะของนางหลังจากที่อิสลามได้มาแล้ว เพื่อจะได้เห็นว่าอิสลามอธรรมต่อสตรีและทำให้นางอยู่ในฐานะที่ต่ำต้อยหรือไม่ ? และนี่คือการตอบโต้ในรายละเอียด
ชาวอาหรับในยุคแห่งความไม่รู้ ก่อนการมาถึงของอิสลาม พวกเขามองว่า สตรีคือสิ่งของชิ้นหนึ่งที่พวกเขาครอบครอง เช่นเดียวกับทรัพย์สิน ปศุสัตว์ โดยที่พวกเขาจะกระทำกับนางตามแต่ที่พวกเขาประสงค์และต้องการ . ชนอาหรับจะไม่ให้มรดกแก่สตรี และพวกเขาเห็นว่านางไม่มีสิทธิในกองมรดก พวกเขาต่างกล่าวว่า พวกเราจะไม่ให้มรดกนอกจากผู้ที่จับดาบ และปกป้องทรัพย์สิน ในทำนองเดียวกัน สตรีจะไม่ได้รับสิทธิใดๆจากสามีของนาง , การหย่าร้างจะไม่มีจำนวนที่จำกัด , การมีภรรยาหลายคนที่ไม่มีจำนวนแน่นอน
สำหรับชนอาหรับ เมื่อชายคนหนึ่งเสียชีวิตและเขามีภรรยา และมีลูกที่กำเนิดกับหญิงอื่นจากนาง ลูกคนโตจะมีสิทธิในตัวภรรยาของพ่อ และจะถือว่านางเป็นทรัพย์ที่ถูกทิ้งไว้เช่นเดียวกับทรัพย์อื่นๆของพ่อ
จากท่านอิบนุอับบาส กล่าวว่า “ชายคนหนึ่ง เมื่อพ่อของเขา หรือพ่อของภรรยาสิ้นชีวิตลง , เขาจะมีสิทธิในภรรยาของพ่อ หากเขาประสงค์ที่จะคงนางไว้ หรือหน่วงเหนี่ยวนางไว้จนกว่านางจะไถ่ตัวเองด้วยสินสอดของนาง หรือ จนกว่านางจะเสียชีวิต แล้วเขาก็จะยึดเอาทรัพย์ของนาง”
ระยะเวลาการไว้ทุกข์ของสตรี เมื่อสามีของนางเสียชีวิต คือระยะเวลาหนึ่งปีเต็ม และสตรีจะไว้ทุกข์แก่สามีของนางในสภาพที่น่าเวทนาและน่ารังเกียจอย่างที่สุด , นางจะสวมใส่เสื้อผ้าที่น่าเกลียดที่สุดและอาศัยอยู่ในห้องที่ทรุดโทรม , จะไม่สวมใส่เครื่องประดับ น้ำหอม และจะไม่ทำความสะอาด , จะไม่ใช้น้ำ , ไม่ตัดเล็บ , ไม่ตัดผม , และจะไม่เผยตัวแก่ผู้คนในสังคม , และเมื่อสิ้นสุดระยะเวลาหนึ่งปีเต็มแล้ว นางก็จะออกมาในสภาพที่น่าเกลียดและกลิ่นเหม็นอย่างที่สุด
ชาวอาหรับมีรูปแบบต่างๆในการแต่งงานที่เสื่อมเสีย การที่บรรดาชายกลุ่มหนึ่งมีความสัมพันธ์ทางเพศกับสตรีเพียงหนึ่งคนในคราวเดียว แล้วให้นางมีสิทธิ์ที่จะให้ลูกของนางที่เกิดมาเป็นลูกของใครก็ได้จากพวกเขา ตามแต่นางจะประสงค์ นางจะกล่าวว่า เมื่อนางคลอดทารกออกมา ทารกจะเป็นลูกของคุณคนนี้ ทารกคนที่จะเกิดมานี้ก็จะถือว่าเป็นลูกของเขา
มีการแต่งงาน อิสติบฏออฺ คือการที่ชายคนหนึ่งส่งภรรยาของเขาให้แก่ชายที่อาวุโสของเผ่า เพื่อที่จะได้มีลูกที่เกิดกับเขา และเด็กที่เกิดมาก็จะได้รับฐานะเดียวกันกับชายอาวุโสในเผ่าของเขา
การนิกาฮฺ มุตอะฮฺ นั่นคือการ นิกาฮฺชั่วคราว
การนิกาฮฺ ชิฆอร คือการที่ชายคนหนึ่งทำการนิกาฮฺ ลูกสาว หรือ พี่สาวน้องสาว หรือ ทาสหญิงของเขา ให้แก่ชายคนหนึ่ง โดยที่ชายคนดังกล่าวจะต้องแต่งงานเขากับทาสหญิงของเขาโดยไม่มีสินสอด , ที่เป็นเช่นนี้ เพราะพวกเขาถือว่าสตรีเป็นสิ่งที่พวกเขาครอบครอง เหมือนกับที่พวกเขาครอบครองสินค้า
ดังที่ชนอาหรับเกลียดลูกสาว พวกเขาทำการฝังนางทั้งเป็น เนื่องจากกลัวความอับอายดังที่พวกเขากล่าวอ้าง อัลลอฮฺทรงตำหนิและรังเกียจการกระทำของพวกเขา พระองค์ตรัสว่า
وَإِذَا ٱلْمَوْءودَةُ سُئِلَتْ بِأَىّ ذَنبٍ قُتِلَتْ [التكوير:8-9]
“และเมื่อทารกหญิงที่ถูกฝังทั้งเป็นถูกถาม ด้วยความผิดอันใดเขาจึงถูกฆ่า”
ดังที่กล่าวมาคือสถานะของสตรีในหมู่ชนอาหรับ ยุคญาฮิลียะฮฺ ก่อนการมาของอิสลาม และสถานะของนางในหมู่ชนอื่นจากอาหรับก็มิได้แตกต่างไปกว่านี้ . เช่นชาวยิว เมื่อภรรยามีประจำเดือน พวกเขาจะไม่กินดื่มร่วมกับนาง ไม่นั่งร่วมกับนาง และให้มีกระโจมอยู่กลางบ้านสำหรับนาง , ประหนึ่งว่านางคือสิ่งสกปรกหรือสิ่งที่น่ารังเกียจ เช่นเดียวกันกับสถานะของนางในกลุ่มชนอื่นๆ
เมื่ออิสลามได้มาถึง และอัลกุรอ่านได้ถูกประทานลงมา อัลลอฮฺทรงยกฐานะของสตรี ให้เกียรติและให้ความสำคัญแก่นาง
ผู้นำแห่งบรรดาผู้ศรัทธา อุมัร บิน อัลค็อฏฏ็อบ กล่าวว่า “เมื่อครั้งที่พวกเราอยู่ในยุคญาฮิลียะฮฺ เราไม่ได้ให้ความสำคัญต่อสตรีแต่อย่างใด , เมื่ออิสลามได้มาถึง อัลลอฮฺทรงกล่าวถึงพวกนาง พวกเราจึงเห็นว่านางมีสิทธิเหนือพวกเราด้วยกับโองการเหล่านั้น”
จงพิจารณาเถิด บ่าวของอัลลอฮฺ เมื่ออิสลามได้มาถึง อิสลามมิได้ถือว่าสตรีเป็นที่น่ารังเกียจ หรือต่ำต้อย ดังที่เคยเกิดขึ้นในสมัยญาฮิลียะฮฺ , ทว่าอิสลามได้ยอมรับในข้อเท็จจริง อันเป็นการขจัดความต่ำต้อยออกจากนาง นั่นคือการที่สตรีเป็นหุ้นส่วนกับบุรุษเพศ , นางมีสิทธิต่างๆที่จะต้องได้รับจากสามี และนางก็มีภาระหน้าที่อันเหมาะสมกับสภาพการณ์และธรรมชาติของนาง และชายคือผู้ที่ช่วยเหลือนาง ดูแลรักษาและปกป้องคุ้มครองด้วยเลือดเนื้อของเขา และให้ปัจจัยต่างๆ จากสิ่งที่เขาหามาได้
จากภาพแห่งการให้เกียรติสตรีในอิสลาม คือทำให้นางมีสถานะเท่าเทียมกับชายในภาระหน้าที่ที่จำเป็นต้องปฏิบัติในหลักการศาสนา , และยืนยันถึงสิทธิของนางในการทำธุรกรรมต่างๆ รวมถึงการเขาถึงสิทธิอันชอบธรรมในรูปแบบต่างๆ , เช่นสิทธิในการซื้อขาย การครอบครอง และสิทธิอื่นๆ
และแท้จริงอัลลอฮฺทรงให้เกียรติสตรี ขณะที่พระองค์ทรงแจ้งว่า พระองค์ทรงบังเกิดเรามาจากเพศชายและหญิง , และทรงทำให้ตราชั่งแห่งความเหลื่อมล้ำในระหว่างพวกเราคือการยำเกรงต่อพระองค์
อัลลอฮฺตรัสว่า
يٰأَيُّهَا ٱلنَّاسُ إِنَّا خَلَقْنَـٰكُم مّن ذَكَرٍ وَأُنْثَىٰ وَجَعَلْنَـٰكُمْ شُعُوباً وَقَبَائِلَ لِتَعَـٰرَفُواْ إِنَّ أَكْرَمَكُمْ عَندَ ٱللَّهِ أَتْقَـٰكُمْ إِنَّ ٱللَّهَ عَلِيمٌ خَبِيرٌ [الحجرات:13]
“โอ้มนุษยชาติทั้งหลาย แท้จริงเราได้สร้างพวกเจ้าจากเพศชาย และเพศหญิง และเราได้ให้พวกเจ้าแยกเป็นเผ่า และตระกูลเพื่อจะได้รู้จักกัน
แท้จริงผู้ที่มีเกียรติยิ่งในหมู่พวกเจ้า ณ ที่อัลลอฮฺนั้น คือผู้ที่มีความยำเกรงยิ่งในหมู่พวกเจ้า แท้จริงอัลลอฮฺนั้นเป็นผู้ทรงรอบรู้อย่างละเอียดถี่ถ้วน”
และดังที่อัลลอฮฺทรงกล่าวถึงสตรีพร้อมกับบุรุษ พระองค์ ตรัสว่า
إِنَّ ٱلْمُسْلِمِينَ وَٱلْمُسْلِمَـٰتِ وَٱلْمُؤْمِنِينَ وَٱلْمُؤْمِنَـٰتِ وَٱلْقَـٰنِتِينَ وَٱلْقَـٰنِتَـٰتِ وَٱلصَّـٰدِقِينَ وَٱلصَّـٰدِقَـٰتِ وَٱلصَّـٰبِرِينَ وَٱلصَّـٰبِرٰتِ وَٱلْخَـٰشِعِينَ وَٱلْخَـٰشِعَـٰتِ وَٱلْمُتَصَدّقِينَ وَٱلْمُتَصَدّقَـٰتِ وٱلصَّـٰئِمِينَ وٱلصَّـٰئِمَـٰتِ وَٱلْحَـٰفِظِينَ فُرُوجَهُمْ وَٱلْحَـٰفِـظَـٰتِ وَٱلذكِـرِينَ ٱللَّهَ كَثِيراً وَٱلذكِرٰتِ أَعَدَّ ٱللَّهُ لَهُم مَّغْفِرَةً وَأَجْراً عَظِيماً [الأحزاب:35]
“แท้จริง บรรดาผู้นอบน้อมชายและหญิง บรรดาผู้ศรัทธาชายและหญิง บรรดาผู้ภักดีชายและหญิง
บรรดาผู้สัตย์จริงชายและหญิง บรรดาผู้อดทนชายและหญิง บรรดาผู้ถ่อมตัวชายและหญิง
บรรดาผู้บริจาคทานชายและหญิง บรรดาผู้ถือศีลอดชายและหญิง
บรรดาผู้รักษาอวัยวะเพศของพวกเขาที่เป็นชายและหญิง
บรรดาผู้รำลึกถึงอัลลอฮฺอย่างมากที่เป็นชายและหญิงนั้น อัลลอฮฺได้ทรงเตรียมไว้สำหรับพวกเขาแล้ว
ซึ่งการอภัยโทษและรางวัลอันใหญ่หลวง”
จากภาพแห่งการที่อิสลามให้เกียรติสตรี คือการเอาใจใส่ต่อเรื่องราวของนาง , และเตือนถึงเรื่องราวของนางในอัลกุรอ่านและฮาดีษต่างๆ , แท้จริงอัลลอฮฺทรงประทานซูเราะฮฺที่สมบูรณ์ จากซูเราะฮฺในหมวดที่มีความยาว ด้วยชื่อ สตรี (นั่นคือซูเราะฮฺ อันนิซาอฺ) ซูเราะฮฺได้กล่าวถึงเรื่องราวต่างๆที่สำคัญซึ่งเกี่ยวข้องกับสตรี ครอบครัว ประเทศชาติ และสังคม
เช่นเดียวกัน จากภาพแห่งการให้เกียรติสตรี คือการให้เกียรติมารดา แท้จริงอิสลามได้ให้ความสำคัญต่อเรื่องราวของมารดา อัลลอฮฺ ตรัสว่า
وَٱعْبُدُواْ ٱللَّهَ وَلاَ تُشْرِكُواْ بِهِ شَيْئاً وَبِٱلْوٰلِدَيْنِ إِحْسَـٰناً [النساء:36].
“และจงเคารพสักการะอัลลอฮฺเถิด และอย่าให้มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดเป็นภาคีกับพระองค์ และจงทำดีต่อผู้บังเกิดเกล้าทั้งสอง”
อัลลอฮฺ ตรัสว่า
وقال تعالى: وَقَضَىٰ رَبُّكَ أَلاَّ تَعْبُدُواْ إِلاَّ إِيَّـٰهُ وَبِٱلْوٰلِدَيْنِ إِحْسَـٰناً [الإسراء:23].
“และพระเจ้าของเจ้าบัญชาว่า พวกเจ้าอย่าเคารพภักดีผู้ใดนอกจากพระองค์เท่านั้น และจงทำดีต่อบิดามารดา”
ท่านร่อซู้ล ได้ถูกถามถึงผู้ที่ควรทำดีต่อเขามากที่สุด ?
ท่านนบี กล่าวว่า"มารดาของท่าน"
เศาะหาบะฮฺผู้นั้นได้ถามต่อว่าหลังจากนั้นล่ะ ?
ท่าน ตอบอีกว่า "มารดาของท่าน"
เขาถามต่ออีกว่า หลังจากนั้นเป็นผู้ใด ?
ท่านนบี ตอบว่า "มารดาของท่าน"
เศาะหาบะฮฺผู้นั้นยังไม่หยุดถามว่า หลังจากนั้นเป็นใครอีก?
ท่านนบี กล่าวว่า คือ "บิดาของท่าน"
จากภาพแห่งการที่อิสลามได้ให้เกียรติแก่สตรี คือการที่อิสลามได้ให้ความสำคัญต่อสิทธิของบรรดาภรรยา , นั่นคือคำกล่าวของท่านนบี การคุฏบะฮฺของท่าน ในการทำฮัจญ์อำลา
((فاتقوا الله في النساء، فإنكم أخذتموهن بأمان الله واستحللتم فروجهن بكلمة الله)).
“พวกท่านทั้งหลายจงยำเกรงอัลลอฮฺเกี่ยวกับสตรี แท้จริงพวกท่านได้มีสัมพันธ์กับพวกนางด้วยกับการคุ้มครองของอัลลอฮฺ และการมีเพศสัมพันธ์กับพวกนางเป็นสิ่งที่อนุมัติ อันเนื่องจากดำรัสของอัลลอฮฺ”
รวมถึงการให้อิสระแก่นางในการเลือกคู่ครอง ด้วยกับหลักเกณฑ์แห่งบัญญัติศาสนา
จากท่านหญิง อาอิชะฮฺ เล่าว่า ฉันได้ถามท่านร่อซูลุ้ลลอฮฺ ถึงหญิงสาวที่ผู้ปกครองของนางได้จัดการแต่งงานให้นาง
((نعم تستأمر، قالت فقلت له: إنها تستحي فقال صلى الله عليه وسلم: فذلك إذنها إذا هي سكتت)).
การจัดการแต่งงานให้นางนั้น จะต้องได้รับการอนุญาติจากนางก่อนหรือไม่ ?
ท่านนบี กล่าวว่า “ใช่แล้ว จะต้องมีการขออนุญาตจากนางก่อน”
ท่านหญิงอาอิชะฮฺ กล่าวว่า ฉันได้กล่าวแก่ท่านนบีว่า “นางย่อมที่จะเขินอาย”
ท่านร่อซู้ล กล่าวว่า “การอนุญาตของนางก็คือเมื่อนางนิ่งเงียบ”
จากภาพแห่งการให้เกียรติสตรีในอิสลาม คือการที่อิสลามได้ส่งเสริมการอบรมเลี้ยงดูบรรดาลูกสาว และเตรียมรางวัลอันยิ่งใหญ่สำหรับผู้ที่กระทำ ท่านร่อซู้ล กล่าวว่า
((من عال جاريتين حتى تبلغا جاء يوم القيامة أنا وهو، وضم أصابعه)) [رواه مسلم].
"ผู้ใดเลี้ยงดูบุตรสาวสองคนจนเติบใหญ่ เขาจะมาในวันกิยามะฮฺโดยที่ฉันกับเขา (แล้วท่านก็รวมนิ้วของท่าน)จะได้อยู่ใกล้กัน"
โดยไม่พบฮาดีษที่ได้มีรายงานมาในลักษณะเช่นนี้ เกี่ยวกับการให้การอบรมเลี้ยงดูบรรดาลูกชาย
บ่าวของอัลลอฮฺทั้งหลาย หากพวกเราต้องการที่จะค้นคว้าเกี่ยวกับภาพแห่งการให้เกียรติต่อสตรีในอิสลาม คงเป็นเรื่องทีต้องใช้เวลายาวนาน , ทว่าสิ่งที่ได้กล่าวมาแล้วก็คงเพียงพอ และหวังว่าใครที่ต้องการข้อมูลหลักฐานที่มากกว่านี้ ก็จะต้องกลับไปศึกษาในตำรามากมายที่ประพันธ์ถึงเรื่องราวเหล่านี้ เพื่อที่จะได้เห็นด้วยสายตาของเขาอย่างประจักษ์แจ้งถึงความกว้างใหญ่ของการให้เกียรติ ซึ่งที่สตรีได้รับในอิสลาม
และจากตรงนี้เอง พี่น้องทั้งหลาย จำเป็นจะต้องใคร่ครวญ ถึงการที่วันนี้เป็นที่น่าเสียใจที่พวกเราตกอยู่ในสภาพของผู้ที่ปกป้อง , ปกป้องศาสนาของพวกเรา เราต้องการที่จะปกป้องอิสลามให้พ้นจากข้อกล่าวหาที่ศัตรูของอิสลามได้กล่าวหาต่ออิสลาม
ขอสาบานต่ออัลลอฮฺ นี่คือความอ่อนแอ และความตกต่ำ ที่เกิดกับประชาชาติ อันเนื่องจากการละทิ้งสิ่งที่อัลลอฮฺทรงสั่งใช้ และนั่นก็คือการเรียกร้องเชิญชวนสู่อัลลอฮฺ และหากว่าเรายืนหยัดต่อความจำเป็นของการเชิญชวนสู่อัลลอฮฺ เราทำการต่อสู้กับบรรดาผู้ปฏิเสธเหล่านั้นในที่ตั้งของพวกเขา ด้วยการดะวะอฺ และการแจกแจงถึงความสวยงามของศาสนาเรา
เช่นเดียวกัน เรายืนหยัดในการระบุถึงความเหลวไหลในแนวทางของพวกเขาที่พวกเขาได้ยึดถือปฏิบัติ ว่าพวกเขาได้อธรรมต่อสตรี ต่อบุรุษ และเด็กๆ อย่างไรในวิถีปฏิบัติของพวกเขา หากเรายืนหยัด พี่น้องผู้มีอีหม่านทั้งหลาย ในสิ่งเหล่านี้แล้วละก็ เราคงไม่จำเป็นที่จะต้องปกป้องศาสนาของพวกเรา เพราะเราเป็นกลุ่มชนที่อยู่บนสัจธรรมความจริง และผู้ที่อยู่บนความจริงนั้นย่อมแข็งแกร่งด้วยความจริง ทว่า พวกเราในวันนี้ มีความจำเป็นที่จะต้องปรับปรุงตัวและจิตใจของพวกเรา ก่อนที่เราจะลุกขึ้นปรับปรุงภายนอก
والله المستعان.
คุตบะห์วันศุกร์