จงระวังตัวจากการเป็นผู้ฝ่าฝืน
คอเฏ็บ อับดุลสลาม เพชรทองคำ
ท่านพี่น้องผู้ศรัทธาทั้งหลาย อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาทรงสั่งใช้เราให้มีอัตตักวา คือมีความยำเกรงต่อพระองค์เพียงองค์เดียวเท่านั้น ดังนั้น เราจึงต้องสร้างความยำเกรงต่อพระองค์ให้เกิดขึ้นในหัวใจของเราให้ได้ โดยการศึกษา แสวงหาความรู้ในเรื่องราวของบทบัญญัติศาสนา พยายามทำความเข้าใจ และนำมาสู่การปฏิบัติ ด้วยการปฏิบัติตามคำสั่งใช้ของอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา โดยพยายามทำให้สุดกำลังความสามารถของเรา และในขณะเดียวกัน ก็ต้องออกห่างจากคำสั่งห้ามของพระองค์โดยสิ้นเชิง พร้อมกันนั้นก็ต้องปฏิบัติอิบาดะฮฺให้อยู่ในแบบฉบับของท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมด้วย
ท่านพี่น้องผู้ศรัทธาทั้งหลาย ในอัลกุรอานซูเราะฮฺอันนัมล์ อายะฮฺที่ 69 อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาตรัสว่า
قُلْ سِيرُوا فِي الْأَرْضِ فَانظُرُوا كَيْفَ كَانَ عَاقِبَةُ الْمُجْرِمِينَ
“(มุฮัมมัด)จงประกาศออกไปเถิดว่า ท่านทั้งหลาย จงเดินทางไปบนหน้าแผ่นดิน แล้วมองดู... แล้วพินิจพิจารณาดูสิว่า จุดจบของผู้กระทำความผิดนั้น เป็นอย่างไร ? ”
อายะฮฺนี้ เป็นอีกอายะฮฺหนึ่ง ที่ไม่ได้ว่าด้วยเรื่องของการส่งเสริมการเดินทางท่องเที่ยว ไม่ใช่ว่า เป็นอายะฮฺที่มาสนับสนุนให้เราเดินทางท่องเที่ยวเพื่อพักผ่อนหย่อนใจ เพื่อคลายเครียด แต่เป้าหมายของอายะฮฺนี้ ให้เราเดินทางออกไป เพื่อที่จะได้มองเห็น แล้วก็พิจารณาไตร่ตรองในสิ่งที่เราพบเห็นว่า จุดจบของผู้กระทำความผิดที่พวกเขาดื้อดึงต่อคำสั่งของอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ที่พวกเขาชอบฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติของอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลานั้น พวกเขามีจุดจบในชีวิตเป็นอย่างไร ? ถูกอะซาบ ถูกลงโทษอย่างไร ?
อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาได้ทรงเล่าถึงกลุ่มชนบางกลุ่มในอดีตที่พวกเขาถูกลงโทษจากพระองค์ เพื่อเป็นตัวอย่าง เป็นอุทาหรณ์ เป็นข้อตักเตือนให้แก่ตัวเรา เพื่อให้เราได้ระมัดระวังตัวเรา ไม่ให้ไปใช้ชีวิตแบบพวกเขา ในซูเราะฮฺอัรรูม อายะฮฺที่ 9 พระองค์ตรัสว่า
أَوَلَمْ يَسِيرُوا فِي الْأَرْضِ فَيَنظُرُوا كَيْفَ كَانَ عَاقِبَةُ الَّذِينَ مِن قَبْلِهِمْ ۚ
อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาทรงให้ท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ประกาศออกไป บอกให้พวกกุฟฟาร พวกมุชริกีน พวกญาฮิลียะฮฺในสมัยของท่านนบี ถามพวกเขาว่า
“พวกเขาไม่ได้เดินทางไปบนหน้าแผ่นดินหรอกหรือ ... แล้วก็มองดู แล้วพินิจพิจารณาดูว่า บั้นปลายของประชาชาติในยุคก่อนหน้าพวกเขานั้นเป็นอย่างไร ?”
หากพวกกุฟฟาร พวกมุชริกีน พวกญาฮิลียะฮฺในสมัยของท่านนบี เดินทางไปยังที่ต่างๆแล้ว พวกเขาได้มองเห็นแล้ว พวกเขาก็จะพบว่า บั้นปลายหรือจุดจบของประชาชาติในยุคก่อนหน้าพวกเขานั้นเป็นอย่างไร ?
ประชาชาติในยุคก่อนหน้าพวกเขาก็หมายถึง พวกที่ปฏิเสธศรัทธา ปฏิเสธคำสั่งของอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติของพระองค์ ตั้งภาคีต่อพระองค์ ...เขาเหล่านั้นมีลักษณะอย่างไร ?
كَانُوا أَشَدَّ مِنْهُمْ قُوَّةً
َ
”เขาเหล่านั้น(ที่เป็นคนในประชาชาติยุคก่อนๆ) มีพลังวังชามากกว่า มีความแข็งแรง มีความเข้มแข็ง แข็งแกร่งกว่าพวกเขา(ที่เป็นผู้คนในยุคท่านนบี) ”
ท่านพี่น้องผู้ศรัทธาทั้งหลาย ในอัลกุรอานได้เล่าถึงคนในยุคอ๊าด ยุคษะมูด ซึ่งเป็นประชาชาติในยุคก่อนสมัยท่านนบี เขาเหล่านั้นมีรูปร่างที่ใหญ่โต กำยำ มีพละกำลังล้นเหลือ แข็งแกร่งกว่าผู้คนในยุคสมัยท่านนบี ...เขาเหล่านั้นทำอะไรได้บ้าง ?
وَأَثَارُوا الْأَرْضَ
“เขาเหล่านั้นขุดพรวนดิน”
ตรงนี้ นักมุฟัสสิรีนอธิบายว่า ขุดพรวนดินเพื่อทำการเพาะปลูก ขุดเจาะเพื่อหาแร่ธาตุมาใช้ ขุดเจาะเพื่อเอาหินมาก่อสร้าง เขาเหล่านั้นมีความสามารถทำได้หลายอย่าง ทำได้มากกว่าผู้คนในสมัยท่านนบีมากมาย
وَعَمَرُوهَا أَكْثَرَ مِمَّا عَمَرُوهَا
“เขาเหล่านั้นมีความสามารถในการทำที่อยู่ที่อาศัยมากกว่าพวกเขา (คือมีความสามารถมากกว่าผู้คนในสมัยท่านนบีเสียอีก)”
เขาเหล่านั้น สามารถขุดเจาะภูเขาเพื่อทำเป็นที่อยู่อาศัย สามารถทำถ้ำให้เป็นบ้านเรือน...ซึ่งหลายๆคนมีโอกาสได้เดินทางไปทางแถบประเทศอาหรับ หรืออาจจะได้ดูสารคดี ..เราจะพบเห็นภูเขาที่ถูกขุดเจาะเพื่อทำเป็นบ้านเรือน เป็นที่อยู่อาศัย มีความใหญ่โต สูงตระหง่าน ...พอเราเห็น เราก็ทึ่ง ว่าเขาทำได้อย่างไร ชมเขาว่าเก่งอย่างนั้นอย่างนี้ ...
ตรงนี้แหละ ที่เราเห็นแล้ว ไม่ได้ให้เราไปชมว่าเขาเก่ง แต่ให้คิดว่า นี่เป็นเดชานุภาพของอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ที่พระองค์ทรงให้ความสามารถแก่พวกเขา แล้วก็ให้เรามองทะลุไปถึงบั้นปลายของพวกเขาว่า แม้ว่าพวกเขาจะมีร่างกายใหญ่โต กำยำ มีความสามารถเก่งกาจเพียงใด แต่เมื่อเขาปฏิเสธต่ออัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ดื้อดึงฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติของพระองค์ ทำชิริกตั้งภาคีต่อพระองค์ พระองค์ก็ทรงลงโทษพวกเขาโดยทำลายล้างเขาเหล่านั้นมาแล้ว
อย่างเช่น โดนลงโทษโดยให้มีเสียงดังกัมปนาท และมีแผ่นดินไหวอย่างรุนแรง จนทำให้เขาเหล่านั้นต้องเสียชีวิตในบ้านของเขาเอง ทั้งๆที่บ้านของเขานั้นก็แข็งแรงใหญ่โต แต่ก่อนที่พระองค์จะทรงทำลายล้างเขาเหล่านั้น พระองค์ได้ทรงส่งร่อซูลมาตักเตือนแล้ว ไม่ใช่ว่าอยู่ๆ พระองค์ก็มาทรงลงโทษ โดยที่ไม่มีการตักเตือนมาก่อน พระองค์ไม่ทรงทำอย่างนั้น
وَجَاءَتْهُمْ رُسُلُهُم بِالْبَيِّنَاتِ ۖ
“และบรรดาร่อซูลของเขาเหล่านั้น ได้มาหาเขาเหล่านั้นด้วยหลักฐานอันชัดแจ้ง”
อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาได้ทรงส่งร่อซูล ให้มาในแต่ละยุคแต่ละสมัย เพื่อบอกเพื่อเตือนเขาเหล่านั้น แต่สอนแล้ว บอกแล้ว เขาเหล่านั้นก็ไม่เชื่อฟัง ยังคงละเมิด ยังคงฝ่าฝืน ยังคงดื้อดึง ...บางคนก็ปฏิเสธ ...บางคนยอมรับแต่ก็ทำชิริก ...บางคนยอมรับแต่ก็เป็นมุนาฟิกีน นี่แหละจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้เขาเหล่านั้นถูกลงโทษ
فَمَا كَانَ اللَّهُ لِيَظْلِمَهُمْ وَلَٰكِن كَانُوا أَنفُسَهُمْ يَظْلِمُونَ
“ดังนั้น ไม่เคยปรากฏว่า อัลลอฮฺจะทรงอธรรมต่อพวกเขา แต่ทว่า พวกเขาต่างหากที่อธรรมต่อตัวของพวกเขาเอง”
อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาทรงยืนยันว่า พระองค์ไม่เคยทรงอธรรมต่อใคร แต่เป็นตัวของเราเองที่ได้อธรรมต่อตัวเอง ...เราอธรรมต่อตัวเราเอง หมายความว่า เราทำตัวของเราให้ถูกลงโทษ อันเนื่องมาจากการที่เราไปฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติศาสนาของอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ...และส่วนใหญ่ของคนที่อธรรมต่อตัวเองมีลักษณะอย่างไร ?
ในซูเราะฮฺอัรรูม อายะฮฺที่ 42 อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาตรัสว่า
قُلْ سِيرُوا فِي الْأَرْضِ فَانظُرُوا كَيْفَ كَانَ عَاقِبَةُ الَّذِينَ مِن قَبْلُ ۚ كَانَ أَكْثَرُهُم مُّشْرِكِينَ
“(มุฮัมมัด)จงประกาศออกไปเถิดว่า ท่านทั้งหลายจงเดินทางไปบนหน้าแผ่นดิน แล้วมองดู... แล้วพินิจพิจารณาดูสิว่า บั้นปลายของกลุ่มชน(ที่ฝ่าฝืนดื้อดึง)ในยุคก่อนๆนั้น เป็นอย่างไร? ...(เมื่อมองเห็น ก็จะพบว่า) ส่วนมากของพวกเขาเป็นผู้ตั้งภาคี”
ท่านพี่น้องผู้ศรัทธาทั้งหลาย ส่วนมากของผู้ที่ทำความผิด ฝ่าฝืนดื้อดึงก็คือ ผู้ที่เป็นมุชริกีน เป็นผู้ตั้งภาคีต่ออัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ...คนที่ตั้งภาคีหมายถึง คนที่ยอมรับอยู่แล้วว่า อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาทรงเป็นพระเจ้า ผู้ทรงเดชานุภาพ ผู้ทรงสร้างทุกๆสรรพสิ่ง ผู้ประทานปัจจัยยังชีพ เป็นพระเจ้าในเรื่องของรุบูบียะฮฺ แต่พวกเขาไม่ได้มอบการเคารพอิบาดะฮฺทั้งหมดให้แด่อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาเพียงองค์เดียว แต่กลับไปมอบให้สิ่งอื่นๆ มอบให้แก่ต้นไม้ มอบให้แก่รูปเจว็ด มอบให้แก่คนบางคนด้วย โดยให้สิ่งเหล่านั้นมีสถานะเป็นพระเจ้าคู่เคียงไปกับอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ไปขอความช่วยเหลือในเรื่องที่มนุษย์ไม่มีความสามารถ แต่ไปขอจากพวกเขา ไปกราบไปไหว้ไปขอจากสิ่งเหล่านี้ ไม่ได้ขอจากอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาองค์เดียว ไม่ได้มอบเรื่องของอุลูฮียะฮฺให้แด่อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาเพียงองค์เดียว นี่แหละคือเรื่องของการตั้งภาคี เรื่องของการทำชิริก
ดังนั้น หันกลับมามองตัวเรา เราเป็นมุสลิม เชื่อมั่นอยู่ในอก อยู่ในความนึกคิด แล้วก็พูดออกมาอยู่ทุกวันว่า อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาทรงเป็นพระเจ้า คิดและพูดเหมือนกับพวกมุชริกีนในยุคก่อนๆเขาพูดกัน แต่เมื่อเราคิดถูกต้องแล้ว พูดถูกต้องแล้ว ก็ให้มาดูการกระทำของเราด้วยว่า มั่นคงอยู่กับความคิดและคำพูดของเราไหม เราไปทำอะไรที่เป็นเรื่องของชิริกไหม เราอย่าให้ตัวเราเป็นเหมือนพวกมุชริกีนในสมัยก่อน และเราอย่าไปแน่ใจตัวเองว่า ฉันไม่มีวันทำชิริก เพราะชิริกมีมาในหลายรูปแบบ
เรื่องบางเรื่องเราก็อาจไม่ทราบว่ามันเป็นชิริก ....ใครจะคิดว่า แม้แค่เพียงการสงสัยในการเป็นกาฟิรของคนๆหนึ่งว่า เขาอาจจะไม่ใช่กาฟิรก็ได้ ทั้งๆที่ลักษณะของเขาบ่งบอกถึงการเป็นกาฟิร ...ใครจะคิดว่า ความสงสัยว่าเขาไม่ได้เป็นกาฟิร อย่างนี้เป็นส่วนหนึ่งของการทำชิริก
ยกตัวอย่างเช่น มีคนบางคนในสังคมมุสลิมบ้านเรา ให้ความเห็นว่า พระพุทธเจ้าอาจจะเป็นนบีท่านหนึ่งของอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ทั้งๆที่อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาไม่ได้ทรงบอกไว้ ไม่มีตรงไหนบอกไว้เลย ไม่เคยเอ่ยชื่อไว้เลย และไม่ได้มีอัลหะดีษบทใดยืนยันไว้ว่าพระพุทธเจ้าเป็นนบีของพระองค์ เพียงแต่พวกเขาไปคิดเอาเองว่า อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาทรงบอกว่า นบีของพระองค์มีเป็นแสนกว่าท่าน อย่างนี้ พระพุทธเจ้าก็อาจจะเป็นนบีคนหนึ่งก็ได้ เมื่อเป็นนบีก็เท่ากับเป็นมุสลิมคนหนึ่ง ทั้งๆที่โดยข้อเท็จจริงก็คือ พระพุทธเจ้ามีลักษณะของกาฟิร เพราะคำสอนของพระพุทธเจ้าคือการตรัสรู้เอง รู้เอาเอง ไม่ใช่คำสอนที่มาจากอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา อีกทั้งคำสอนของพระพุทธเจ้ายังไม่มีส่วนไหนที่สอนให้รู้จักพระเจ้า สอนให้รู้จักอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา และสอนเรา หรือนำเราไปสู่การเคารพอิบาดะฮฺอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาเป็นพระเจ้าองค์เดียว ดังนั้น การไปมีความคิดว่า พระพุทธเจ้าเป็นมุสลิม เป็นนบีคนหนึ่ง เท่ากับทำให้คนที่เขามีความเชื่ออย่างนี้ มีสถานะของการทำชิริกได้
หรือการที่มุสลิมคนใดไปมีความเชื่อว่า มีทางนำที่ดีกว่าและสมบูรณ์กว่าทางนำที่ถูกต้องของอิสลาม หรือไปมีความเชื่อว่าข้อตัดสินของคนอื่นดีกว่าข้อตัดสินของท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม หรือไปมีความคิดว่าบทบัญญัติของอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาล้าสมัย บกพร่อง ไม่เหมาะกับสถานการณ์ อย่างนี้ไม่ได้ ความเชื่อเหล่านี้ก็ถือเป็นส่วนหนึ่งของการทำชิริก
แต่สำหรับเราคนไทยที่อยู่ในประเทศนี้ เมื่อเขาปกครองด้วยระบอบที่ไม่ใช่อิสลาม ใช้กฎหมายที่ผู้คนเขียนขึ้นมาเอง ซึ่งเราจำเป็นต้องอยู่ภายใต้กฎหมายนี้ สำหรับในส่วนที่ไม่ขัดกับบทบัญญัติศาสนา ก็ให้ปฏิบัติตามไป แต่ใจของเราจะต้องไม่ไปยอมรับว่ากฏหมายที่คนเขียนขึ้นมาเองนี้ว่า ดีกว่ากฏหมายของอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาเป็นอันขาด นี่ก็คือคำชี้แนะของอุละมาอ์อะฮฺลุซซุนนะฮฺ วัลญะมาอะฮ
ซึ่งบรรดาอุละมาอ์ท่านก็จะมีความเป็นห่วงมุสลิมเรา เห็นมุสลิมไปทำเรื่องที่มันสุ่มเสี่ยงในเรื่องของการทำชิริก ท่านก็เลยได้รวบรวมเรื่องต่างๆที่เมื่อมุสลิมทำแล้วถือเป็นการทำชิริก อยู่ในหมวดหมู่ที่เรียกว่า นะวากิดุลอิสลาม หรือสิ่งที่ทำให้เสียอิสลาม เป็นเรื่องที่เมื่อเราคิดเราเชื่อเราทำแล้ว มีผลให้เรามีสถานะเป็นมุรตัด หลุดออกจากการเป็นมุสลิม เป็นเรื่องที่ตักเตือนมุสลิมเรา ไม่ได้ตักเตือนกาฟิร แต่ตักเตือนมุสลิม ก็ขอให้เราได้ศึกษาเรียนรู้และระมัดระวังตัวเอง ไม่ให้ไปทำเรื่องดังกล่าว เพราะผลของมันคือการขาดทุนทั้งในโลกดุนยาและโลกอาคิเราะฮฺ
สำหรับในโลกดุนยา บทบัญญัติสำหรับผู้ตกมุรตัด ก็คือ การถูกประหารชีวิต
สำหรับผลในโลกอาคิเราะฮฺของผู้ที่ตกมุรตัด ก็คือ ที่พำนักในนรกตลอดกาล
เว้นแต่เขาจะอิสติฆฟาร เตาบะฮฺกลับเนื้อกลับตัวกลับใจ ปรับปรุงแก้ไขตัวเองก่อนที่จะสายเกินไป ก่อนที่จะตายไป
สุดท้ายนี้ ขออัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาโปรดคุ้มครองเราทุกคนให้อยู่ในความเมตตาของพระองค์ ให้เรารู้เท่าทันเรื่องของชิริก และได้ออกห่างจากการทำชิริกตลอดไป
อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาตรัสว่า
ثُمَّ كَانَ عَاقِبَةَ الَّذِينَ أَسَاءُوا السُّوأَىٰ أَن كَذَّبُوا بِآيَاتِ اللَّهِ وَكَانُوا بِهَا يَسْتَهْزِئُونَ
“และแล้วบั้นปลายของบรรดาผู้กระทำความชั่วก็คือความชั่วยิ่งกว่า
อันเนื่องมาจากการที่พวกเขาปฏิเสธต่อบรรดาอายะฮฺของอัลลอฮฺ
และพวกเขาเย้ยหยันถากถางต่อบรรดาอายะฮฺเหล่านั้น”
( อัลกุรอานซูเราะฮฺอัรรูม อายะฮฺที่ 10 )
คุฎบะฮ์วันศุกร์ มัสยิดดารุ้ลอิห์ซาน