10 บทสรุปความโง่เขลาของชีอะฮ์
อาบีดีณ โยธาสมุทร
บิ้สมิ้ลลาฮิ้รร่อฮฺมานิ้รร่อฮีม
เนื่องจากทราบมาว่าจะมีการจัดสัมมนาจากหน่วยงานบางหน่วยงานแก่นักศึกษาศาสนาชาวไทยในพื้นที่ใกล้เคียงกับที่ผมอาศัยอยู่ใน หัวข้อที่เกี่ยวข้องกับ มุสลิมซุนนียฺและชีอะฮฺ ซึ่งผมเองก็ไม่อาจทราบได้ว่าจุดประสงค์และทิศทางในการให้ข้อมูลของการสัมนาครั้งนี่จะถูกจัดให้ดำเนินไปในทิศทางใด
จึงเห็นสมควรที่จะต้องนำเสนอข้อมูลบางส่วนเพื่อใช้เป็นภูมิทางความเชื่อและเป็นฐานในการกำหนดจุดยืนในเรื่องศาสนาแก่บรรดานักเรียนศาสนาทุกๆท่านตลอดจนผู้ที่สนใจและเห็นถึงความสำคัญของประเด็นๆนี้ด้วยครับ
ซึ่งเนื้อหาที่จะนำเสนอต่อไปนี้ ผมได้แปลมาจากวิทยานิพนธ์ของท่านเชค ดร.อับดุลกอเดร อะตออฺ ศูฟียฺ -ฮะฟิศ่อฮุ้ลลอฮฺ- ที่มีชื่อว่า موفق الشيعة الاثنى عشرية من الصحابة رضي الله عنهم โดยผมเลือกที่จะแปลและเผยแพร่เฉพาะบทส่งท้ายของวิทยานิพนธ์ฉบับดังกล่าว โดยหวังเป็นอย่างยิ่งว่าการทุ่มเทครั้งนี้จะเป็นประโยชน์แก่ผม อาจารย์ของผม บิดามารดาของผมและทุกๆท่านทั้งในดุนยาและอาคิเราะฮฺ
บทส่งท้าย
เนื่องด้วยการที่อัลลอฮฺทรงเมตตาแก่กระผมด้วยการมอบความโปรดปรานและความช่วยเหลือของพระองค์จนอำนวยให้ผมสามารถเขียนงานวิจัยชิ้นนี้ขึ้นมาได้จนแล้วเสร็จ -ซึ่งการสรรเสริญเป็นสิทธิของพระองค์อย่างมากมายและงดงาม- กระผมจึงใคร่ขอที่จะกล่าวถึงบทสรุปของข้อมูลที่ผมสามารถสืบค้นและวิจัยออกมาได้จนได้เป็นผลลัพธ์โดยสังเขปดังนี้ :
1. อัลลอฮฺซุบฮานะฮูวะตะอาลา ทรงให้การชมเชยบรรดาศ่อฮาบะฮฺ ร่อดิยั้ลลอฮุอันฮุม ไว้ในหลายอายะฮฺในพระคัมภีร์อันรัดกุมของพระองค์ และเช่นกันร่อซู้ลของพระองค์ อลัยฮิ้ศศ่อลาตุวั้สสลาม ก็ได้แนะนำถึงสถานะของพวกท่านเหล่านั้นไว้่แล้วด้วย ยิ่งไปกว่านั้นท่านเองยังได้กล่าวถึงความประเสริฐของพวกท่านเอาไว้หลายครั้งหลายครา -ดังที่ได้มีการระบุรายละเอียดเอาไว้ในอั้ซซุนนะฮฺอันสะอาดบริสุทธิ์ของท่าน-
2. รุ่นของบรรดาศ่อฮาบะฮฺ ถือเป็นรุ่นที่มีความประเสริฐที่สุดของมนุษยชาติทั้งหมด ทั้งนี้เนื่องจากประชาชาติของมุฮัมหมัดนั้นเป็นประชาชาติที่ดีที่สุดและเพราะยุคของท่านเป็นยุคที่ดีที่สุดนั่นเอง
3. บรรดาศ่อฮาบะฮฺนั้น แม้ว่าพวกท่านจะมีความประเสริฐร่วมกันอยู่ในการได้เป็นสาวกของท่านร่อซูลุลอฮฺ อลัยฮิ้ศศ่อลาตุวั้สสลาม กันทั้งนั้นก็ตาม แต่ถึงอย่างไรในแง่ของสถานะและระดับขั้นนั้น พวกท่านแต่ละท่านต่างมีความเหลื่อมล้ำกันในเรื่องนี้
ซึ่งจุดยืนที่บรรดานักวิชาการของประชาชาตินี้ต่างมีมติกันไว้อย่างเข้มแข็งในเรื่องนี้ก็คือ ให้ลำดับท่านอบูบักร อั้ศศิดดี้ก เป็นบุคคลที่มีความประเสริฐที่สุดในบรรดาศ่อฮาบะฮฺโดยปราศจากเงื่อนไขใดๆทั้งสิ้น รองถัดลงมาก็คือท่านอุมัร อั้ลฟารู้ก และถัดลงมาก็คือท่านอุสมาน ซุ้ลนูรอย และถัดลงมาก็คือ ท่านอลี อบู้ลซิ้บตอยน์ นั่นเอง
4. บรรดาศ่อฮาบะฮฺทุกๆท่านนั้น ล้วนเป็นบุคคลที่เชื่อถือได้เป็นอันดับที่หนึ่งในข้อมูลที่พวกท่านได้รายงานและถ่ายทอดไว้ ซึ่งความน่าเชื่อถือของพวกท่านนั้นได้ถูกยืนยันไว้แล้วในพระคัมภีร์ของอัลลอฮฺและในซุนนะฮฺของท่านร่อซูลุ่ลลอฮฺ ศ็อลลั่ลลอฮุอลัยฮิวะซั้ลลัม ตลอดจนในมติเอกฉันท์ของบรรดานักวิชาการของประชาชาตินี้อีกด้วย
5. การด่าทอบรรดาศ่อฮาบะฮฺ ริ้ดวานุ้ลลอฮิอลัยฮิม หรือการลบหลู่พวกท่านตลอดจนการจาบจ้วงพวกท่านนั้น เป็นเรื่องต้องห้ามทางศาสนา
ดังที่มีการระบุไว้ในตัวบทของอั้ลกิตาบและอั้ซซุนนะฮฺ ในคำพูดของบรรดาศ่อฮาบะฮฺและของบรรดาสะลัฟที่อยู่ในรุ่นที่ถัดมาจากบรรดาศ่อฮาบะฮฺ ตลอดจนในคำพูดของนักวิชาการที่อยู่ในวงศ์ตระกูลของท่านร่อซู้ล ศ็อลลัลลอฮุอลัยฮิวะซั้ลลัม ตลอดช่วงเวลา 15 ศตวรรษที่ผ่านมาด้วย
6. การเข้ามาจาบจ้วงเกี่ยวกับเรื่องของความน่าเชื่อถือในการรายงานและส่งต่อข้อมูลเรื่องศาสนาของบรรดาศ่อฮาบะฮฺ ร่อดิยั้ลลอฮุอันฮุมนั้น เป็นเรื่องต้องห้ามทางศาสนา
ดังที่มีการระบุไว้ในตัวบทของอั้ลกิตาบและอั้ซซุนนะฮฺ ตลอดจนมติเอกฉันท์ของบรรดานักวิชาการของประชาชาติๆนี้ ทั้งนี้เนื่องจากการกระทำดังกล่าวนั้น ในด้านหนึ่งถือได้ว่ามันเป็นชนิดหนึ่งของการด่าทอ และในอีกด้านหนึ่ง ก็ถือได้ว่ามันเป็นการคัดค้านอย่างเต็มประตูต่อตัวบทต่างๆที่ได้ให้การรับรองในความน่าเชื่อถือของพวกท่านเหล่านั้นเอาไว้ร่อดิยั้ลลอฮุอันฮุม อีกด้วยนั่นเอง
7. การลงคำตัดสินเด็ดขาดว่าคนที่ด่าทอบรรดาศ่อฮาบะฮฺนั้นเป็นกาเฟร เพียงเพราะประเด็นเรื่องการมีพฤติกรรมด่าทอออกมาอย่างเดียวนั้น ไม่ใช่อะไรที่สามารถกระทำได้ เว้นเสียแต่ในกรณีที่ เมื่อคำด่าทอนั้นๆมีเนื้อหาที่ครอบคลุมถึงการปฏิเสธหรือคัดค้านประเด็นใดๆที่เป็นที่รับทราบกันดีว่าเป็นประเด็นหลักๆของศาสนา หรือมีเนื้อหาที่เป็นการคัดค้านเนื้อหาใดๆที่ตัวบทหลักฐานทางศาสนาได้ให้ข้อมูลชี้เเจงไว้แล้วอย่างชัดเจน เช่น
ก. บุคคลที่กล่าวอ้างว่า บรรดาศ่อฮาบะฮฺทั้งหมดเป็นกาเฟรและตกศาสนา-เหลือแค่เพียงจำนวนน้อยเท่านั้นที่ไม่เป็นเช่นนั้น- คำกล่าวอ้างนี้เท่ากับเป็นการคัดค้านต่อตัวบทหลักฐานทางศาสนาที่ชัดเจนที่อัลลอฮฺได้ทรงรับสั่งให้ข้อมูลเอาไว้ในบรรดาตัวบทเหล่านั้นถึงความพอพระทัยของพระองค์ที่ทรงมีแก่บรรดาศ่อฮาบะฮฺ และที่ท่านร่อซูลุ่ลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอลัยฮิวะซั้ลลัมได้แจ้งเอาไว้ในตัวบทเหล่านั้นด้วยเช่นกันถึงความประเสริฐของพวกท่านเหล่านั้น และยังได้ให้การสรรเสริญตลอดจนให้การชี้แจงถึงสถานะของพวกท่านเหล่านั้นไว้ในบรรดาตัวบทดังกล่าวอีกด้วย
ซึ่งการกล่าวอ้างว่า บรรดาศ่อฮาบะฮฺทั้งหมดเป็นกาเฟรและตกศาสนา-เหลือแค่เพียงจำนวนน้อยเท่านั้นที่ไม่เป็นเช่นนั้น- หรือการปฏิเสธความน่าเชื่อถือในการรายงานข้อมูลเรื่องศาสนาของพวกท่านนั้น ถือเป็นประเด็นหนึ่งที่จะนำไปสู่การทำลายศาสนบัญญัติทั้งหมดที่ประชาชาตินี้ได้รับทอดมาจากบรรดาศ่อฮาบะฮฺ ของท่านร่อซู้ลของอัลลอฮฺ ศ็อลลั่ลลอฮุอลัยฮิวะซั้ลลัมไปในที่สุดด้วยนั่นเอง
ข. เช่นเดียวกัน ในกรณีของบุคคลใดๆที่กล่าวอ้างว่า ท่านอบูบักร และท่านอุมัร ร่อดิยั้ลลอฮุอันฮุมาปฏิเสธศรัทธา หรือเข้ามากระทำการปฏิเสธการเป็นศ่อฮาบะฮฺของท่านอบูบักร ร่อดิยั้ลลอฮุอันฮุ ก็เท่ากับว่าบุคคลนั้นๆ เป็นบุคคลที่เป็นกาเฟร เป็นบุคคลที่ห่างไหลจากกรอบของศาสนา ปราศจากวิธีใดๆที่จะใช้เยียวยาเขาได้อีกแล้วยกเว้นโทษประหารเท่านั้น -หากเขาไม่ยอมสำนึกผิดกลับตัว-
ที่เป็นเช่นนี้ก็ไม่ใช่เพราะอะไรอื่น เว้นเสียแต่เนื่องมาจากเป็นเพราะว่าเขาผู้นั้นได้เข้ามากระทำการปฏิเสธและคัดค้านต่อประเด็นที่เป็นที่รับทราบกันดีว่าเป็นประเด็นหลักของศาสนา และได้เข้ามากระทำการคัดค้านเรื่องที่ตัวบทหลักฐานทางศาสนาได้ให้ข้อมูลชี้เเจงไว้แล้วอย่างชัดเจนเท่านั้นนั่นเอง
ค. และเช่นกันในกรณีของบุคคลใดๆที่อ้างว่าท่านหญิงอาอิชะฮฺ ผู้มีสัจจะและมีความสะอาดบริสุทธิ์มีความเกี่ยวข้องกับเรื่องสำส่อน หรือ เข้ามากระทำการปฏิเสธความบริสุทธิ์ของนาง ก็ให้ตัดสินบุคคลนั้นว่าเป็นกาเฟรได้อย่างมั่นใจ ทั้งนี้เนื่องจากเขาผู้นั้นได้มีพฤติกรรมจาบจ้วงต่อสตรีผู้ได้รับการรับรองในความบริสุทธิ์ของนางมาจากเบื้องบนของฟากฟ้าทั้งเจ็ด
และเนื่องจากเขาผู้นั้นได้กระทำการปฏิเสธต่อข้อมูลที่ตัวบทหลักฐานทางศาสนาได้ให้ข้อมูลชี้เเจงและให้การรับรองไว้อย่างชัดเจนแล้วถึงความบริสุทธิ์ของนาง และยังเป็นเพราะว่าเขาผู้นั้นได้กระทำการคัดค้านและฝ่าฝืนต่ออัลลอฮฺตะอาลาในคำดำรัสของพระองค์ที่ว่า
يعظكم الله أن تعودوا لمثله أبدا إن كنتم مؤمنين (النور:١٧)
“อัลลอฮฺทรงเตือนสติของพวกเจ้าเพื่อมิให้พวกเจ้าหวนกลับมาสู่เรื่องราวแบบนี้อีกเป็นอันขาด ถ้าหากพวกเจ้าเป็นผู้ศรัทธา”
เมื่อเป็นเช่นนี้ ผู้ใดก็ตามที่มีคุณสมบัติในการเป็นผู้ศรัทธา ก็จำเป็นที่เขาจะต้องออกห่างจากการด่าทอมารดาของบรรดาผู้ศรัทธา ผู้เป็นที่รักของท่านร่อซูลุ่ลลอฮฺ ศ็อลลั่ลลอฮุอลัยฮิวะซั้ลลัม เสียโดยสิ้นเชิง
8. พวกชีอะฮฺ 12 อิหม่ามนั้น มิได้หยุดพฤติกรรมของพวกเขาอยู่แค่เพียงการด่าทอเท่านั้น แต่พวกเขาเลยเถิดขึ้นไปถึงขั้นออกมากล่าวหาว่า บรรดาศ่อฮาบะฮฺผู้ทรงเกียรติ ร่อดิยั้ลลอฮุอันฮุม พากันปฏิเสธศรัทธาและตกศาสนากันภายหลังจากการจากไปของท่านร่อซูลุ่ลลอฮฺ ศ็อลลั่ลลอฮุอลัยฮิวะซั้ลลัม -เหลือแค่เพียงจำนวนน้อยเท่านั้นที่ไม่เป็นเช่นนั้น-
และยังกล่าวอ้างอีกว่า ท่านอบูบักรและท่านอุมัรร่อดิยั้ลลอฮุอันฮุมาเป็นกาเฟร ท่านอุสมาน ร่อดิยั้ลลอฮุอันฮุเป็นกาเฟร ตลอดจนบรรดาศ่อฮาบะฮฺที่ท่านร่อซูลุ่ลลอฮฺ ศ็อลลั่ลลอฮุอลัยฮิวะซั้ลลัม ได้แจ้งข่าวดีไว้ให้ว่าจะได้เป็นชาวสวรรค์ทั้งสิบท่าน ซึ่งท่านร่อซูลุ่ลลอฮฺ ศ็อลลั่ลลอฮุอลัยฮิวะซั้ลลัม ได้จากไปในสภาพที่ท่านพอใจต่อพวกท่านเหล่านั้น ท่านอื่นๆ -ยกเว้นท่านอลี- เป็นกาเฟร
และยังไม่พอเท่านั้น พวกเขายังกล่าวหาอีกว่า ศ่อฮาบะฮ์ท่านอื่นๆที่เหลือตลอดจนศ่อฮาบะฮฺชั้นแนวหน้าและศ่อฮาบะฮฺชั้นดีทั้งหมดทั้งปวงนั้น เป็นกาเฟรด้วย
ยังไม่ยุติเพียงเเค่นั้น แต่พวกเขากลับยังเข้ามากล่าวหาอีกด้วยว่าท่านหญิงอาอิชะฮฺ ผู้มีสัจจะผู้เป็นบุตรสาวของชายผู้มีสัจจะยิ่งนั้นมีความเกี่ยวข้องกับเรื่องสำส่อน และพากันปฏิเสธว่า บรรดาอายะฮฺที่ให้การรับรองในความบริสุทธิ์นั้นถูกประทานลงมาเพื่อพูดถึงเรื่องของนาง-ดังที่ได้แจงรายละเอียดไว้ให้รับทราบแล้วทั้งหมดก่อนหน้านี้-
ด้วยเหตุนี้พวกชีอะฮฺ 12 อิหม่าม จึงไม่ใช่กลุ่มบุคคลที่ยุติอยู่แค่เพียงการด่าทอเพียงเท่านั้น แต่คนกลุ่มนี้ได้ผนวกพฤติกรรมที่ทำให้จำเป็นที่จะต้องกล่าวออกมาว่าพวกเขาคือกาเฟร เข้าไว้กับพฤติกรรมการด่าทอที่มีอยู่ที่พวกเขาอยู่แล้วอีกด้วยต่างหาก
9. บรรดาบุคคลชั้นนำในสายตระกูลของท่านร่อซู้ล ศ็อลลั่ลลอฮุอลัยฮิวะซั้ลลัม ที่เป็นคนดีและเป็นคนที่ผุดผ่องนั้น ต่างบริสุทธิ์กันอย่างสิ้นเชิงจากข้อมูลที่พวกชีอะฮฺ 12 อิหม่ามสมอ้างกันถึงพวกท่าน -โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเด็นที่เกี่ยวกับหลักความเชื่อเรื่องร้อฟด์(เรื่องการเข้ารับตำแหน่งโดยมิชอบของค่อลีฟะฮฺ 3 ท่านก่อนท่านอลี และการตกศาสนาของบรรดาศ่อฮาบะฮฺแทบทั้งหมด ร่อดิยั้ลลอฮุอันฮุม) และพวกท่านเหล่านั้นก็ต่างรัก เชิดชู และให้เกียรติต่อบรรดาศ่อฮาบะฮฺกันทั้งนั้น และต่างจัดให้บรรดาศ่อฮาบะฮฺได้อยู่ในสถานะของพวกท่านตามที่อัลลอฮฺและร่อซู้ลของพระองค์ ได้กำหนดไว้ให้แก่พวกท่านเหล่านั้นด้วย
ซึ่งอัลลอฮฺตะอาลา ไม่ทรงยินยอมให้คนที่โกหกได้ลอยนวลอยู่เฉยๆ แต่พระองค์จะทรงเปิดโปงความโป้ปดในคำพูดของเขาคนนั้นออกมาให้เป็นที่รับทราบกันอย่างแน่นอนต่างหาก
ซึ่งในตำราของพวกชีอะฮฺเองก็ปรากฏข้อมูลที่บ่งบอกถึงความรัก และการให้เกียรติที่บรรดาบุคคลชั้นนำในสายตระกูลของท่านร่อซู้ล ศ็อลลั่ลลอฮุอลัยฮิวะซั้ลลัม มีต่อบรรดาศ่อฮาบะฮฺ อย่างมากมายเอาไว้ -ดังที่ได้ชี้แจงให้ได้รับทราบกันไว้แล้วก่อนหน้านี้- ซึ่งข้อมูลเหล่านี้ก็เท่ากับเป็นการใช้คำพูดของบรรดาอิหม่ามของพวกเขาเองที่ถูกบันทึกไว้ในตำราของพวกเขาเอง มาเป็นหลักฐานมัดตัวและชี้มูลความผิดของตัวของพวกเขาเองไปในตัว
10. พวกชีอะฮฺ 12 อิหม่าม ไม่ว่าจะในยุคก่อนหรือยุคหลัง ยุคเก่าแก่หรือยุคปัจจุบัน ทั้งหมดล้วนอยู่ในหลักความเชื่อเดียวกันทั้งสิ้นในประเด็นเรื่องเกี่ยวกับบรรดาศ่อฮาบะฮฺ ไม่ได้มีการพัฒนาไปในทิศทางที่ดีขึ้นตามการเปลี่ยนผ่านของช่วงเวลาแต่อย่างใดเลย
แต่ที่ร้ายไปกว่านั้นก็คือ คุณจะเห็นว่า ยิ่งยุคสมัยล่วงเลยไปคนกลุ่มนี้ก็ยิ่งเลยเถิดออกไปไกลมากขึ้น คนที่เข้ามายึดถือแนวคิดๆนี้นับวันพวกเขาก็รังแต่จะยิ่งโกรธและเกลียดบรรดาศ่อฮาบะฮฺมากขึ้นและมากขึ้นเท่านั้น ซึ่งความโกรธนี้มันได้เผยออกมาจากฝีปากของพวกเขาเรียบร้อยแล้ว แต่อย่างไรก็ดี สิ่งที่มันซ้อนอยู่ในหัวอกของพวกเขานั้น มันมหาศาลมากกว่านั้นอีกมากนัก
และไม่ต้องสงสัยเลยว่า หลัก อั้ตตะกียะฮฺ (การโกหกเพื่อตบตา)นั้น ได้เข้ามาเล่นบทบาทสำคัญในหลักความเชื่อๆนี้ที่คุณสามารถพบเห็นได้อย่างชัดเจนในตำราของพวกชีอะฮฺ และบ้างก็ปรากฏชัดออกมาเป็นครั้งเป็นคราวจากปากของคนพวกนั้นเองด้วย โดยที่พวกเขาก็กำลังพยายามกันอยู่ที่จะกลบความเชื่อนี้ไว้ข้างใต้ดิน ซึ่งไม่ต้องสงสัยเลยว่าสภาพบรรยากาศที่แวดล้อมตัวของพวกเขาอยู่นั้นย่อมเผยให้ทราบได้อย่างชัดเจนที่สุดถึงสาเหตุที่ทำให้สามารถกล่าวออกมาเช่นนี้ได้:
ความเฉยเมยของอะฮฺลุ้ซซุนนะฮฺและความเขลาของพวกเขาต่อหลักความเชื่อของคนกลุ่มนั้น ถือเป็นอีกหนึ่งเรื่องที่ส่งเสริมให้พวกชีอะฮฺมีความกระตือรือร้นในการเผยแพร่หลักความเชื่อของตัวเองออกมา- ซึ่งหนึ่งในหลักความเชื่อของพวกเขาก็คือเรื่อง อั้รร้อฟด์- ดังนั้นเมื่อพวกชีอะฮฺสบโอกาสจากความเฉยเมยและความเขลาของอะฮฺลุ้ซซุนนะฮฺ พวกเขาก็จะพยายามกระตือรือร้นที่จะถ่ายทอดและส่งต่อความเชื่อของพวกตนทันที โดยพวกเขาจะทำการเหวี่ยงตาข่ายที่เต็มไปด้วยข้อเคลือบแคลงอยู่ร้อยแปดพันเก้าเข้าใส่ ซึ่งล้วนเป็นข้อเคลือบแคลงที่คนที่ไม่มีความรู้จะไม่สามารถเข้ามายืนต้านทานอะไรกับมันได้เลย จนสุดท้ายแล้วเขาก็จะเสียท่าตกเข้าไปในกรงเล็บของคนกลุ่มนั้นและกลายเป็นกระบอกเสียงให้แก่พวกเขาไปในที่สุด
จากตรงนี้ จึงเป็นหน้าที่ของบรรดานักวิชาการด้านศาสนา -ผู้ที่อัลลอฮฺทรงทำสัญญาอันแน่นหนาไว้กับพวกเขาให้พวกเขาต้องทำการเผยแผ่และส่งต่อความรู้ที่พวกเขาได้รับมาออกไป ผู้ที่ท่านร่อซู้ลของพระองค์ได้เตือนพวกเขาให้ระวังโทษทัณฑ์ของการปิดบังความรู้เอาไว้- ที่จะต้องตื่นตัวและแข็งขันในการเผยแพร่และส่งต่อหลักความเชื่อของพวกเขา -หลักความเชื่อของบรรดาซะลัฟ อั้ซศอและฮฺ ที่ท่านร่อซูลลุ่ลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอลัยฮิวะซั้ลลัม บรรดาศ่อฮาบะฮฺของท่านและบรรดาบุคคลที่ดำเนินตามพวกท่านอย่างดีเยี่ยมได้ยึดถือกันไว้-ออกไป เป็นหลักความเชื่อของจริงที่อัลลอฮฺทรงส่งมากับบรรดาร่อซูลของพระองค์ และประทานลงมาไว้ในบรรดาคัมภีร์ของพระองค์ -มาดหวังว่าพวกเขาจะสามารถช่วยปกป้องลูกหลานของพวกเขาให้พ้นภัยได้ทันท่วงทีก่อนที่จะต้องตกไปเป็นเหยื่อของศาสนาแห่งการปฏิเสธและการกร่นด่าซึ่งกำลังแผ่คลุมความชั่วร้่ายของมันอยู่อย่างกว้างขวาง และทวีความร้ายกาจของมันขึ้นอย่างรุนแรง
และขอให้บรรดานักวิชาการด้านศาสนาเหล่านั้นจงระวังพฤติกรรมอุตริซึ่งได้แก่การออกมาเรียกร้องให้พยายามทำการกระชับสัมพันธ์และลดช่องว่างระหว่างซุนนียฺกับชีอะฮฺเอาไว้ให้ดี เพราะการเข้าไปกระทำการเช่นนั้นไม่ใช่การทุ่มเทในหนทางของอัลลอฮฺแต่อย่างใด หากแต่ที่จริงแล้วมันคือการทุ่มเทไปในหนทางของไชยตอนต่างหาก
وصلى الله على محمد وآله وصحبه أجمعين