กลุ่มคนที่มีใบหน้าขาวผ่อง
  จำนวนคนเข้าชม  2252


กลุ่มคนที่มีใบหน้าขาวผ่อง

 

คอเฏ็บ อับดุลสลาม เพชรทองคำ

 

          ท่านพี่น้องผู้ศรัทธาทั้งหลาย อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาทรงสั่งใช้เราให้มีอัตตักวา คือมีความยำเกรงต่อพระองค์เพียงองค์เดียวเท่านั้น ดังนั้น เราจึงต้องสร้างความยำเกรงต่อพระองค์ให้เกิดขึ้นในหัวใจของเราให้ได้ โดยการศึกษา แสวงหาความรู้ในเรื่องราวของบทบัญญัติศาสนา พยายามทำความเข้าใจ และนำมาสู่การปฏิบัติ ด้วยการปฏิบัติตามคำสั่งใช้ของอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา โดยพยายามทำให้สุดกำลังความสามารถของเรา และในขณะเดียวกัน ก็ต้องออกห่างจากคำสั่งห้ามของพระองค์โดยสิ้นเชิง พร้อมกันนั้นก็ต้องปฏิบัติอิบาดะฮฺให้อยู่ในแบบฉบับของท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมด้วย ซึ่งเรื่องราวทั้งหมดนี้ก็คือ เรื่องราวที่ต้องอยู่ในแนวทางที่เรียกว่า อะฮฺลุซซุนนะฮฺ วัลญะมาอะฮฺ อันเป็นแนวทางที่นำเราไปสู่สวนสวรรค์ของอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา

 

         ท่านพี่น้องผู้ศรัทธาทั้งหลาย คำว่า อะฮฺลุซซุนนะฮฺ วัลญะมาอะฮฺ” มาจากคำ 3 คำ คือคำว่า อะฮฺลุ .. คำว่า อัซซุนนะฮฺ .. และคำว่า วัลญะมาอะฮฺ

 

     คำว่าอะฮฺลุหมายถึงครอบครัว พี่น้องหรือเพื่อนพ้อง หรือกลุ่มคน

 

     คำว่าอัซซุนนะฮฺตามบัญญัติศาสนาก็หมายถึง แนวทางหรือแบบฉบับของท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมในทุกๆเรื่อง ทั้งในเรื่องของหลักอะกีดะฮฺหรือหลักการเชื่อมั่นที่ท่านนบียึดถือ ทั้งในเรื่องของอิบาดะฮฺที่ท่านนบีได้ปฏิบัติไว้ ทั้งคำพูดของท่านนบีที่ได้สั่งสอนอบรมต่อผู้คน ทั้งการปฏิบัติตัวของท่านนบีในทุกๆวัน และรวมถึงการยอมรับของท่านนบีที่มีต่อสิ่งหนึ่งสิ่งใด แม้ว่าสิ่งนั้นท่านนบีจะไม่ได้พูดหรือปฏิบัติไว้ก็ตาม เช่น เมื่อท่านนบีได้ยินใครพูดในเรื่องหนึ่ง ที่ท่านไม่เคยพูดในเรื่องนั้นไว้ หรือเห็นใครปฏิบัติสิ่งหนึ่งที่ท่านนบีไม่เคยปฏิบัติในสิ่งนั้น แต่ท่านนบีไม่ได้คัดค้านหรือไม่ได้ห้ามในเรื่องเหล่านั้น ก็ถือว่าเรื่องเหล่านั้นเป็นอัซซุนนะฮฺด้วยเหมือนกัน

          อัซซุนนะฮฺ ยังรวมถึงคำพูดและการกระทำของบรรดาเศาะฮาบะฮฺของท่านนบีภายหลังจากที่ท่านนบีวะฟาตหรือเสียชีวิตไปแล้วด้วย ตรงนี้หมายความว่า ภายหลังจากที่ท่านนบีเสียชีวิตไปแล้ว เกิดมีคำพูด หรือการปฏิบัติของบรรดาเศาะฮาบะฮฺของท่านนบีในเรื่องใดก็ตามที่ไม่เคยปรากฏในสมัยท่านนบีเลย ก็ให้ถือว่า คำพูดและการปฏิบัติตัวของบรรดาเศาะฮาบะฮฺของท่านนบีในเรื่องนั้นก็ให้ถือเป็นซุนนะฮฺด้วยเหมือนกัน เพราะท่านนบีได้รับรองเกียรติของบรรดาเศาะฮาบะฮฺของท่านเอาไว้ และที่สำคัญ อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาก็ได้ทรงยกย่องเกียรติของบรรดาเศาะฮาบะฮฺของท่านนบีเอาไว้ด้วยเช่นกัน

 

     ส่วนคำว่าวัลญะมาอะฮฺก็มาจากคำว่าญัมอุการรวบรวมเข้าด้วยกัน ความหมายตามบัญญัติศาสนาก็หมายถึง กลุ่มคนที่ดำเนินตามอัซซุนนะฮฺของท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม

 

          ดังนั้นอะฮฺลุซซุนนะฮฺ วัลญะมาอะฮฺจึงหมายถึง กลุ่มคนที่มีเป้าหมายเดียวกันในอันที่จะยึดมั่นในอัซซุนนะฮฺของท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม และดำเนินชีวิตตามแบบฉบับของท่านนบี ปฏิบัติตามอัซซุนนะฮฺของท่านนบีในทุกๆเรื่อง ทั้งเรื่องของหลักอะกีดะฮฺ เรื่องของอิบาดะฮฺ เรื่องของอัคลาก จรรยามารยาทของท่านนบีด้วย และดำรงมั่นอยู่ในการเชื่อมั่นและการปฏิบัตินั้น ...นี่ก็คือความหมายโดยสรุปของอะฮฺลุซซุนนะฮฺ วัลญะมาอะฮฺ

 

          “อะฮฺลุซซุนนะฮฺ วัลญะมาอะฮฺ” จึงได้แก่กลุ่มคนที่เป็นบรรดาเศาะฮาบะฮฺของท่านนบี บรรดาลูกศิษย์ลูกหลานของบรรดาเศาะฮาบะฮฺที่เรียกว่า ตาบิอีน ตลอดจนบรรดาลูกศิษย์ลูกหลานของตาบิอีน ที่เรียกว่า ตาบิอิดตาบิอีน หรือที่บางทีเราก็เรียกรวมกันว่า บรรดาสะละฟุศศอลิหฺ หรือเรียกกันสั้นๆว่า บรรดาสะลัฟ 

 

          ซึ่งเป็นบรรดาบรรพชนคนดีๆ เป็นคนศอลิหฺที่ปฏิบัติตามซุนนะฮฺของท่านนบี ในยุค 300 ปีแรกของอิสลาม รวมตลอดไปจนถึงบรรดาผู้คนในยุคต่อๆมาหลังจากยุค 300 ปีนั้น แล้วก็เรื่อยมาจนถึงผู้คนในยุคของเรา และผู้คนในยุคต่อๆไป จนถึงวันกิยามะฮฺที่พวกเขาก็ยึดมั่นและปฏิบัติตาม และเรียกร้องเชิญชวนผู้คนไปสู่แนวทางเดียวกับบรรดาสะลัฟ ตามหลักฐานจากอัลกุรอานและอัลหะดีษหรือซุนนะฮฺของท่านนบี บนพื้นฐานการเข้าใจของบรรดาสะลัฟ จะต้องไม่ใช่การเข้าใจความหมายอัลกุรอานเอาเอง ตีความหมายของอัลกุรอานเอาเอง หรือเข้าใจอัลหะดีษเอาเอง อยากจะให้ความหมายตามที่ตัวเองอยากจะได้ ก็แปลความหมายไปตามนัฟซู อารมณ์ของตัวเอง อย่างนี้ไม่ถูกต้อง แต่ต้องเข้าใจตัวบทบัญญัติศาสนาตามแบบที่บรรดาสะลัฟเข้าใจ ซึ่งความเข้าใจนั้นก็มีที่มาจากท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม

 

          ท่านพี่น้องผู้ศรัทธาทั้งหลาย คำว่าอะฮฺลุซซุนนะฮฺ วัลญะมาอะฮฺเป็นคำที่ปรากฏอยู่ในคำอธิบายอัลกุรอานของท่านอับดุลลอฮฺ อิบนิ อับบาส เราะฎิยัลลอฮุอันฮุ เศาะฮาบะฮฺคนสำคัญท่านหนึ่งของอิสลาม โดยที่ท่านได้ทำการอธิบายอัลกุรอานในซูเราะฮฺอาละอิมรอน อายะฮฺที่ 106 ที่ว่า

 

يَوْمَ تَبْيَضُّ وُجُوهٌ وَتَسْوَدُّ وُجُوهٌ ۚ

 

วันซึ่งบรรดาใบหน้าขาวผ่อง และบรรดาใบหน้าหมองคล้ำ....”

 

          อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาทรงบอกว่า ในวันกิยามะฮฺจะปรากฏใบหน้าของกลุ่มคนอยู่ 2 ประเภท นั่นก็คือ กลุ่มคนที่มีใบหน้าขาวผ่อง กับกลุ่มคนที่มีใบหน้าหมองคล้ำ ซึ่งท่านอับดุลลอฮฺ อิบนิ อับบาส ได้อธิบายว่า ในวันกิยามะฮฺนั้น ผู้ที่บรรดาใบหน้าขาวผ่องใสจะหมายถึง บรรดาอะฮฺลุซซุนนะฮฺ วัลญะมาอะฮฺ ..ส่วนบรรดาใบหน้าหมองคล้ำจะหมายถึงบรรดาอะฮฺลุลบิดอะฮฺ ซึ่งในคำอธิบายของท่านอื่นๆนั้น บรรดาคนที่มีใบหน้าหมองคล้ำรวมถึงบรรดามุนาฟิกและบรรดากุฟฟาร ผู้ปฏิเสธศรัทธาด้วย

 

          ดังนั้น ถ้าหากเราใช้ชีวิตประจำวันของเราให้อยู่ในแนวทางของอะฮฺลุซซุนนะฮฺ วัลญะมาอะฮฺในวันนี้ ก็จะทำให้เราเป็นผู้ที่มีใบหน้าขาวผ่องใสในวันกิยามะฮฺ ในขณะที่คนที่อยู่ในแนวทางของอะฮฺลุลบิดอะฮฺในวันนี้ ก็จะทำให้พวกเขามีใบหน้าหมองคล้ำในวันกิยามะฮฺ ตามคำอธิบายของท่านอับดุลลอฮฺ อิบนิ อับบาส

 

อะฮฺลุลบิดอะฮฺคือใคร ?

 

     อะฮฺลุลบิดอะฮฺ มาจากคำ 2 คำ คือคำว่าอะฮฺลุหมายถึงครอบครัว พี่น้องหรือเพื่อนพ้อง หรือ กลุ่มคน

 

     บิดอะฮฺ หมายถึงสิ่งที่เป็นอุตริกรรม หรือสิ่งที่ทำขึ้นมาใหม่ในเรื่องของบทบัญญัติศาสนา ทั้งในเรื่องของอะกีดะฮฺความเชื่อ ที่ท่านนบีไม่เคยเชื่อ และเรื่องของอิบาดะฮฺ ที่ท่านนบีไม่เคยทำมาก่อน บรรดาเศาะฮาบะฮฺก็ไม่เคยเชื่อไม่เคยทำ บรรดาสะลัฟไม่เคยเชื่อแล้วก็ไม่ได้ทำ

 

          ดังนั้น อะฮฺลุลบิดอะฮฺ จึงมีความหมายถึง กลุ่มคนที่เขามีอะกีดะฮฺหรือมีความคิดความเชื่อ มีการปฏิบัติอิบาดะฮฺที่เอนเอียงออกจากอัซซุนนะฮฺที่ถูกต้องของท่านนบี เป็นพวกที่ทำให้ผู้คนออกห่างไปจากอัซซุนนะฮฺของท่านนบี เป็นพวกที่ละทิ้งการตักเตือน ไม่ยอมห้ามปรามความผิดตามบทบัญญัติศาสนาที่เกิดขึ้น และไม่ยอมกำชับใช้ให้ปฏิบัติในเรื่องที่ถูกต้องตามบทบัญญัติศาสนา ซึ่งท่านนบียืนยันว่า คนที่ทำบิดอะฮฺนั้น พวกเขาเป็นผู้ที่หลงผิด (อันนี้ไม่ได้หุก่มตัวบุคคล แต่พูดถึงลักษณะของแนวทางของพวกเขาที่หลงผิด) ...นี่ก็คือความหมายโดยสรุปของอะฮฺลุลบิดอะฮฺ

 

          อะฮฺลุลบิดอะฮฺ ได้แก่ กลุ่มเคาะวาริจญ์ กลุ่มชีอะฮฺ กลุ่มอะชาอิเราะฮฺ กลุ่มก็อดยานีย์ กลุ่มศูฟีย์ กลุ่มตะรีกัต กลุ่มมุรญิอะฮฺ กลุ่มญะมียะฮฺ กลุ่มมุอฺตะศิละฮฺ กลุ่มอิควานุลมุลิมูน และกลุ่มอื่นๆอีกมากมายหลายกลุ่ม อันนี้ไม่ได้ตัดสินเอาเอง แต่พูดตามคำฟัตวาของบรรดาอุละมาอ์ ที่ท่านได้ให้คำตักเตือนเอาไว้ ซึ่งกลุ่มต่างๆเหล่านี้เป็นกลุ่มที่ท่านนบีบอกว่า ประชาชาติของฉันจะแตกออกเป็น 73 กลุ่ม แต่มีกลุ่มเดียวที่ได้เข้าสวรรค์ 

 

          อันนี้ไม่ได้หมายความว่าเป็น 73 กลุ่มพอดีๆ แต่หมายถึงว่า แตกออกไปอย่างมากมาย เป็นกลุ่มคนที่ประกาศตัวเองว่าเป็นมุสลิม แต่มีความคิดความเชื่อบางเรื่องที่ท่านนบีไม่ได้คิดไม่ได้เชื่อ มีการปฏิบัติอิบาดะฮฺที่ท่านนบีไม่ได้ปฏิบัติไว้ ซึ่งท่านนบีพูดเองว่า สิ่งต่างๆที่ท่านนบีไม่เคยเชื่อ ไม่เคยปฏิบัติ ถ้าใครไปคิดไปปฏิบัติ สิ่งนั้นมันเป็นบิดอะฮฺ แล้วบิดอะฮฺบางเรื่องนำไปสู่การปฏิเสธศรัทธา บิดอะฮฺบางเรื่องนำไปสู่การตั้งภาคีต่ออัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา บิดอะฮฺบางเรื่องเป็นมะอ์ศิยะฮฺ การทำที่เป็นบาป ซึ่งรายละเอียดของกลุ่มต่างๆเหล่านี้ว่าพวกเขาหลงผิดอย่างไรนั้น คงไม่มีโอกาสนำมาพูดในวันนี้ แต่สามารถศึกษาหาอ่านได้จากหนังสือตำราของนักวิชาการหลายๆท่านที่มีพิมพ์กันอยู่หลายเล่มในเรื่องที่เกี่ยวกับฟิร็อก กลุ่มต่างๆที่หลงผิด

 

          ท่านพี่น้องผู้ศรัทธาทั้งหลาย บิดอะฮฺเหล่านี้ยังคงแพร่หลายอยู่ในสังคมรอบๆตัวเรา ไม่ได้หายไปไหน แต่อยู่ใกล้ๆ ตัวเรา ยังคิดยังทำกันยังเห็นกันอย่างแพร่หลาย จึงเป็นเรื่องที่เราต้องระมัดระวังตัวเรา ครอบครัวของเรา เพราะถ้าเราไม่ระวัง ไม่ได้ให้ความสำคัญ มันจะทำให้ความคิดความเชื่อที่เป็นบิดอะฮฺ การปฏิบัติอิบาดะฮฺที่เป็นบิดอะฮฺ อาจจะแทรกซึมเข้ามาอยู่ในความนึกคิดของเรา อยู่ในการปฏิบัติตัวของเราโดยที่เราไม่ทันรู้ตัว เพราะมันมีการล่อลวงของชัยฏอน และชะฮฺวะฮฺ อารมณ์ใฝ่ต่ำในตัวเรามันยังคงทำงานอยู่ตลอดเวลา

 

          ดังนั้น เพื่อเป็นการป้องกันตัวเรา ให้เรายังคงดำรงสถานะของอะฮฺลุซซุนนะฮฺ วัลญะมาอะฮฺไว้ได้อย่างตลอดรอดฝั่ง บรรดาอุละมาอ์จึงได้มีคำตักเตือนมายังเรา ไม่ให้เราไปคลุกคลีกับพวกเขา ไม่ให้ไปอ่านตำรับตำราของพวกเขา เว้นแต่เพื่อการตักเตือน เพราะการอยู่ใกล้ชิดกับพวกเขา คลุกคลีกับพวกเขา มันก็คือชะฮฺวะฮฺของเรา โอกาสที่เราจะถูกกลมกลืนให้ไปมีความคิดแบบพวกเขามันก็เป็นไปได้ง่าย และโดยไม่ทันรู้ตัว เพราะมันมีการล่อลวงของชัยฏอนคอยผสมโรงอยู่ด้วย เป็นเรื่องที่เราต้องพยายามหลีกห่างตามคำตักเตือนของบรรดาอุละมาอ์ เพราะแต่ละกลุ่มก็จะได้รับผลตอบแทนจากอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาไม่เหมือนกัน

 

     ในอัลกุรอานซูเราะฮฺอาละอิมรอน อายะฮฺที่ 106 อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาตรัสว่า

 

فَأَمَّا الَّذِينَ اسْوَدَّتْ وُجُوهُهُمْ أَكَفَرْتُم بَعْدَ إِيمَانِكُمْ فَذُوقُوا الْعَذَابَ بِمَا كُنتُمْ تَكْفُرُونَ

 

     “ส่วนผู้ที่ใบหน้าของพวกเขาดำหมองคล้ำ (พวกเขาจะถูกถามว่า)

     พวกเจ้าได้ปฏิเสธศรัทธาหลังจากที่พวกเจ้าศรัทธาแล้วกระนั้นหรือ ?

     ดังนั้น พวกเจ้าจงลิ้มรสการถูกลงโทษเถิด อันเนื่องมาจากการที่พวกเจ้าปฏิเสธศรัทธา

 

     ส่วนผลตอบแทนที่บรรดาผู้ที่ใบหน้าของพวกเขาขาวผ่องจะได้รับอยู่ในอายะฮฺที่ 107 อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะอาลาตรัสว่า

 

وَأَمَّا الَّذِينَ ابْيَضَّتْ وُجُوهُهُمْ فَفِي رَحْمَةِ اللَّهِ هُمْ فِيهَا خَالِدُونَ

 

     “ส่วนบรรดาผู้ที่ใบหน้าของพวกเขาขาวผ่องใสนั้น พวกเขาจะอยู่ในความเมตตาของอัลลอฮฺ

     โดยพวกเขาจะอยู่ในความเมตตานั้นตลอดกาล

 

         นั่นก็หมายความว่า คนที่เขาอยู่ในแนวทางของอะฮฺลุลบิดอะฮฺ ทั้งๆที่เขาก็ประกาศตัวเองว่าเป็นมุสลิม แต่ในวันกิยามะฮฺ เขาจะได้รับการลงโทษในไฟนรก ในขณะที่คนที่เขาดำรงตนอยู่ในแนวทางของอะฮฺลุซซุนนะฮฺ วัลญะมาอะฮฺนั้น ในวันกิยามะฮฺ พวกเขาจะได้รับความเมตตาจากอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาให้ได้มีที่พำนักอยู่ในสวนสวรรค์ของพระองค์ตลอดไป

 

          ท่านพี่น้องผู้ศรัทธาทั้งหลาย นั่นก็คือผลตอบแทนที่แต่ละกลุ่มจะได้รับในวันกิยามะฮฺ ซึ่งมันมีความแตกต่างกัน อยู่ที่เราว่าจะเลือกอยู่ในคนกลุ่มใด ..ความคิดความเชื่อและการปฏิบัติตัวใน

 

          ชีวิตประจำวันของเราในทุกๆวัน จะเป็นตัวกำหนดกลุ่มที่เราจะไปอยู่ในวันกิยามะฮฺ ว่าจะเป็นกลุ่มที่มีใบหน้าขาวผ่องใส หรือกลุ่มที่มีใบหน้าหมองดำคล้ำ ดังนั้น ก่อนจบคุฏบะฮฺในวันนี้ ก็ขอเน้นย้ำว่า การเป็นมุสลิมอย่างเดียวไม่เพียงพอที่จะนำเราไปสู่สวรรค์ แต่ต้องเป็นมุสลิมที่อยู่ในแนวทางของอะฮฺลุซซุนนะฮฺ วัลญะมาอะฮฺเท่านั้น

 

          สุดท้ายนี้ ขออัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาโปรดให้เราทุกคนเป็นผู้ที่เห็นความสำคัญของการเป็นอะฮฺลุซซุนนะฮฺ วัลญะมาอะฮฺ และดำรงตนอยู่ในแนวทางของอะฮฺลุซซนะฮฺ วัลญะมาอะฮฺ และเป็นผู้ที่ออกห่างจากแนวทางของอะฮฺลุลบิดอะฮฺตลอดไป

 

 

มัสยิดดารุ้ลอิห์ซาน