(น้ำเมา)ภัยที่มุสลิมควรคำนึง
โดย ... อ.อันวาร มูฮัมหมัดสอี๊ด
อิสลามเป็นศาสนาที่ใช้ให้มุสลิมนอบน้อม และยอมจำนนต่ออัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา โดยการปฏิบัติตามบัญญัติแห่งอิสลามที่พระองค์ทรงให้ร่อซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม นำมาเผยแผ่ อันจะนำมาซึ่งสันติสุขแก่สากลโลก ทั้งในส่วนบุคคลและส่วนรวม
อิสลาม คือ ธรรมนูญชีวิต เมื่อชีวิตประกอบด้วยร่างกายและจิตใจ อิสลามจึงไม่แยกทางโลกออกจากทางธรรม แต่อิสลามถือว่า ทุกลมหายใจของมนุษย์เกี่ยวข้องกับอิสลามทั้งสิ้น ฉะนั้น จึงไม่แปลกเลยที่คัมภีร์อัลกุรอาน และคำสอนของท่านศาสดามุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม มีบัญญัติพาดพิงไปถึงชาวโลกโดยทั่วไป
ดังนั้น มนุษย์จึงจำเป็นต้องมีหลักคุณธรรมแสดงออกด้วยการนอบน้อม และขัดเกลาจิตใจให้สะอาด ปราศจากความโลภ โกรธ หลง และ การมัวเมาในกิเลสตัณหา มีจรรยามารยาทที่งดงาม มีความสำนึกอยู่เสมอว่า อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ทรงตระหนักถึงสิ่งที่อยู่ในใจ และการกระทำของเขา ไม่ว่าเขาจะอยู่ ณ ที่ใด
หลักการของอิสลาม มิได้สอนให้คนเราเป็นบุคคลที่ปฏิบัติตามผู้อื่น โดยไม่มีเหตุผล หรือโดยไม่รู้อะไรเลย อิสลามกระตุ้นให้ทุกๆ คนได้เรียนรู้ให้ศึกษา เพื่อตัวเราจะได้รอดพ้นจากสภาพต่างๆ ที่ทำให้เราตกต่ำลงไปเรื่อยๆ จนในที่สุดก็จะไม่มีความเป็นผู้ศรัทธาตามแบบฉบับของอัลอิสลาม
ในปัจจุบัน หนุ่มสาวถือว่าเป็นพลังอันสำคัญ แต่ทุกคนก็มองว่า หนุ่มสาวยุคนี้น่าพิศสวาทมาก เพราะฉะนั้น หากเราไม่สามารถปกป้องพลังหนุ่มสาวให้มีอีมาน และยึดหลักการของอิสลามที่ถูกต้อง และแน่นอนพวกเขาเหล่านั้น ก็จะเติบโตขึ้นมาเหมือนกับฟองน้ำ หรือผักตบชวาที่ลอยอยู่เหนือผิวน้ำ ซึ่งก็สุดแต่ว่า กระแสน้ำจะพัดพาไปทางไหน จริงๆ แล้วใช่ว่าพวกเขาอยากจะเดินไปในหนทางที่ผิด แต่เขาเหล่านั้น ได้ก้าวถลำไปเพราะความรู้เท่าไม่ถึงการณ์
คนเราอยู่ในโลกดุนยานี้ อะไรคือสิ่งที่หวงแหนที่สุด? เงินทองหรือเปล่า? ถ้าเราหวงแหนเงินทอง เงินทองจะอยู่กับเราเพียงแค่ชั่วอายุเราเท่านั้น เมื่อเราตายไป มันก็จะตกเป็นของคนอื่น และถ้าเราหวงแหนในยศถาบรรดาศักดิ์ เมื่อเราตายไปยศถาบรรดาศักดิ์เหล่านั้น ก็ตายตามไปกับเราด้วย ดังนั้น สิ่งจำเป็นที่เราจะต้องหวงแหนเหนือสิ่งอื่นใด คือ อัลอิสลาม
ในยุคปัจจุบัน เราจะเห็นได้ว่า เยาวชนหนุ่มสาวของเรากำลังมีความเชื่อในสิ่งที่ผิดๆ ด้วยการปฏิบัติตามอารยธรรม ประเพณีของโลกตะวันตก และกำลังเคลิบเคลิ้มอยู่กับความศิวิไลซ์ของโลกดุนยา มีการเสพสิ่งมึนเมา สารเสพติด การห้ามดื่มสุรา (น้ำเมา) ก็เป็นอีกบัญญัติหนึ่งที่อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ได้ทรงกำหนดให้เป็นบัญญัติห้ามแก่มุสลิมทุกคน
เดิมทีชนอาหรับในยุคก่อนอิสลาม (ญาฮิลียะฮฺ) มีความนิยมชมชอบในการดื่มสุรา (น้ำเมา) ต่อเมื่อท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้อพยจากมักกะฮฺไปสู่มะดีนะฮฺก็ได้เกิดคำถามในหมู่มุสลิมเกี่ยวกับสุรา (น้ำเมา) และการพนัน ซึ่งพวกเขาเห็นถึงความเลวร้าย ความเสื่อมเสียของการดื่มสุรา (น้ำเมา) และการพนัน อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ได้มีบัญญัติห้ามไว้ ในพระมหาคัมภีร์อัลกุรอาน ซูเราะฮฺอัลบะกอเราะฮฺ อายะฮฺที่ 219 โดยที่พระองค์ตรัสไว้ว่า
“พวกเขาจะถามเจ้าเกี่ยวกับน้ำเมาและการพนัน ดังนั้น มุฮัมมัด จงกล่าวเถิดว่า ทั้งสองนั้นมีโทษมหันต์ และมีคุณหลายอย่างแก่มนุษย์ แต่โทษของมันทั้งสองนั้นมากกว่าคุณของมัน”
(อัลบะกอเราะฮฺ 2 : 219)
การดื่มสุรา (น้ำเมา) การเล่นการพนัน เป็นสิ่งที่จะก่อให้เกิดความเดือดร้อน ความเสื่อมเสียแก่ตัวเอง และสังคมโดยรวม แต่คุณประโยชน์ของมันก็มีเช่นเดียวกัน ได้แก่ การค้าที่ได้รับผลกำไร อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ได้กำหนดบัญญัติห้ามเกี่ยวกับสุราและการพนันทีละขั้น ทีละตอน เดิมทีอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ได้มีบัญญัติห้ามขณะที่จะทำการละหมาด ดังที่พระองค์ตรัสไว้ว่า
“ผู้ที่มีอีมานแล้วทั้งหลาย พวกเจ้าทั้งหลายจงอย่าเข้าใกล้การละหมาด ขณะที่พวกเจ้ากำลังมึนเมาอยู่ (เนื่องจากการดื่มสุรา) จนกว่าพวกเจ้าจะรู้สึกถึงสิ่งที่พวกเจ้าพูด (จนกว่าจะสร่างเมา และรู้ได้ว่าพูดหรือได้อ่านอะไรออกไป)”
(อันนิซาอฺ 4 : 43)
หลังจากนั้น อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ได้บัญญัติห้ามอย่างเด็ดชาด โดยที่พระองค์ตรัสไว้ใน ซูเราะฮฺ อัลมาอิดะฮฺ อายะฮฺที่ 90 – 91 ที่ว่า
“บรรดาผู้ที่มีอีมานทั้งหลาย อันที่จริงสุรา (น้ำเมา) การพนัน แท่นหิน สำหรับเชือดสัตว์ บูชายัน และการเสี่ยงติ้วนั้น เป็นสิ่งโสมม อันเกิดจากการกระทำของชัยฏอน (มารร้าย) ดังนั้น พวกเจ้าจงห่างไกลจากมันเสีย เพื่อว่าพวกเจ้าจะได้รับความสำเร็จ
อันที่จริง ชัยฏอน (มารร้าย) นั้น เพียงต้องการที่จะให้เกิดการเป็นศัตรูกัน และเกลียดชังกันระหว่างพวกเจ้าในสุราและการพนันเท่านั้น และมันจะหันเหพวกเจ้าออกจากการรำลึกถึงอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา และการละหมาด แล้วพวกเจ้าจะยุติไหม”
(อัลมาอิดะฮฺ 5 : 90 – 91)
หมายถึง : การดื่มสุรา (น้ำเมา) และการเล่นการพนัน มันทั้งสองนั้นจะก่อให้เกิดการวิวาท การผูกใจเจ็บต่อกัน และผู้ที่มึนเมานั้นง่ายแก่การที่ชัยฏอนจะชักจูงเขาให้ไปทางไหนก็ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการหันเหออกจากการรำลึกถึงอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา และการละหมาด
ในส่วนของการพนันก็จะทำให้ ผู้เล่นมุ่งเน้นที่จะได้รับผลกำไร จึงไม่มีช่วงรำลึกถึงอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา และไม่มีเวลาไปทำละหมาด อิสลามได้บัญญัติห้ามไว้ก็เพราะเมื่อมนุษย์ได้ดื่มสุราเข้าไปจะทำให้ไม่สามารถครองสติได้ และจะกลายเป็นสัตว์ร้ายกระทำได้ทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการทำร้ายผู้อื่นหรือคนรอบข้าง
ท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้กล่าวไว้ จากรายงานของ อับดุลลอฮฺ อิบนิ อัมรฺ ร่อฎิยัลลอฮุอันฮุ
“สุรา (น้ำเมา) นั้น คือ รากฐานแห่งความชั่วร้ายโสมม”
อีกรายงานหนึ่ง จากอับดุลลอฮฺ อิบนุ อัมรฺ ร่อฎิยัลลอฮุอันฮุ ว่า แท้จริง ท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้กล่าวไว้
“สุรา (น้ำเมา) นั้น เป็นต้นเหตุแห่งความชั่วช้า และเป็นบาปใหญ่ ดังนั้น ผู้ใดที่ดื่มสุราก็จะทิ้งละหมาด และจะสมสู่กับแม่ของเขา สมสู่กับน้าสาวของเขา และสมสู่กับป้าของเขา”
(บันทึกโดย อัฏฏ็อบรอนีย์)
อนึ่ง : สุรา (น้ำเมา) นั้น มิได้มีบัญญัติห้ามเฉพาะในศาสนาอิสลาม แต่ยังมีบัญญัติห้ามไว้ในศาสนาคริสต์ด้วยเช่นกัน ในนิกายโรมันคาทอลิค มีบัญญัติห้ามเรื่องสุรา (น้ำเมา) ซึ่งระบุในคัมภีร์ไบเบิ้ลเก่า ได้กล่าวว่า : อันที่จริงสิ่งมึนเมาทั้งหลายเป็นที่ต้องห้ามในทุกคัมภีร์ ไม่ว่าสิ่งมึนเมานั้นจะมาจากองุ่น ข้าวสาลี อินทผลัม น้ำผึ้งหรือแอปเปิ้ลก็ตาม และในไบเบิ้ลใหม่ซึ่งโปล นักปรัชญาชาวกรีซได้กล่าไว้ว่า “ท่านทั้งหลาย จงอย่าเสพสิ่งมึนเมา เสพสุรา (น้ำเมา) เพราะจะทำให้เกิดอลหม่าน ยุ่งเหยิง และใช้ชีวิตอย่างเสเพล”
อันตรายของสุรา (น้ำเมา) หากเราจะถามผู้รู้ทุกแขนง เราจะพบว่า ผู้รู้ทั้งหลายนั้น จะมีคำตอบตรงกันว่า ในสุรา (น้ำเมา) มีอันตรายอย่างมากต่อร่างกาย จิตใจ และสังคมโดยรวม
♣ ในด้านศาสนา การเสพสิ่งมึนเมา เป็นที่ต้องห้ามตามบัญญัติ และเป็นต้นเหตุแห่งความชั่วช้า โสมม
♣ ในด้านการแพทย์ การเสพสิ่งมึนเมา เป็นอันตรากับอวัยวะทุกส่วนของร่างกาย ถ้าดื่มมากๆ จะนำมาซึ่งโรคพิษสุราเรื้อรัง โมโหร้าย
♣ ในด้านจริยธรรม การเสพสิ่งมึนเมา จะทำให้เป็นคนแข็งกระด้าง ไร้เกียรติยศ ความอ่อนหวาน นอบน้อม
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าประเทศที่เจริญนั้น ทุกประเทศได้รณรงค์ให้งดเว้นการเสพสิ่งมึนเมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งสหรัฐอเมริกา ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นประเทศที่เจริญในทุกๆ ด้าน ได้มีการรณรงค์ให้ประชากรอเมริกัน ละ ลด เลิก การเสพสิ่งมึนเมา สุรา ซึ่งอเมริกาเองทุ่มงบประมาณด้านสื่อทุกด้าน และรัฐบาลให้งบประมาณมากถึง 60 ล้านดอลลาร์ และใช้เวลาในการรณรงค์มากถึง 14 ปี แต่ก็ไร้ผล จนกระทั่งปี ค.ศ. 1933 ได้ยกเลิกกฎหมาย และอนุญาตให้คนอเมริกันดื่มสุราได้ ซึ่งแสดงถึงว่า สหรัฐอเมริกาไร้ความสามารถอย่างสิ้นเชิง ในการห้ามดื่มสิ่งมึนเมา
แต่ศาสนาอิสลามนั้น เป็นศาสนาแห่งการป้องกันและเป็นศาสนาที่บัญญัติชัดเจนจากอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ได้ปลูกฝังจิตใจมุสลิมให้มีอีมานอย่างแท้จริง อันใดที่อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา สั่งใช้เราทั้งหลายในฐานที่เป็นบ่าวของอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา และเป็นประชาชาติของศาสดามุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม จำเป็นจะต้องยึดปฏิบัติโดยไม่มีข้อแม้ และอันใดที่อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา และร่อซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม สั่งห้าม เราทั้งหลายจะต้องงดเว้น ออกห่าง และหลีกเลี่ยงโดยสิ้นเชิง นี่คือ ศาสนาอิสลามที่มีบัญญัติ มีระเบียบ ครอบคลุมตั้งแต่มนุษย์ลืมตาดูโลกดุนยา จนกระทั่งจบชีวิตจากโลกดุนยานี้ไป
ถาม : การเสพสิ่งมึนเมา ดื่มสุรา (น้ำเมา) อิสลามมีบัญญัติลงโทษไว้อย่างไรบ้าง?
ตอบ : อิสลามมีบทลงโทษผู้ที่ละเมิดบัญญัติด้วยการดื่มสุรา (น้ำเมา) มีรายงานฮะดิษ จากท่านอนัส เล่าว่า
ท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้โบยผู้ที่ดื่มสุราด้วยก้านอินทผลัม
ในสมัยท่านอบูบักร ท่านได้โบยผู้ที่ดื่มสุรา 40 ที
ในสมัยของท่านอุมัร ประชาชนตามชนบทในตำบลต่างๆ ดื่มสุรากันอย่างแพร่หลาย
ท่านจึงกล่าวว่า “ท่านมีความเห็นอย่างไรเกี่ยวกับดื่มสุรา”
อับดุรเราะฮฺมาน อิบนิ เอาฟฺ กล่าวว่า “ข้าพเจ้ามีความเห็นว่า ท่านควรจะทำให้มีการลงทัณฑ์หนักที่สุด”
ท่านอุมัร จึงได้โบยผู้ที่ดื่มสุรา 80 ที
ด้านนักนิติศาสตร์อิสลาม มีความเห็นตรงกันว่า สำหรับผู้ที่ดื่มสุรา จำเป็นต้องลงโทษโดยการโบย แต่มีความเห็นต่างกันในเรื่องจำนวนครั้ง
ความเห็นของอิมาม ชาฟิอีย์ และอิมาม อะฮฺมัด อิบนิ ฮัมบัล ให้โบยผู้ดื่มสุรา 40 ที
ส่วนความเห็นของอิมาม ฮานาฟี กับอิมาม มาลิก ให้โบย 80 ที
ส่วนเงื่อนไขในการโบยนั้น ผู้ดื่มจะต้องเป็นผู้ที่บรรลุนิติภาวะ มีสติสัมปชัญญะ และจะต้องดื่มด้วยความสมัครใจ การโบยจำเป็นจะต้องให้ผู้ดื่มสุราสร่างเมาเสียก่อน พร้อมกันนี้ก็ไม่อนุญาตให้นำสุรามาทำเป็นยา
“ท่านฏอริก อิบนิ สุวัยดฺ ได้ถามท่านร่อซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม เกี่ยวกับสุรา ท่านได้สั่งห้าม เขากล่าวต่อไปว่า ข้าพเจ้านำมันมาทำยา
ท่านศาสดากล่าวว่า มันไม่ใช่ยา แต่มันคือ โรค”
(บันทึกโดย อิมามอะฮฺมัด มุสลิม อบูดาวูด และอัตติรมิซีย์)
ที่มา : อนุสรณ์งานประจำปี โรงเรียนมุสลิมวิทยาคาร 28 มกราคม 2555