น้ำตาของท่านนบี ผู้เป็นที่รัก
อ.อิลยาส วารีย์ เรียบเรียง
1. น้ำตาแห่งความกังวลใจ จากท่านอิบนุอับบาซ ท่านได้กล่าวไว้ โดยมีใจความส่วนหนึ่งที่ว่า
“ในช่วงเวลาที่ร้อนจัดของบ่ายวันหนึ่ง (ซึ่งปกติ ท่านนบีและศอฮาบะฮฺจะนอนช่วงบ่าย ที่เรียกว่า “กอยลูละฮฺ” กัน) ท่านอบูบักรได้ออกมาเดินเตร่อยู่นอกบ้าน
เมื่อท่านอุมัรที่ออกมาเช่นกันได้มาเจอ จึงถามท่านอบูบักรว่า “อะไรทำให้ท่านออกมาในช่วงเวลานี้?”
ท่านอบูบักรตอบว่า “เพราะความหิวที่เกินจะทน”
เมื่อได้ยินท่านอุมัรจึงพูดว่า “ที่ฉันออกมาก็ด้วยเหตุผลเดียวกันนี้”
ทั้งคู่จึงเดินด้วยกันจนมาพบกับท่านนบี ท่านนบีได้ถามเหตุที่ท่านทั้งสองออกมาในช่วงเวลานี้ เมื่อได้ฟังคำตอบ ท่านนบีจึงพูดว่า “ขอสาบานต่อผู้ที่ชีวิตฉันอยู่ในมือของพระองค์ ที่ฉันต้องออกมาเดินข้างนอกในช่วงเวลานี้ก็ด้วยเหตุผลเดียวกันกับพวกท่านทั้งสอง”
ท่านนบีจึงพาท่านทั้งสองไปหาท่านอบูอัยยูบอัลอันศอรี ซึ่งปกติท่านนอบูอัยยูบมักจะมีอาหารไว้รอต้อนรับท่านนบี
เมื่อท่านอบูอัยยูบเห็นท่านนบี ท่านอบูบักร และท่านอุมัร ท่านดีใจมากและรีบเชิญแขกทั้งสามเข้าบ้าน
และนำอินทผลัมทั้งทะลายมาเลี้ยงแขก โดยท่านได้เลือกเอาทะลายที่มีอินผลัมที่อยู่ในช่วงระยะกินได้ที่หลากหลายมา มีทั้งอินทผลัมในช่วงบุซร (ช่วงที่มีรสฝาด คล้ายระยะมะม่วงดิบ) ในช่วงรุต้อป (มีรสหวานสด คล้ายระยะมะม่วงสุก) ในช่วงตะมัร (มีรสหวานเข้ม คล้ายระยะ ลูกเกต)” และท่านได้เชือดแพะ (หรือแกะ) มาย่างเลี้ยง เสริฟพร้อมกับ โรตีอาหรับ (แป้งแดงนวดกับน้ำ)
เมื่ออาหารถูกนำมาเสริฟท่านนบีได้ขอให้ท่านอบูอัยยูบจัดสำหรับส่วนหนึ่งไปให้ท่านหญิงฟาติมะฮฺ (ลูกสาวของท่านนบี) ด้วย เพราะนางเองก็ไม่ได้ทานอาหารอะไรมาหลายวันแล้วเช่นเดียวกับท่านนบี ท่านอบูบักร และท่านอุมัร
เมื่อท่านนบีทานอาหารเสร็จ ท่านก็ได้ร้องไห้ และพูดขึ้นมาว่า
“อาหารเหล่านี้ คือ ส่วนหนึ่งของความโปรดปราน (ที่พวกท่านได้จากอัลลอฮฺ) และพวกท่านจะต้องถูกสอบสวนถึงทุกความโปรดปรานที่พวกท่านได้รับ (ต่อหน้าพระองค์ในวันกิยามะฮฺ)”
(บันทึกโดยอิมามติรมิซี อิมามอบูยุอฺลา และอิมามอัลฮัยษะมี)
อาหารที่ท่านนบีได้ทานทั้งปี อาจจะไม่เท่ากับสำรับของบางคนในรอบ 1 เดือน แต่หลังจากที่อดอยากมานาน เมื่อท่านได้ทานอาหาร ท่านกลับกลัวและกังวลว่าท่านจะตอบอัลลอฮฺได้หรือไม่ว่า ริสกีที่ท่านได้รับจากพระองค์นี้ ท่านได้ทดแทนต่อพระองค์แล้วอย่างเต็มความสามารถหรือยัง ? ท่านกลัวจนท่านร้องไห้!! ...
อาหารเลิศหรูที่พวกเราได้ทานมาไม่รู้กี่มื้อ ทำให้เราหลงลืมอัลลอฮฺ ทำให้เราขอบคุณพระองค์ หรือ ทำให้เรากังวลบ้างแค่ไหน?
แล้วน้ำตาของพวกเรามีไว้เพื่ออะไร?
2. หลายครั้งที่บททดสอบของชีวิตไม่ได้เปิดโอกาสให้พวกเราได้เลือกอะไรมาก...เมื่อมันถาโถมเข้ามา เราก็ได้แต่หวังความเมตตาของอัลลอฮฺว่ามันจะผ่านพ้นเราไปโดยไม่ทำให้เราสูญเสียจุดยืนของเราไปด้วย ...
จากท่านหญิงอัสมาอฺ บุตรีของอุมัยซฺ ได้กล่าวว่า“เมื่อ ญะอฺฟัร (สามีของนาง) และกลุ่มของเขาได้เสียชีวิต (ในสงคราม มุอฺตะฮฺ)
ท่านนบีได้เข้ามาเยี่ยมฉัน (ซึ่งในตอนนั้นนางยังไม่ได้ข่าวการเสียชีวิตของสามีของนาง)ในช่วงที่ฉันเพิ่งฟอกหนังเสร็จไป 40 ผืน เพิ่งเสร็จจากการนวดแป้ง และอาบน้ำปะแป้งแต่งตัวลูกๆ
ท่านรอซูล (ขออัลลอฮฺให้พรและความสันติแก่ท่าน) ได้พูดกับฉันว่า“ช่วยนำลูกๆ ของจะอฺฟัร มาหาฉันหน่อย”
เมื่อฉันพาเด็กๆ ออกมา ท่านนบีก็ได้หอมพวกเขา แล้วน้ำตาของท่านก็ได้หลั่งไหลออกมา
ฉันจึงพูดว่า “ขอแลกชีวิตพ่อแม่ของฉันเพื่อไถ่ถอนท่าน อะไรทำให้ท่านร้องไห้? ท่านได้ข่าวของจะอฺฟัรกับพวกของเขามาหรือ?”
ท่านตอบว่า “ใช่... พวกเขาเสียชีวิตแล้วในวันนี้”
เมื่อได้ฟังข่าวร้าย ฉันได้ร้องไห้ออกมา และบรรดาสาวๆ ได้เข้ามาปลอบประโลมฉัน
ท่านรอซูลได้ออกไปหาครอบครัวของท่านและพูดว่า“อย่าลืมทำอาหารไปให้ครอบครัวของจะอฺฟัรด้วย พวกเขากำลังเจอบททดสอบของพวกเขารุมเร้าอยู่”
(บันทึกโดยอิมามอะฮฺมัด อิมามอัลฮัยษะมี อัลบัยฮะกี อัฏฏอบรอนี)
เพราะดุนยาไม่เคยมีเรื่องใดที่ทำให้เราได้สุขอย่างแท้จริง และส่วนมากที่พวกเราพบเจอคือ “ความกังวล”
“สวรรค์เข้าได้ด้วยการฝืน นรกจะได้เข้าหากตามใจตน”
ขอให้พวกเราผ่านพ้นดุนยาไปได้อย่างผู้ที่มีเกียรติ ขอให้พวกเราอย่าเสียคนกับบทดสอบของพระองค์ด้วยเถิด
3. เหนื่อยไหม กับ คำว่า “รัก” ? หาก “เหนื่อย” นั่นอาจเพราะ เรา วางหัวใจไว้ “ผิด” ที่ ...
จากท่าน อับดุลลอฮฺ บิน อัมรฺ กล่าวว่า ครั้งหนึ่งท่านนบีได้อ่านโองการของอัลลอฮฺที่กล่าวถึง คำพูดของท่านนบีอิบรอฮีมที่มีต่อประชาชาติของท่านที่ว่า
“โอ้พระผู้อภิบาลของผม แน่นอนสิ่งเหล่านั้น (พระเจ้าจอมปลอมทั้งหลาย) ได้ทำให้มนุษย์ส่วนใหญ่หลงทาง
แน่นอนผู้ใดที่ปฏิบัติตามฉัน พวกเขาเป็นพวกของฉัน และผู้ใดฝ่าฝืนฉัน แน่นอนพระองค์คือผู้อภัย ผู้เมตตา”
และคำพูดของท่านนบีอีซาที่ว่า
“หากพระองค์จะทรงลงโทษพวกเขา แน่นอนพวกเขาคือบ่าวของพระองค์ และหากพระองค์จะอภัยโทษให้พวกเขา แน่นอนพระองค์คือ ผู้เดชานุภาพ ผู้ปรีชาญาณ”
เมื่ออ่านอายะฮฺดังกล่าวเสร็จ ท่านนบีได้ยกมือทั้งสองของท่านขึ้น (ดุอา) และร้องขอว่า “โอ้ อัลลอฮฺ! ประชาชาติของฉัน ประชาชาติของฉัน” และท่านก็ได้หลั่งน้ำตา
พระองค์อัลลอฮฺได้กล่าวว่า “ญิบรีล จงไปหามุฮัมมัด ซึ่งพระผู้อภิบาลของเจ้ารู้ดี แต่จงไปถามเขาเถิด ว่าเขาร้องทำไม?”
ท่านญิบรีลจึงมาหาท่านนบี ได้ถามท่านนบี และเมื่อท่านนบีตอบท่าน ท่านญิบรีลได้นำคำตอบไปบอกกับอัลลอฮฺ ซึ่งพระองค์ย่อมรู้ดีอยู่แล้ว
พระองค์ได้บอกว่า “ญิบรีล จงไปบอกมุฮัมมัดว่า เราจะทำให้เจ้าพอใจ ด้วยการทำดีต่อประชาชาติของเจ้า และเราจะไม่ทำให้เจ้าเสียใจ”
(บันทึกโดย มุสลิม อันนะซาอี และ อิบนุฮิบบาน)
ตลอดชีวิตเรา คนที่เคยบอกรักเรา จะมีซักกี่คน ที่จะมีความสุขอย่างแท้จริง เมื่อรู้ว่าเราปลอดภัย? จะมีซักกี่คนที่ร้องไห้ขอต่ออัลลอฮฺให้เมตตาพวกเราในโลกหน้าบ้าง? ผู้ที่หลั่งน้ำตา เพราะเป็นห่วงเราอย่างแท้จริง เป็นห่วงโดยไม่หวังผลตอบแทนน้ำตาของผู้ที่ไม่มีวันจะหักหลังคุณ ต่อให้คุณหักหลังท่านประจำก็ตาม
หลายครั้งในชีวิต ที่เราบอกกับตัวเอง ว่าเรารักท่านนบี เราจะทำตามท่าน แต่หลายๆ ครั้ง ที่พบว่า เราไม่ได้ใกล้เคียงกับการเป็นประชาชาติที่ทำให้ท่านนบีพอใจได้เลย เราที่มีศาสนกิจที่บกพร่อง คำพูดหยาบคาย ด่าทอ ออกมาจากปากของเรา มารยาทแย่ๆ ที่ออกมาจากตัวเรา ความโกรธเกลียดที่ประทุอยู่ในอกเรา
เราอาจไม่มีอะไรดีพอให้อ้างสิทธิในการเป็นประชาชาติของท่านนบี แต่เชื่อผมเถอะ...พวกเราที่ท่านไม่ได้สนใจตักตวงเอาผลประโยชน์ พวกเราที่ท่านไม่เคยได้พบเจอ ท่านไม่เคยลังเลที่จะขอต่ออัลลอฮฺให้เมตตาพวกเรา น้ำตาด้วยความเป็นห่วงของท่านมีให้พวกเราเสมอ และ“ท่านรักพวกเราทุกคน” รักนี้ที่บริสุทธิ์
4. ไม่ว่าในสภาพใด เราจะไม่พูด (หรือทำ) สิ่งใดที่ทำให้พระผู้อภิบาลของเราไม่พอใจเรา
ในบันทึกของอิมามอัลบุคอรี และอิมามมุสลิม จากท่านอะนัสได้เล่าว่า“พวกเราพร้อมท่านนบีได้เข้าไปหา อบูซัยฟฺ ซึ่งเป็นผู้ดูแลอิบรอฮีมบุตรชายของท่านนบี
ท่านนบีได้อุ้มลูกชายของท่านมาแนบอก (เด็กน้อยในวัยขวบครึ่งที่กำลังจะเสียชีวิต) ท่านได้กอด ได้หอม ลูกน้อย หลังจากนั้นไม่นาน ลูกชายของท่านได้เริ่มสำลักลมหายใจ ก่อนที่จะเสียชีวิตในอ้อมอกของท่าน น้ำตาได้หลั่งไหลออกมาจากดวงตาของท่านนบี
ท่านอับดุรเราะฮฺมาน บิน เอาว์ฟ ได้ถามท่านนบี (ด้วยความเป็นห่วง) ว่า“ท่านเป็นอย่างไรบ้าง ศาสนทูตของอัลลอฮฺ”
ท่านนบีได้ตอบว่า“อิบนุเอาวฟฺ นี่คือความเมตตา” (ที่อัลลอฮฺได้ให้บ่าวของพระองค์มีน้ำตา เมื่อเสียใจ)
หลังจากนั้นน้ำตาของท่านนบีก็ได้ไหลออกมาอีก ท่านศาสนทูตได้พูดต่อไปว่า
“ดวงตานั้นหลั่งน้ำตาออกมา หัวใจก็เสียใจ แต่เราจะไม่พูดสิ่งใดนอกจากสิ่งที่พระผู้อภิบาลของเราพอใจ อิบรอฮีมเอ๋ย เราเสียใจกับการจากไปของเจ้า”
ท่านนบี (ขออัลลอฮฺให้พรและความสันติแก่ท่าน) ผู้ที่ตลอดชีวิตถูกทดสอบด้วยการสูญเสีย แม้แต่ในช่วงเวลาที่ท่านทุกข์มากที่สุด ท่านยังคิดถึงความเมตตาของอัลลอฮฺที่ให้ท่านได้ร้องไห้ ท่านกล่าวถึงความเศร้าโศรกของท่านเพียงเล็กน้อย ท่านไม่ได้ตีโพยตีพาย และท่านยังได้เตือนสติพวกเราทุกคนว่า พระองค์นั้นรักและเมตตาพวกเราเสมอ แม้แต่ในช่วงเวลาที่พระองค์ให้เราต้องเจอกับความเศร้าโศกเสียใจ เพราะชีวิตในโลกนี้เป็นเพียงภาพลวงตา ที่ถึงเวลาทุกอย่างล้วนพังทลาย ชีวิตในโลกหน้าต่างหากที่จีรัง
ความทุกข์ความสุขในโลกนี้ เมื่อเทียบกับโลกหน้าก็เหมือนเวลาแค่เพียงชั่วประเดี๋ยว ดังนั้นพวกเราไม่ควร เผลอตัว เผลอใจ "พูด" หรือ "ทำสิ่งใด" ที่จะทำให้พระองค์ไม่พอใจพวกเรา แม้แต่ในเวลาที่เรารู้สึกแย่มากที่สุด เพราะพระองค์ไม่เคยหยุดที่จะเมตตาพวกเรา และพระองค์ไม่สมควรที่ได้รับการตอบแทนด้วยพฤติกรรมที่แย่ๆ จากพวกเรา“ความอดทนที่แท้จริง คือ การทน ตั้งแต่ในช่วงแรกๆ ที่เหตุการณ์กระแทกเข้ามา”
ขอพระองค์ให้พวกเรามีความอดทนที่ดีงาม มากพอที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไปในฐานะบ่าวที่รู้คุณ ตราบที่จะได้พบเจอพระองค์ด้วยเถิด อามีน
5. อัลกุรอานมีค่ามากกว่าการอวดประชัน
พี่น้องที่รัก เคยร้องไห้ต่อเนื่องยาวนานที่สุดกี่ชม.? และที่ร้องไปนั้น เพราะอะไร? มาดูหนึ่งในการร้องไห้ที่ยาวนานที่สุดของท่านนบีกัน...
จากท่านอะฏออฺ กล่าวว่า “ฉันและอุบัยดฺ บิน อุมัยรฺ ได้เข้าไปหาท่านหญิงอาอิชะฮฺ
ซึ่งอุบัยดฺได้ถามท่านหญิงว่า“ช่วยเล่าเรื่องน่าประทับใจที่สุดที่ท่านเห็นจากท่านนบีให้พวกเราฟังหน่อยครับ ?
เมื่อท่านหญิงได้ยินนางก็ร้องไห้ และพูดตอบว่า “ทุกเรื่องราวของท่านนบีนั้นน่าประทับใจ มีคืนหนึ่งเป็นคืนของฉันที่ท่านต้องมาค้างคืนด้วย ท่านได้มานอนข้างฉัน มานอนชิดจนผิวเราสัมผัสกัน
และท่านได้พูดว่า“เธอจะยอมให้ฉันละหมาดเพื่อพระผู้อภิบาลได้ไหม?”
ฉันจึงตอบท่านไปว่า“ที่ฉันรักมีอยู่ 2 อย่าง รักที่จะอยู่ใกล้ท่าน และรักที่จะให้ท่านได้ทำในสิ่งที่ท่านรัก”
ท่านจึงได้ลุกไปทำน้ำละหมาดโดยใช้น้ำที่น้อยมาก และเริ่มละหมาดตะฮัจจุด
ในขณะที่ท่านละหมาด ท่านร้องไห้จนเคราของท่านชุ่มไปด้วยน้ำตา และเมื่อท่านสุญูด บริเวณที่ท่านสุญูดได้นองไปด้วยน้ำตา จนเมื่อท่านละหมาดเสร็จ ท่านได้มาตะแคงนอนโดยที่ยังร่ำไห้อยู่
จนเมื่อ บิลาล ได้มาขออนุญาตท่านเพื่ออะซาน (ซุบฮฺ) เมื่อเห็นท่านนบีในสภาพดังกล่าว
บิลาลจึงถามท่านว่า “ทำไมท่านต้องร้องไห้ถึงเพียงนี้ ในเมื่อพระองค์อัลลอฮฺไม่เอาผิดท่านทั้งในสิ่งที่ผ่านมาและตลอดไป?”
ท่านได้ตอบว่า
“บิลาลเอ๋ย อะไรจะห้ามฉันจากการร้องไห้ ในเมื่อค่ำคืนที่ผ่านมานี้ อัลลอฮฺได้ประทานโองการให้แก่ฉัน และความหายนะจะเกิดแก่ใครก็ตามที่อ่านโองการเหล่านี้โดยไม่ได้ครุ่นคิดเกี่ยวกับมัน
“แน่นอนในการสร้างฟากฟ้าต่างๆและผืนแผ่นดิน ตลอดจนการให้มีความแตกต่างในช่วงกลางวันและกลางคืน ย่อมเป็นสัญลักษณ์ (โองการ) แก่ผู้มีสติปัญญาที่แท้จริง
บรรดาผู้ที่รำลึกถึงอัลลอฮฺทั้งเมื่อขณะที่พวกเขายืน นั่ง และเมื่อพวกเขาเอนสีข้างบนที่นอน พวกเขายังได้ใคร่ครวญถึงการสร้างฟากฟ้าและแผ่นดิน
(เมื่อใคร่ครวญแล้วพวกเขาได้ขอว่า) พระผู้อภิบาลของเรา พระองค์ไม่ได้สร้างสิ่งเหล่านี้อย่างไร้เหตุผล ขอสดุดีต่อพระองค์ โปรดคุ้มครองพวกเราให้รอดพ้นจากไฟนรกด้วยเถิด*
โอ้พระผู้อภิบาลของเรา ผู้ใดที่พระองค์ให้เขาเข้านรก แน่นอนพระองค์ได้ให้เขาพบกับความอัปยศแล้ว และไม่มีการช่วยเหลือใดแก่ผู้ที่อธรรม*
พระผู้อภิบาลของเรา แน่นอนเราได้ยินผู้เรียกร้องเชิญชวนสู่การศรัทธาให้ศรัทธาต่อพระองค์ และเราได้ศรัทธาแล้ว
พระผู้อภิบาลของเรา โปรดยกโทษต่อบาปของพวกเรา โปรดลบล้างความผิดของเรา และโปรดให้เราได้เสียชีวิตร่วมกับคนดีด้วยเถิด ...
(ช่วง 10 อายะฮฺสุดท้ายของซูเราะฮฺ อาลิอิมรอน)”
(บันทึกโดยอิบนุฮิบบาน และชัยคฺอัลบานีระบุว่าเป็นฮะดิษศอฮิฮฺ)
เป็นเรื่องเกินจินตนาการของใครหลายคน (รวมตัวผมเอง) ถึงการร้องไห้ยาวนานหลายชั่วโมงที่เกิดจากการใคร่ครวญความยิ่งใหญ่ของอัลลอฮฺในการสร้างสรรค์สรรพสิ่งรอบตัวเราของพระองค์ ที่ส่งผลให้เกิดความกลัวต่อการลงโทษของพระองค์ ผู้ที่สร้างสิ่งต่างในดุนยา เช่นฟากฟ้าและแผ่นดินไว้อย่างน่าอัศจรรย์นี้
นรกจะยิ่งใหญ่และน่าสะพรึงกลัวเพียงใดกันหนอ ? และด้วยความที่ท่านรู้จักอัลลอฮฺมากกว่าใคร ด้วยความเป็นบ่าวที่รักและยำเกรงต่อพระองค์มากที่สุด ท่านนบีจะคิดถึงอะไรอีกบ้างในขณะที่ท่านอ่านอายะฮฺที่ชวนให้ขนลุกชัน และหัวใจสั่นไหวนี้อีก
และอีกมากมายที่พวกเราอยากจะคิดได้ให้ใกล้เคียงกับท่านนบีบ้างซักน้อยก็ยังดี... แต่ด้วยกับดุนยาที่เรายึดมั่นจนสุดตัวนี้ที่ทำให้อายะฮฺเหล่านี้เป็นเหมือนเพียงวลีอีกบทที่เรารีบอ่านให้จบ?
มันน่าคิดที่ว่า คนดีที่ไม่มีทางถูกเอาผิดจากอัลลอฮฺ ถึงกับร้องห่มร้องไห้ถึงเพียงนี้ ด้วยกับโองการไม่กี่บท ในขณะที่คนบาปอย่างพวกเราใจเย็นกับความน่ากลัวของพระเจ้าของเรา ! การอ่านอัลกุรอ่าน ควรอ่านเพื่อใคร่ครวญทีละอายะฮฺ แต่พวกเราต่างมีเหตุผลข้ออ้างกันมากมายเหลือเกินที่จะไม่ใคร่ครวญ ...
เช่นเดียวกับเรื่องใกล้ตัว อย่างคนข้างเคียงเรา ต้องเป็นสามีแบบไหนกัน ที่ทำให้ภรรยาที่อยู่กินด้วยกันมาอย่างยาวนาน พูดได้เต็มปากว่า “ฉันมีแต่เรื่องที่ประทับใจในตัวเขา” นี่คือตัวอย่างของคู่รักที่แท้จริงไมใช่หรือ? คู่รักที่ สามี แม้จะรู้ว่าตนกำลังจะทำความดีที่ยิ่งใหญ่ (คือการละหมาดตะฮัจจุด) แต่ท่านก็ให้สิทธิที่เป็นวาญิบ (สิทธิในยามค่ำคืนของภรรยา) มาก่อน สิทธิที่เป็นซุนนะฮฺ
ท่านให้เกียรติแก่ภรรยาของท่าน โดยที่ท่านไม่ได้อ้างว่า“ฉันทำเพื่ออัลลอฮฺ เธอจำเป็นต้องยอมฉัน ใครไม่ยอมเท่ากับเป็นเป็นศัตรูต่อพระองค์!?” เพราะเจ้าของสิทธิที่เราต้องให้ความสำคัญ แน่นอนที่อัลลอฮฺเป็นที่หนึ่ง แต่ก็ยังมีเจ้าของสิทธิบุคคลอื่นอีกที่เราต้องให้ความสำคัญ และนี่คือ ความงดงามของอัลอิสลามไม่ใช่หรือ?
ชีวิตคู่ที่รักกัน ที่ภรรยารักที่จะอยู่กับสามีและรักที่จะให้เขาได้ทำในสิ่งที่เขารักโดยเฉพาะเมื่อเป็นสิ่งที่ดี และสามีที่แคร์ภรรยา และคอยให้ความอบอุ่น เช่นการสวมกอด การให้ผิวสัมผัสที่สร้างความอบอุ่น ไม่ใช่เพียงเพราะอารมณ์ทางเพศ ยิ่งอยู่กันนาน เรื่องดีดีเหล่านี้ ยิ่งทำกันน้อยลง ...
ความหายนะจะเกิดแก่ผู่ที่ไม่ได้ใคร่ครวญ...
น้ำตานี้ของเรามีค่าเพียงใด ใจเราที่รู้ดี...
วัลลอฮุอะอฺลัม