ได้ เห็น พระ เจ้า
แปลเรียบเรียง อาบีดีณ โยธาสมุทร
เสาที่สอง ด้านที่สอง ข้อมูลที่ระบุถึงการ “ได้เห็นพระเจ้า”
(2.1) ข้อมูลที่ให้การยืนยันว่าจะสามารถเห็นพระเจ้าได้อย่างชัดเจนและสะดวก เหมือนกับที่สามารถเห็นดวงอาทิตย์หรือดวงจันทร์เพ็ญตอนฟ้าโล่งได้อย่างชัดเจนและสะดวก
ก. ข้อมูลที่ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอลัยฮิวะซั้ลลัม ใช้คำพูดว่า “จะได้เห็นพระเจ้า”
عَنْ جَرِيرِ بْنِ عَبْدِ اللَّهِ رَضِيَ اللَّهُ عَنْهُ قَالَ: كُنَّا جُلُوسًا مَعَ النَّبِيِّ -صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ- فَنَظَرَ إِلَى الْقَمَرِ لَيْلَةَ أَرْبَعَ عَشْرَةَ فَقَالَ: "إِنَّكُمْ سَتَرَوْنَ رَبَّكُمْ عِيَانًا كَمَا تَرَوْنَ هَذَا لَا تُضَامُونَ فِي رُؤْيَتِهِ, فَإِنِ اسْتَطَعْتُمْ أَنْ لَا تُغْلَبُوا عَلَى صَلَاةٍ قَبْلَ طُلُوعِ الشَّمْسِ وَصَلَاةٍ قَبْلَ غُرُوبِ الشَّمْسِ فَافْعَلُوا" البخاري ح 7434، مسلم ح 633
ในบันทึกของท่านทั้งสอง จากรายงานของท่านญะรี้ร บิน อับดุลลอฮฺ ร่อดิยั้ลลอฮุอันฮุแจ้งว่าท่านกล่าวไว้ว่า พวกเราเคยนั่งกันอยู่กับท่านบี ศ็อลลัลลอฮุอลัยฮิวะซั้ลลัม
แล้วท่านก็มองไปที่ดวงจันทร์คืนที่สิบสี่ แล้วจึงพูดว่า “พวกท่านจะได้เห็นพระเจ้าของพวกท่านกับตาจะๆแน่นอน เหมือนกับที่พวกท่านกำลังเห็นสิ่งนี้อยู่ พวกท่านจะไม่ต้องมาเบียดเสียดแก่งแย่งกันในการเห็นพระองค์
ดังนั้น ถ้าหากพวกท่านสามารถที่จะไม่พลาดจากการละหมาดก่อนที่ดวงอาทิตย์จะขึ้น และจากการละหมาดก่อนที่ดวงอาทิตย์จะตกแม้จะด้วยเหตุสุดวิสัยก็ตามล่ะก็ พวกท่านก็จงทำมันเสียเถิด”
( อั้ลบุคอร์และมุสลิม)
ข. ข้อมูลที่ท่านตอบคำถามของบรรดาศ่อฮาบะฮฺในประเด็นเรื่องการได้เห็นพระเจ้า ซึ่งท่านตอบยืนยันว่าจะมีการได้เห็นพระองค์จริง พร้อมทั้งเล่าถึงบางเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นภายหลังการฟื้นคืนชีพในวันกิยามะฮฺซึ่งมีการระบุถึงการได้เห็นพระเจ้า ตะอาลา เอาไว้ด้วย
ข/๑. มีการระบุว่า “จะได้เห็นพระองค์”
فِي الصَّحِيحَيْنِ مِنْ حَدِيثِ أَبِي هُرَيْرَةَ رَضِيَ اللَّهُ عَنْهُ أَنَّ نَاسًا قَالُوا: يَا رَسُولَ اللَّهِ هَلْ نَرَى رَبَّنَا يَوْمَ الْقِيَامَةِ؟ فَقَالَ رَسُولُ اللَّهِ, صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ: "هَلْ تُضَارُّونَ فِي رُؤْيَةِ الْقَمَرِ لَيْلَةَ الْبَدْرِ" قَالُوا: لَا يَا رَسُولَ اللَّهِ, قَالَ: "هَلْ تُضَارُّونَ فِي رُؤْيَةِ الشَّمْسِ لَيْسَ دُونَهَا سَحَابٌ" قَالُوا: لَا, قَالَ: "فَإِنَّكُمْ تَرَوْنَهُ كَذَلِكَ, يَجْمَعُ اللَّهُ النَّاسَ يَوْمَ الْقِيَامَةِ فَيَقُولُ: مَنْ كَانَ يَعْبُدُ شَيْئًا فَلْيَتْبَعْهُ, فَيَتْبَعُ مَنْ كَانَ يَعْبُدُ الشَّمْسَ الشَّمْسَ, وَمَنْ كَانَ يَعْبُدُ الْقَمَرَ الْقَمَرَ, وَيَتْبَعُ مَنْ كَانَ يَعْبُدُ الطَّوَاغِيتَ الطَّوَاغِيتَ, وَتَبْقَى هَذِهِ الْأُمَّةُ فِيهَا مُنَافِقُوهَا, فَيَأْتِيهِمُ اللَّهُ تَعَالَى فِي صُورَةٍ غَيْرِ صُورَتِهِ الَّتِي يَعْرِفُونَ فَيَقُولُ: أَنَا رَبُّكُمْ. فَيَقُولُونَ: نَعُوذُ بِاللَّهِ مِنْكَ, هَذَا مَكَانُنَا حَتَّى يَأْتِيَنَا رَبُّنَا عَزَّ وَجَلَّ. فَإِذَا جَاءَ رَبُّنَا عَرَفْنَاهُ, فَيَأْتِيهِمُ اللَّهُ عَزَّ وَجَلَّ فِي صُورَتِهِ الَّتِي يَعْرِفُونَ, فَيَقُولُ: أَنَا رَبُّكُمْ, فَيَقُولُونَ: أَنْتَ رَبُّنَا, فَيَتَّبِعُونَهُ, وَيُضْرَبُ الصِّرَاطُ بَيْنَ ظَهَرَانَيْ جَهَنَّمَ فَأَكُونُ أَنَا وَأُمَّتِي
أَوَّلَ مَنْ يُخَيَّرُ, وَلَا يَتَكَلَّمُ يَوْمَئِذٍ إِلَّا الرُّسُلُ, وَدَعْوَى الرُّسُلِ يَوْمَئِذٍ: اللَّهُمَّ سَلِّمْ سَلِّمْ... البخاري ح 806 ، مسلم ح 182
ในศ่อฮี้ฮฺทั้งสองเล่มได้ระบุรายงานจากท่าน อบีฮุรอยเราะฮฺ แจ้งว่า มีคนกลุ่มหนึ่งกล่าวว่า
ท่านร่อซูลุ่ลลอฮฺครับ พวกเราจะได้เห็นพระเจ้าของพวกเราในวันกิยามะฮฺไหมครับ?
ท่านร่อซูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอลัยฮิวะซั้ลลัม จึงกล่าวตอบไปว่า “แล้วพวกท่านต้องลำบากกันหรือไม่เล่าในการจะได้เห็นดวงจันทร์ในคืนที่มันเต็มดวง?”
พวกเขาตอบว่า ไม่ครับท่านร่อซูลุ่ลลอฮฺ
ท่านกล่าวต่อไปว่า “แล้วพวกท่านต้องลำบากกันหรือไม่เล่าในการจะได้เห็นดวงอาทิตย์ที่ไม่ได้มีเมฆบังอยู่?
พวกเขากล่าวว่า ไม่ครับ
ท่านจึงพูดว่า “พวกคุณเองก็จะได้เห็นพระองค์อย่างนั้นเหมือนกันแน่นอน อัลลอฮฺจะทรงรวบรวมผู้คนเข้าไว้ด้วยกันในวันกิยามะฮฺ แล้วจะทรงรับสั่งว่า ใครที่เคยสักการะอะไรก็จงตามสิ่งนั้นไปเสีย
แล้วคนที่เคยสักการะดวงอาทิตย์ก็เลยตามดวงอาทิตย์ไป
คนที่เคยสักการะดวงจันทร์ก็ตามดวงจันทร์ไป
คนที่เคยสักการะพวกเจว็ดก็ตามเจว็ดเหล่านั้นไป
จะเหลือก็แต่ประชาชาตินี้ซึ่งในนั้นมีพวกมุนาฟิกของพวกเขารวมอยู่ด้วย
และแล้วอัลลอฮฺ ตะอาลา ก็ทรงมาหาพวกเขาในรูปที่ไม่ใช่รูปของพระองค์ที่พวกเขารู้จัก แล้วตรัสว่า ข้าคือพระเจ้าของพวกเจ้า พวกเขาจึงพากันพูดว่า พวกเราขอความคุ้มครองต่ออัลลอฮฺให้พ้นจากเจ้า นี่คือที่ของเราที่เราจะอยู่กันตรงนี้จนกว่าพระเจ้าของเรา อั้ซซะวะญัล จะทรงเสด็จมา และเมื่อไหร่ที่พระเจ้าของพวกเรามาแล้วพวกเราก็จะรู้จักพระองค์
แล้วอัลลอฮฺ อั้ซซะวะญัล ก็ทรงเสด็จมาหาพวกเขาในรูปของพระองค์ที่พวกเขารู้จัก จากนั้นจึงตรัสว่า ข้าคือพระเจ้าของพวกเจ้า
พวกเขาจึงพูดกันว่า พระองค์คือพระเจ้าของพวกเราครับ แล้วพวกเขาก็ตามพระองค์ไป
และทางอันเที่ยงตรงก็ถูกวางให้ทอดยาวไว้ระหว่างสันทั้งสองของนรกญะฮันนัม ตัวฉันและประชาชาติของฉันจะเป็นกลุ่มแรกที่ถูกให้เลือก วันนั้นจะมีแต่บรรดาร่อซู้ลเท่านั้นที่จะพูดไม่มีคนอื่น
ซึ่งคำร้องขอของบรรดาร่อซู้ลในวันนั้นก็คือ อัลลอฮฺครับได้โปรดทรงทำให้มันปลอดภัยด้วยเถิด ได้โปรดให้มันปลอดภัยด้วยเถิด…”
(อั้ลบุคอรีย์และมุสลิม)
ข/๒.
وَلَهُمَا عَنْ أَبِي سَعِيدٍ الْخُدْرِيِّ رَضِيَ اللَّهُ عَنْهُ أَنَّ نَاسًا فِي زَمَنِ رَسُولِ اللَّهِ -صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ- قَالُوا: يَا رَسُولَ اللَّهِ هَلْ نَرَى رَبَّنَا يَوْمَ الْقِيَامَةِ؟ قَالَ رَسُولُ اللَّهِ, صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ: "نَعَمْ هَلْ تُضَارُّونَ فِي رُؤْيَةِ الشَّمْسِ بِالظَّهِيرَةِ صَحْوًا لَيْسَ فِيهَا سَحَابٌ؟ " قَالُوا: لَا يَا رَسُولَ اللَّهِ قَالَ: "مَا تُضَارُّونَ فِي رُؤْيَتِهِ تَبَارَكَ وَتَعَالَى يَوْمَ الْقِيَامَةِ إِلَّا كَمَا تُضَارُّونَ فِي رُؤْيَةِ أَحَدِهِمَا, إِذَا كَانَ يَوْمُ الْقِيَامَةِ أَذَّنَ مُؤَذِّنٌ: لِتَتْبَعْ كُلُّ أُمَّةٍ مَا كَانَتْ تَعْبُدُ فَلَا يَبْقَى أَحَدٌ كَانَ يَعْبُدُ غَيْرَ اللَّهِ مِنَ الْأَصْنَامِ وَالْأَنْصَابِ إِلَّا يَتَسَاقَطُونَ فِي النَّارِ, حَتَّى إِذَا لَمْ يَبْقَ إِلَّا مَنْ كَانَ يَعْبُدُ اللَّهَ مِنْ بَرٍّ وَفَاجِرٍ وَغُبَّرَاتِ أَهْلِ الْكِتَابِ ... حَتَّى إِذَا لَمْ يَبْقَ إِلَّا مَنْ كَانَ يَعْبُدُ اللَّهَ مِنْ بَرٍّ وَفَاجِرٍ أَتَاهُمْ رَبُّ الْعَالَمِينَ سُبْحَانَهُ وَتَعَالَى فِي أَدْنَى صُورَةٍ مِنَ الَّتِي رَأَوْهُ فِيهَا, قَالَ: فَمَا تَنْتَظِرُونَ لِتَتْبَعْ كُلُّ أُمَّةٍ مَا كَانَتْ تَعْبُدُ, قَالُوا: يَا رَبَّنَا فَارَقْنَا النَّاسَ فِي الدُّنْيَا أَفْقَرَ مَا كُنَّا إِلَيْهِمْ وَلَمْ نُصَاحِبْهُمْ, فَيَقُولُ: أَنَا رَبُّكُمْ, فَيَقُولُونَ: نَعُوذُ بِاللَّهِ مِنْكَ وَلَا نَشُكُّ بِاللَّهِ شَيْئًا "مَرَّتَيْنِ أَوْ ثَلَاثًا" حَتَّى إِنَّ بَعْضَهُمْ لَيَكَادُ أَنْ يَنْقَلِبَ. فَيَقُولُ: هَلْ بَيْنَكُمْ وَبَيْنَهُ آيَةٌ تَعْرِفُونَهُ بِهَا؟ فَيَقُولُونَ: نَعَمْ, فَيُكْشَفُ عَنْ سَاقٍ فَلَا يَبْقَى مَنْ كَانَ يَسْجُدُلِلَّهِ مِنْ تِلْقَاءِ نَفْسِهِ إِلَّا أَذِنَ اللَّهُ لَهُ بِالسُّجُودِ, وَلَا يَبْقَى مَنْ كَانَ يَسْجُدُ اتِّقَاءً وَرِيَاءً إِلَّا جَعَلَ اللَّهُ ظَهْرَهُ طَبَقَةً وَاحِدَةً كُلَّمَا أَرَادَ أَنْ يَسْجُدَ خَرَّ عَلَى قَفَاهُ, ثُمَّ يَرْفَعُونَ رُءُوسَهُمْ وَقَدْ تَحَوَّلَ فِي صُورَتِهِ الَّتِي رَأَوْهُ فِيهَا أَوَّلَ مَرَّةٍ فَيَقُولُ: أَنَا رَبُّكُمْ, فَيَقُولُونَ: أَنْتَ رَبُّنَا. ثُمَّ يُضْرَبُ لَهُمُ الْجِسْرُ عَلَى جَهَنَّمَ... البخاري ح 7439 ، مسلم ح 183
ในบันทึกของทั้งสองท่าน จากรายงานของท่านอบูสะอี้ด อั้ลคุดรีย์ ร่อดิยั้ลลอฮุอันฮฺ แจ้งว่า มีคนในสมัยท่านร่อซูลุ่ลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอลัยฮิวะซั้ลลัม กลุ่มหนึ่ง ได้พูดว่า
ท่านร่อซูรุลลอฮฺครับ พวกเราจะได้เห็นพระเจ้าของเราในวันกิยามะฮฺหรือไม่ครับ?
ท่านร่อซูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอลัยฮิวะซั้ลลัม กล่าวว่า “ใช่ พวกท่านต้องลำบากกันหรือไม่เล่าในการที่จะได้เห็นดวงอาทิตย์ตอนกลางวันที่ฟ้าสดใสไร้เมฆ?”
พวกเขากล่าวตอบว่า ไม่ครับท่านร่อซูลุลลอฮฺ
ท่านกล่าวว่า “พวกท่านเองก็จะไม่ต้องลำบากในการได้เห็นพระองค์ ตะบาร่อกะวะตะอาลา ในวันกิยามะฮฺ นอกจากที่มันจะเหมือนกันกับที่พวกท่านจะลำบากในการเห็นดวงใดดวงหนึ่งในสองดวงนี้เท่านั้นเองนั่นแหละ
เมื่อถึงวันกิยามะฮฺ โฆษกจะประกาศว่า แต่ละประชาชาติทั้งหมดจงตามสิ่งที่ตัวเองเคยสักการะกันมาไป เมื่อเป็นเช่นนั้นจึงไม่เหลือใครสักคนที่เคยสักการะผู้อื่นที่ไม่ใช่อัลลอฮฺ ไม่ว่าจะเป็นรูปปั้นหรือแท่นบูชานอกจากว่าพวกเขาจะพากันร่วงลงไปในนรกกันหมด จนเมื่อไม่เหลือใครอยู่แล้วนอกจากคนที่เคยสักการะอัลลอฮฺทั้งที่เป็นคนดีและที่เป็นคนเลว และเศษๆที่หลงเหลืออยู่ของพวกชาวคัมภีร์ ...
(กระทั่งถึงคำพูดของท่านที่ว่า)... จนเมื่อไม่เหลือใครอยู่แล้วนอกจากคนที่เคยสักการะอัลลอฮฺทั้งที่เป็นคนดีและที่เป็นคนเลวเท่านั้น พระเจ้าแห่งทุกๆโลก ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ก็ทรงเสด็จมาหาพวกเขาในรูปที่ใกล้ที่สุดกับรูปที่พวกเขาเคยเห็นพระองค์ในรูปนั้น ทรงรับสั่งว่า แล้วพวกเจ้ารออะไรกันอยู่ แต่ละประชาชาติทั้งหมดทุกๆประชาชาติจงตามสิ่งที่ตนเคยสักการะไปเสีย
พวกเขากล่าวตอบว่า พระเจ้าของเราครับ ในดุนยาพวกเราเองได้แยกตัวออกจากผู้คนกันมาแล้ว ทั้งๆที่เราก็มีความจำเป็นต้องพึ่งพาพวกเขาอยู่อย่างมากแต่พวกเราก็ไม่ได้ไปเป็นพรรคพวกกับพวกเขา
พระองค์จึงทรงรับสั่งว่า ข้าคือพระเจ้าของพวกเจ้า
พวกเขาจึงพูดกันออกมาว่า พวกเราขอความคุ้มครองต่ออัลลอฮฺให้พ้นจากเจ้า พวกเราเองไม่ได้สงสัยอะไรเกี่ยวกับอัลลอฮฺเลยแม้แต่น้อย –สองหรือสามเที่ยว- จนบางคนในพวกเขาเกือบที่จะหันกลับไป
พระองค์จึงตรัสว่า ระหว่างพวกเจ้ากับพระองค์ พวกเจ้ามีเครื่องหมายอะไรบ้างไหม ที่พวกเจ้าจะใช้เพื่อให้รู้ว่าเป็นพระองค์?
พวกเขาตอบว่า มีครับ แล้วแข้งก็จึงถูกเปิดเผยขึ้น จึงไม่เหลือใครเลยที่ เคยสุญูดต่ออัลลอฮฺจากใจจริงของเขา นอกจากอัลลอฮฺจะทรงอนุมัติให้เขาได้ทำการสุญูดกันทั้งสิ้น
และไม่เหลือใครเลยที่เคยสุญูดต่ออัลลอฮฺเพื่อเอาตัวรอดและเพื่อแสดงต่อผู้อื่นให้ได้เห็น นอกจากอัลลอฮฺจะทรงให้หลังของพวกเขากลายเป็นท่อนเดียวกันหมด ทุกครั้งที่เขาอยากจะทำการสุญูดเขาก็จะร่วงหงายลงไปบนท้ายทอยของตนกันทั้งสิ้น
หลังจากนั้นพวกเขาก็เงยศีรษะของพวกเขาขึ้นมา ซึ่งพระองค์เองก็ได้ทรงเปลี่ยนมาอยู่ในรูปของพระองค์ที่พวกเขาเคยเห็นพระองค์ในรูปนั้นกันมาก่อนแล้วตอนครั้งแรกแล้ว
แล้วพระองค์จึงตรัสว่า ข้าคือ พระเจ้าของพวกเจ้า
พวกเขาจึงพากันพูดว่า พระองค์คือพระเจ้าของพวกเราครับ หลังจากนั้น สะพานก็ถูกพาดไว้ให้พวกเขาข้างบนนรกญะฮันนัม…”
(อั้ลบุคอรีย์และมุสลิม)
ข/๓.
لِلْإِمَامِ أَحْمَدَ وَأَبِي دَاوُدَ عَنْ أَبِي رَزِينٍ رَضِيَ اللَّهُ عَنْهُ قَالَ: قُلْنَا يَا رَسُولَ اللَّهِ أَكُلُّنَا يَرَى رَبَّهُ عَزَّ وَجَلَّ يَوْمَ الْقِيَامَةِ؟ قَالَ: "نَعَمْ" قُلْتُ: وَمَا آيَةُ ذَلِكَ فِي خَلْقِهِ قَالَ: "أَلَيْسَ كُلُّكُمْ يَنْظُرُ إِلَى الْقَمَرِ لَيْلَةَ الْبَدْرِ" قُلْنَا: نَعَمْ، قَالَ: "اللَّهُ أَكْبَرُ وَأَعْظَمُ" (المسند 4/11 و12 ، أبو داود ح 4731 ، و حسنه الألباني في "ظلال الجنة" 1/200)
ในบันทึกของท่านอิหม่ามอะฮฺหมัดและท่านอบูดาวู้ด จากรายงานของท่านอบูร่อซีน ร่อดิยั้ลลอฮุอันฮฺ ระบุไว้ว่า
ท่านกล่าวว่า พวกเราได้พูดกันขึ้นมาว่า ท่านร่อซูลุ่ลลอฮฺครับ พวกเราทุกคนจะได้เห็นพระเจ้าของตัวเอง อั้ซซะวะญัล ในวันกิยามะฮฺกันหรือไม่ครับ?
ท่านกล่าวตอบว่า “ใช่”
ผมจึงพูดขึ้นว่า แล้วอะไรคือสัญลักษณ์ที่บ่งบอกถึงเรื่องนั้นที่มันมีอยู่ในผลงานการสร้างของพระองค์บ้างครับ?
ท่านกล่าวว่า “พวกท่านทุกๆคนไม่ได้สามารถมองกันไปที่ดวงจันทร์คืนจันทร์เพ็ญกันได้ไม่ใช่หรือ?”
พวกเรากล่าวตอบว่า ใช่ครับ
ท่านกล่าวว่า “อัลลอฮฺทรงใหญ่กว่าและทรงยิ่งใหญ่กว่า”
(2.2) ข้อมูลที่พูดถึงการที่ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอลัยฮิวะซั้ลลัม ได้เห็นพระเจ้าของท่าน ในวันกิยามะฮฺตอนทำหน้าที่ขอชะฟาอะฮฺ
فِي الصَّحِيحَيْنِ عَنْ أَنَسِ بْنِ مَالِكٍ رَضِيَ اللَّهُ عَنْهُ قَالَ: قَالَ رَسُولُ اللَّهِ, صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ: ... فَيَأْتُونِي فَأَسْتَأْذِنُ عَلَى رَبِّي فَيَأْذَنُ لِي, فَإِذَا أَنَا رَأَيْتُهُ فَأَقَعُ لَهُ سَاجِدًا فَيَدَعُنِي مَا شَاءَ اللَّهُ أَنْ يَدَعَنِي, فَيُقَالُ: يَا مُحَمَّدُ ارْفَعْ رَأْسَكَ... البخاري ح 7510، مسلم ح193
ในศ่อฮี้ฮฺทั้งสองเล่มได้ระบุรายงานที่รางานมาจากท่านอนัส บิน มาลิก ร่อดิยั้ลลอฮุอันฮุ ไว้ว่า ท่านกล่าวว่า
ท่านร่อซูลุ่ลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอลัยฮิวะซั้ลลัม กล่าวไว้ว่า “พวกเขาจึงพากันมาหาฉัน แล้วฉันก็จึงทำการขออนุญาตต่อพระเจ้าของฉัน แล้วพระองค์ก็ทรงอนุญาตให้ฉัน ทันทีที่ฉันเห็นพระองค์ฉันก็ก้มลงสุญูดต่อพระองค์ แล้วพระองค์ก็ทรงปล่อยฉันไว้เท่าที่พระองค์ทรงประสงค์จะปล่อยฉันไว้
จากนั้นก็มีการกล่าวขึ้นว่า มุฮัมหมัด จงเงยศีรษะของเจ้าขึ้นมา
وَفِي رِوَايَةٍ لِابْنِ خُزَيْمَةَ ( في التوحيد): فَيَنْطَلِقُونَ إِلَى مُحَمَّدٍ -صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ- فَأَقُولُ: أَنَا لَهَا, فَأَنْطَلِقُ حَتَّى أَسْتَفْتِحَ بَابَ الْجَنَّةِ فَيُفْتَحَ لِي فَأَدْخُلَ وَرَبِّي عَلَى عَرْشِهِ فَأَخِرُّ سَاجِدًا..." (2/716 – 719، رقم 10/458 بسند صحيح ، و ابن أبي عاصم في السنة، 2/387 – 388ن رقم816، بسند صحيح على شرط الشيخين، وله طرق ، انظر "ظلال الجنة" 2/ 388 –محمد صبحي حلاق-)
ส่วนในกระแสรายงานของท่าน อิบนุคุซัยมะฮฺ (ใน อั้ตเตาฮี้ด)นั้น ระบุไว้ว่า
“พวกเขาจึงพากันไปหามุฮัมหมัด ศ็อลลัลลอฮุอลัยฮิวะซั้ลลัม แล้วฉันจึงพูดขึ้นว่า หน้าที่นี้เป็นของฉันเอง
แล้วฉันก็ออกไปจนได้ไปทำการขออนุญาตเปิดประตูสวรรค์ แล้วประตูนั้นก็ถูกเปิดออกให้แก่ฉัน
แล้วฉันก็จึงเข้าไป ซึ่งขณะนั้นพระเจ้าของฉันทรงอยู่บนบัลลังก์ของพระองค์ ฉันก็เลยลดตัวลงสุญูด”
وَفِي رِوَايَةٍ: "فَآتِي رَبِّي وَهُوَ عَلَى سَرِيرِهِ -أَوْ كُرْسِيِّهِ- فَأَخِرُّ لَهُ سَاجِدًا" ( ابن خزيمة في التوحيد،ص2/ 614 – 616، رقم 8/ 358، بسنده صحيح –محمد صبحي حلاق-)
ในอีกกระแสรายงานหนึ่งระบุว่า “ฉันจึงมาหาพระเจ้าของฉัน ซึ่งขณะนั้นพระองค์ทรงอยู่บนแคร่ของพระองค์ –หรือแท่นของพระองค์- ฉันจึงลดตัวลงสุญูดต่อพระองค์”
(2.3) ข้อมูลที่พูดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นภายหลังจากการฟื้นคืนชืพในวันกิยามะฮฺที่มีการระบุถึงการได้เห็น อัลลอฮฺ ตะอาลา
وَلِلطَّبَرَانِيِّ عَنْ عَبْدِ اللَّهِ بْنِ مَسْعُودٍ رَضِيَ اللَّهُ عَنْهُ عَنْ رَسُولِ اللَّهِ-صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ- قَالَ: "يَجْمَعُ اللَّهُ الْأَوَّلِينَ وَالْآخِرِينَ لِمِيقَاتِ يَوْمٍ مَعْلُومٍ أَرْبَعِينَ سَنَةً شَاخِصَةً أَبْصَارُهُمْ إِلَى السَّمَاءِ يَنْتَظِرُونَ فَصْلَ الْقَضَاءِ, وَيَنْزِلُ اللَّهُ عَزَّ وَجَلَّ فِي ظُلَلٍ مِنَ الْغَمَامِ مِنَ الْعَرْشِ إِلَى الْكُرْسِيِّ, ثُمَّ يُنَادِي مُنَادٍ: أَيُّهَا النَّاسُ أَلَمْ تَرْضَوْا مِنْ رَبِّكُمُ الَّذِي خَلَقَكُمْ وَرَزَقَكُمْ وَأَمَرَكُمْ أَنْ تَعْبُدُوهُ وَلَا تُشْرِكُوا بِهِ شَيْئًا أَنْ يُوَلَّى كُلُّ أُنَاسٍ مِنْكُمْ مَا كَانُوا يَتَوَلَّوْنَ وَيَعْبُدُونَ فِي الدُّنْيَا, أَلَيْسَ ذَلِكَ عَدْلًا مِنْ رَبِّكُمْ؟ قَالُوا: بَلَى, قَالَ: فَيَنْطَلِقُ كُلُّ قَوْمٍ إِلَى مَا كَانُوا يَعْبُدُونَ, وَيَتَوَلَّوْنَ فِي الدُّنْيَا, ... وَيَبْقَى مُحَمَّدٌ -صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ- وَأُمَّتُهُ فَيَأْتِيهِمُ الرَّبُّ عَزَّ وَجَلَّ فَيَقُولُ: مَا بَالُكُمْ لَا تَنْطَلِقُونَ كَمَا انْطَلَقَ النَّاسُ؟ قَالَ فَيَقُولُونَ: إِنَّ لَنَا إِلَهًا مَا رَأَيْنَاهُ بَعْدُ. فَيَقُولُ: هَلْ تَعْرِفُونَهُ إِنْ رَأَيْتُمُوهُ؟ فَيَقُولُونَ: إِنَّ بَيْنَنَا وَبَيْنَهُ عَلَامَةً إِذَا رَأَيْنَاهَا عَرَفْنَاهُ. قَالَ فَيَقُولُ: مَا هِيَ؟ فَيَقُولُونَ: يُكْشَفُ عَنْ سَاقٍ, فَعِنْدَ ذَلِكَ يُكْشَفُ عَنْ سَاقٍ فَيَخِرُّونَ لَهُ سُجَّدًا, وَيَبْقَى قَوْمٌ ظُهُورُهُمْ كَصَيَاصِي الْبَقَرِ يُرِيدُونَ السُّجُودَ فَلَا يَسْتَطِيعُونَ, وَقَدْ كَانُوا يُدْعَوْنَ إِلَى السُّجُودِ وَهُمْ سَالِمُونَ... الكبير ح 9763 وفيه أبوخالد الدالاني وهو ضعيف لكن للحديث متابع حسن من طريق زيد بن أبي أنيسة، وأصله في صحيح مسلم مختصراً
قَالَ ابْنُ الْقَيِّمِ رَحِمَهُ اللَّهُ تَعَالَى: هَذَا حَدِيثٌ كَبِيرٌ حَسَنٌ رَوَاهُ الْمُصَنِّفُونَ فِي السُّنَّةِ كَعَبْدِ اللَّهِ بْنِ أَحْمَدَ وَالطَّبَرَانِيِّ وَالدَّارَقُطْنِيِّ رَحِمَهُمُ اللَّهُ تَعَالَى (حادي الأرواح، ص 385
ในบันทึกของอั้ตตอบรอนีย์ จากรายงานของท่านอับดุลลอฮฺ บิน มัสอู้ด ร่อดิยั้ลลอฮุอันฮุ ซึ่งมีการรายงานข้อมูลมาจากท่านร่อซูลุ่ลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอลัยฮิวะซั้ลลัม ไว้ว่า
ท่านกล่าวไว้ว่า “อัลลอฮฺจะทรงรวบรวมผู้คนจากทั้งยุคแรกและยุคหลังเข้าไว้ด้วยกันตามกำหนดการณ์ของวันที่เป็นที่รับทราบเป็นระยะเวลาสี่สิบปี โดยที่สายตาของพวกเขาต่างเพ่งมองไปที่ฟ้ารอคอยการตัดสินพิพากษากันอยู่อย่างนั้น
และอัลลอฮฺ อั้ซซะวะญัล ก็จะทรงเสด็จลงมาในเงาเมฆ จากพระบัลลังก์ สู่พระแท่น
ถัดจากนั้น โฆษกก็จะประกาศว่า ปวงชนทั้งหลาย พวกท่านจะไม่ได้พอใจต่อพระเจ้าของพวกท่าน ผู้ทรงสร้างพวกท่านประทานปัจจัยต่างๆแก่พวกท่าน และทรงสั่งให้พวกท่านสักการะแต่พระองค์ และไม่นำอะไรทั้งสิ้นมาเป็นภาคีกับพระองค์กันหรือ ในการที่พระองค์จะทรงให้ทุกๆคนในพวกท่าน ได้ไปเป็นพวกกับสิ่งที่พวกตนเคยยึดและเคยสักการะกันมาในดุนยา แบบนี้ไม่ถือว่าเป็นความยุติธรรมจากพระเจ้าจากของพวกท่านหรอกหรือ?
พวกเขาตอบว่า หามิได้ครับ
ท่านกล่าวไว้ว่า แล้วกลุ่มชนทุกๆกลุ่มก็ต่างพากันออกไปหาสิ่งที่พวกตนเคยสักการะและเคยยึดเหนี่ยวกันมาในดุนยา...
จนกระทั่งถึงข้อความที่ว่า... จนเหลือแต่มุฮัมหมัด ศ็อลัลลอฮุอลัยฮิวะซั้ลลัม และประชาชาติของเขา
แล้วพระเจ้า อั้ซซะวะญัล ก็จึงมาหาพวกเขา แล้วทรงรับสั่งว่า พวกเจ้าเป็นอะไรกันทำไมถึงไม่ยอมออกไปเหมือนกับที่พวกผู้คนเขาออกกันไป?
ท่านกล่าวว่า แล้วพวกเขาก็จึงกล่าวตอบว่า คือจริงๆ แล้วพวกเรามีพระผู้ที่พวกเราให้การสักการะซึ่งพวกเราเองยังไม่เคยเห็นพระองค์มาก่อนเลยอยู่ครับ
พระองค์จึงตรัสว่า แล้วพวกเจ้าจะรู้จักพระองค์หรือถ้าพวกเจ้าได้เห็นพระองค์แล้ว ?
พวกเขากล่าวว่า จริงๆแล้วระหว่างพวกเรากับพระองค์นั้นมีเครื่องหมายอยู่ เมื่อไหร่ที่พวกเราได้เห็นเครื่องหมายนั้นพวกเราก็จะรู้จักว่าเป็นพระองค์ทันที
ท่านกล่าวว่า แล้วพระองค์ก็ตรัสว่า แล้วเครื่องหมายที่ว่านั้นคืออะไร?
พวกเขากล่าวตอบว่า แข้งจะถูกเปิดเผยขึ้นครับ และแล้วในตอนนั้นเองแข้งก็ถูกเปิดเผยขึ้น พวกเขาก็จึงพากันก้มลงสุญูดต่อพระองค์
จะเหลือก็แต่คนกลุ่มหนึ่งที่หลังของพวกเขาเป็นเหมือนกับเขาวัว พวกเขาอยากที่จะทำการสุญูดแต่ทำไม่ได้ ซึ่งแน่นอนว่าพวกเขาเองได้เคยถูกเรียกร้องให้มาทำการสุญูดกันมาก่อนแล้วตอนที่พวกเขายังดีๆกันอยู่
(2.4) ข้อมูลที่พูดถึงดั้จญ้าล โดยยืนยันว่าเป็นบุคคลที่มีตัวตนจริงๆด้วยการพูดถึงลักษณะต่างๆของมันทางด้านกายภาพที่สามารถสังเกตุเห็นได้ง่าย พร้อมทั้งชี้แจงถึงข้อมูลสำคัญบางข้อมูลเกี่ยวกับพระเจ้าเพื่อไม่ให้ผู้คนเกิดการสับสนหรือถูกดัจญ้าลลวงให้หลงออกจากความถูกต้องไปได้
لِلْإِمَامِ أَحْمَدَ عَنْ عُبَادَةَ بْنِ الصَّامِتِ رَضِيَ اللَّهُ عَنْهُ عَنِ النَّبِيِّ -صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ- أَنَّهُ قَالَ: "قَدْ حَدَّثْتُكُمْ عَنِ الدَّجَّالِ حَتَّى خَشِيتُ أَنْ لَا تَعْقِلُوا, إِنَّ الْمَسِيحَ الدَّجَّالَ رَجُلٌ قَصِيرٌ أَفْحَجُ جَعْدٌ أَعْوَرُ ... فَإِنِ الْتَبَسَ عَلَيْكُمْ فَاعْلَمُوا أَنَّ رَبَّكُمْ لَيْسَ بِأَعْوَرَ, وَأَنَّكُمْ لَنْ تَرَوْا رَبَّكُمْ حَتَّى تَمُوتُوا" (المسند، 5/324، ... وخلاصة القول: أن الحديث صحيح ، والله أعلم – محمد صبحي حلاق -)
ในบันทึกของท่านอิหม่ามอะฮฺหมัด จากรายงานของท่าน อุบาดะฮฺ บิน อั้ศศอมิต ร่อดิยั้ลลอฮุอันฮุ โดยท่านได้รายงานมาจากท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอลัยฮิวะซั้ลลัม ว่า
ท่านกล่าวไว้ว่า “ฉันได้เคยเล่าข้อมูลเกี่ยวกับอั้ดดั้จย้าลให้กับพวกท่านไว้จนฉันเกรงว่าพวกท่านจะขาดสติกันไปเสีย อั้ลมะซี้ฮฺ อั้ดดั้จย้าลนั้น เป็นผู้ชายตัวเตี้ยๆ ขาโก่ง หัวหยิก ตาเสียหนึ่งข้าง ...(กระทั่งถึงคำพูดของท่านที่ว่า)...
ดังนั้นถ้าหากพวกท่านสับสนกันล่ะก็ พวกท่านก็จงรู้ไว้ว่า พระเจ้าของพวกท่านนั้นไม่ใช่ผู้ที่ตาเสียไปข้างหนึ่งแน่นอน
และจงรู้ไว้ว่าพวกท่านจะยังไม่เห็นพระเจ้าของพวกท่านจนกว่าพวกท่านจะต้องตายกันไปแล้วเสียก่อนเท่านั้น”