สิ่งต่าง ๆ ที่เป็นการปฏิเสธอิสลาม
เรียบเรียงโดย : ชัยคฺมุฮัมมัด บิน อับดุลวะฮาบ บิน สุลัยมาน อัตตะมีมีย์
อธิบายโดย : ชัยคฺฮัยษัม บิน มุฮัมมัดญะมีล ซัรฺฮาน
ท่านชัยคุลอิสลามมุฮัมมัด บุตร อับดุลวะฮาบ ได้กล่าวว่า พึงทราบเถิดว่า แท้จริงแล้วสิ่งต่างๆ ที่เป็นการปฏิเสธอิสลามนั้นมีหลักๆ 10 ประการ คือ
ประการที่หนึ่ง
การตั้งภาคีในการปฏิบัติศาสนกิจต่ออัลลอฮฺ
อัลลอฮฺ ตรัสว่า
“แท้จริง อัลลอฮฺจะไม่ทรงอภัยโทษให้กับการตั้งภาคีต่อพระองค์ และพระองค์จะทรงอภัยโทษให้แก่สิ่งอื่นนอกเหนือจากนั้น สำหรับผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์”
(อันนิซาอฺ 4 : 48)
และอัลลอฮฺ ตรัสว่า
“แท้จริงผู้ใดที่ตั้งภาคีกับอัลลอฮฺ แน่นอนอัลลอฮฺ จะทรงทำให้สวรรค์เป็นที่ต้องห้ามแก่เขา และที่พำนักของเขานั้นคือนรก และสำหรับผู้อธรรมนั้น ย่อมไม่มีผู้ช่วยเหลือใดๆ”
(อัลมาอิดะฮฺ 5 : 72)
ประการที่สอง
ผู้ใดที่สร้างสื่อกลางระหว่างตัวเขากับอัลลอฮฺ โดยวิงวอนและขอความช่วยเหลือต่อสิ่งเหล่านั้น รวมถึงพึ่งพาต่อสิ่งเหล่านั้น ถือว่าเขาได้ปฏิเสธอิสลามตามมติเอกฉันท์ของปวงปราชญ์
ประการที่สาม
ผู้ใดที่ไม่มองว่าบรรดาผู้ตั้งภาคี คือ ผู้ปฏิเสธอิสลาม หรือมีความสงสัยในการปฏิเสธอิสลามของพวกเขา หรือมองว่าแนวทางของพวกเขานั้นถูกต้อง ถือว่าเขาได้ปฏิเสธอิสลาม
ประการที่สี่
ผู้ใดที่เชื่อว่ามีแนวทางอื่นสมบูรณ์กว่าแนวทางของท่านนบีมุฮัมมัด หรือเชื่อว่า การตัดสินอื่นดีกว่าการตัดสินของท่าน ดังเช่นผู้ที่ยึดเอาการตัดสินของพวกพระเจ้าจอมปลอม (ฏอฆูต) มานำหน้าข้อตัดสินของท่านนบีมุฮัมมัด ถือว่าเขาคือผู้ปฏิเสธอิสลาม
ประการที่ห้า
ผู้ใดที่รังเกียจสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่ท่านนบีมุฮัมมัดได้นำมาเผยแผ่ ถึงแม้ว่าเขานำสิ่งนั้นมาปฏิบัติก็ตาม ถือว่าเขาได้ปฏิเสธอิสลาม
ประการที่หก
ผู้ใดที่เยาะเย้ยสิ่งหนึ่งสิ่งใดในศาสนาของท่านศาสนทูต (มุฮัมมัด) ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการตอบแทนหรือการลงโทษของอัลลอฮฺ ถือว่าเขาได้ปฏิเสธอิสลาม และหลักฐานในเรื่องนี้ก็คือพระดำรัสที่อัลลอฮฺ ตรัสว่า
“จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) ว่า ต่ออัลลอฮฺ และบรรดาโองการของพระองค์ และศาสนทูตของพระองค์กระนั้หรือที่พวกท่านเย้ยหยันกัน
พวกท่านอย่าแก้ตัวเลย แท้จริงพวกท่านได้ปฏิเสธศรัทธาแล้ว หลังจากการมีศรัทธาของพวกท่าน”
(อัตเตาบะฮฺ 9 : 65)
ประการที่เจ็ด
การทำไสยศาสตร์ และส่วนหนึ่งของมัน คือการทำให้คนแตกแยก หรือทำให้คนหลงรักกัน ดังนั้นใครก็ตามที่กระทำหรือพอใจในไสยศาสตร์นั้น ถือว่าเขาได้ปฏิเสธอิสลาม และหลักฐานในเรื่องนี้ก็คือ พระดำรัสของอัลลอฮฺที่ตรัสว่า
“และเขาทั้งสองจะไม่สอน (ไสยศาสตร์) ให้แก่ผู้ใดจนกว่าจะกล่าวว่า แท้จริงเราเพียงเป็นผู้ทดสอบเท่านั้น ท่านจงอย่าปฏิเสธการศรัทธาเลย (จงอย่าเรียนไสยศาสตร์เพราะเป็นการปฏิเสธศรัทธา)”
(อัลบะกอเราะฮฺ 2 : 102)
ประการที่แปด
การสมรู้ร่วมคิดกับบรรดาผู้ตั้งภาคี และให้ความช่วยเหลือกับพวกเขาในการทำร้ายบรรดามุสลิม และหลักฐานในเรื่องนี้ก็คือพระดำรัสที่อัลลอฮฺ ตรัสว่า
“และผู้ใดในหมู่พวกเจ้าที่เอาพวกเขา (ยิวและคริสต์) มาเป็นมิตรแล้วไซร้ แน่นอนผู้นั้นก็เป็นหนึ่งในพวกเขา แท้จริงอัลลอฮฺนั้นจะไม่ทรงแนะนำกลุ่มชนที่อธรรม”
(อัลมาอิดะฮฺ 5 : 51)
ประการที่เก้า
ผู้ใดที่เชื่อว่ามนุษย์บางคนได้รับอนุญาตให้หลุดพ้นจากบทบัญญัติของท่านนบีมุฮัมมัด ดังที่ท่านนบีค่อฎิรฺ ได้รับอนุญาตให้หลุดพ้นจากบทบัญญัติของท่านนบีมูซา ถือว่าเขาคือผู้ปฏิเสธอิสลาม
ประการที่สิบ
การหันหลังให้ศาสนาของอัลลอฮฺโดยไม่ร่ำเรียนและไม่ปฏิบัติ และหลักฐานในเรื่องนี้ก็คือ พระดำรัสของอัลลอฮฺ ที่ตรัสว่า
“และผู้ใดเล่า จะอธรรมยิ่งไปกว่าผู้ถูกเตือนให้รำลึกถึงอายาตทั้งหลายของพระเจ้าของพวกเขา แล้วเขาก็ผินหลังให้กับอายาต (สัญญาณและหลักฐานต่างๆ) เหล่านั้น แท้จริงเราเป็นผู้ลงทัณฑ์บรรดาผู้กระทำความผิด”
(อัซ-ซัจดะฮฺ 32 : 22)
ไม่มีความแตกต่างใดๆ ทั้งสิ้น จากการกระทำสิ่งที่เป็นการปฏิเสธอิสลามทั้งหมดนี้ ระหว่างผู้ที่กระทำโดยเจตนาล้อเล่น และผู้ที่ตั้งใจกระทำ และผู้ที่หวาดกลัว ยกเว้นผู้ที่โดนบังคับเท่านั้น
และสิ่งต่างๆ ทั้งหมดที่กล่าวมานี้ คือ ส่วนหนึ่งของสิ่งต่างๆ ที่ถือว่าเป็นอันตรายร้ายแรง และเกิดขึ้นมากที่สุด ดังนั้น มุสลิมจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องพึงระวังและหวาดกลัวว่ามันจะเกิดขึ้นกับตัวของเขาเอง
เราขอความคุ้มครองจากอัลลอฮฺให้รอดพ้นจากสิ่งที่ทำให้อัลลอฮฺทรงโกรธกริ้ว และให้รอดพ้นจากการลงโทษที่เจ็บปวดของพระองค์
ขอให้อัลลอฮฺ โปรดประทานพรและความสันติให้แก่นบีมุอัมมัด และวงศาคณาญาติของท่าน ตลอดจนเหล่าสาวกของท่านด้วยเถิด