จงมั่นคงในอิสลาม
โดย อาจารย์อับดุรเราะห์มาน กรีมี
ท่านพี่น้องมุสลิมทั้งหลาย มุสลิมในยุคแรกเริ่มของอิสลามเข้าใจความหมายของคำว่า “อิสลาม” กันอย่างไร? และในปัจจุบันเรามีความหมายของอิสลามว่าอย่างไร?
เป็นที่แน่นอนว่ามุสลิมในสมัยนั้น หาได้มีความเข้าใจความหมายของอิสลาม เหมือนกับที่พวกเราเข้าใจกันในปัจจุบัน พวกเรามีความเข้าใจกันว่า อิสลาม คือ การทำอิบาดะฮฺให้ถูกต้องครบถ้วนก็เป็นการเพียงพอ ใครเป็นผู้เคร่งครัดในศาสนา เขาก็เป็นมุสลิมที่สมควรจะยกย่องนับถือ โดยไม่คำนึงถึงความประพฤติ และ การปฏิบัติของเขา ผิดกับบัญญัติของศาสนาหรือไม่ นี่คือสภาพสังคมในปัจจุบัน
แต่... คำว่า “อิสลาม” ในทัศนะของท่านร่อซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ตลอดจนบุคคลชั้นนำในสมัยนั้น หมายถึง การยอมจำนน ยอมมอบกายและชีวิตของเขา ยอมรับว่าตนเป็นกรรมสิทธิ์ของอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา พระองค์ทรงสิทธิเหนือทุกสิ่งอย่างในสากลจักรวาล ดังนั้น การปฏิบัติของพวกเขาจะต้องอยู่ภายใต้บทบัญญัติและธรรมนูญ ซึ่งพระองค์ทรงบัญญัติไว้ทุกย่างก้าวในการดำเนินชีวิต และทุกลมหายใจเข้าออกของพวกเขา จะต้องอยู่ภายในกรอบของบัญญัติที่พระองค์อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ได้วางไว้
มุสลิมในสมัยก่อน มิได้มีความเข้าใจในปฏิญาณที่ว่า“ลาอิลาฮะอิลลัลลอฺ มุฮัมมะดุรร่อซูลุลลอฮฺ” เป็นเพียงคำพูดที่ลั่นออกมาทางวาจาเท่านั้น แต่จะต้องออกมาจากจิตใจหรือส่วนลึกของหัวใจและการดำเนินชีวิตของเขา คือ การปฏิบัติตามบทบัญญัติที่อัลลอฮฺทรงใช้แก่เขา และห้ามปรามจากสิ่งที่อัลลอฮฺและร่อซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้ทรงห้ามแก่เขา และพระองค์เป็นผู้ทรงมีกรรมสิทธิ์ในพวกเขา ทั้งในโลกนี้และโลกหน้า พระองค์เป็นผู้ทรงจัดระบบระเบียบในทุกๆ สิ่งที่พระองค์ทรงสร้างมา พระองค์ องค์เดียวเท่านั้นที่เป็นที่สมควรแก่การเคารพอิบาดะฮฺ
ดังนั้น จิตใจและ การยำเกรงจะต้องมุ่งสู่พระองค์เพียงองค์เดียว มีความตักวา เพราะพระองค์เป็นผู้ทรงประทานชีวิต กำหนดสภาวะ และปัจจัยยังชีพ และผู้ทรงอำนาจอันเข้มแข็ง ฉะนั้นการผินหน้าสู่สิ่งอื่นนอกจากพระองค์ เท่ากับว่าเขาให้มีภาคีขึ้นกับพระองค์แล้ว
และเราจะต้องมีความเข้าใจอีกว่า พระองค์ องค์เดียวเท่านั้น ที่เป็นผู้ทรงอำนาจ ผู้ทรงปกครอง ผู้ทรงวางบทบัญญัติและธรรมนูญชีวิต ไม่มีผู้ใดมาคู่เคียงหรือมีหุ้นส่วนกับพระองค์ได้
ความเชื่อถือดังที่กล่าวมาแล้วเป็นเรื่องธรรมดาสามัญของมุสลิมในสมัยนั้น ทั้งนี้ เพราะพวกเขาได้อ่านอายะฮฺของอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ที่ว่า
“และเรามิได้ส่งร่อซูลคนใดมา นอกจากเพื่อเขาจะได้รับการจงรักภักดีด้วยอนุมัติของพระองค์อัลลอฮฺ”
(อันนิซาอฺ 4 : 64)
และอีกอายะฮฺหนึ่งที่ว่า
“และอันใดที่ร่อซูลได้นำมาให้แก่สูเจ้าแล้ว ก็จงยึดถือมั่นไว้ และอันใดที่ท่านร่อซูลได้ห้ามปรามไว้ก็จงละเว้นเสีย”
(อัลฮัชร์ 59 : 7)
นี้คือความเข้าใจโดยทั่วไป หรือโดยสรุปของการปฏิญาณที่ว่า “ลาอิลาฮะอิลลัลลอฺ มุฮัมมะดุรร่อซูลุลลอฮฺ” ดังนั้น จำเป็นที่ความเข้าใจนี้จะต้องฝังลึกอยู่ในจิตใจของมุสลิมทุกคน ถ้าทุกคนมีความเข้าใจเช่นนี้แล้ว การดำเนินชีวิตของเขาก็จะราบรื่น นั่นคือ ได้เดินไปสู่แนวทาง อันเที่ยงตรงซึ่งเป็นแนวทางของอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา แล้ว
ท่านพี่น้องผู้ศรัทธาทั้งหลาย
มุสลิมในสมัยก่อนมีความเข้าใจว่า การตั้งใจหรือเจตนารมณ์อยู่ที่จิตใจเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ไม่อาจที่จะทำให้เขาเป็นมุสลิมได้ ถ้าหากการตั้งใจหรือเจตนาของเขา มิได้เปลี่ยนให้ปรากฏออกมาสู่การปฏิบัติที่เป็นรูปธรรม ฉะนั้น ความตั้งใจจะไม่มีคุณค่าอะไรเลย ตามทัศนะแห่งความเป็นจริง
การตั้งเจตนารมณ์หรือตั้งใจอย่างเดียวนั้น ไม่เป็นการเพียงพอหากไม่มีการปฏิบัติ นอกจากนี้ยังมีสิ่งกีดขวาง คอยกีดกันมิให้ความตั้งใจบรรลุจุดมุ่งหมายของมนุษย์ได้ คือ ความเคยชิน การเลียนแบบ ความพอใจ
คุณลักษณะของผู้ที่เป็นมุสลิม หรือเป็นผู้ที่มีอีมาน ดังอายะฮฺที่พระองค์อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ได้กล่าวไว้ ก็คือ
“บรรดาผู้ซึ่งดำรงการละหมาด และพวกเขายอมเสียสละจากส่วนที่เราได้ให้แก่พวกเขาในทางของเรา
ชนเหล่านี้แหละคือ มุอฺมินที่แท้จริง พวกเขาจะได้รับเกียรติ และได้รับการอภัยโทษ และได้รับริสกีอย่างมากมาย”
(อัลอันฟาล 8 : 3-4)
ดังนั้น เราต้องหันมาสำรวจตัวเราเองว่า คุณลักษณะของคนดีอยู่ในตัวของเราบ้างมากน้อยเพียงใด การเป็นมุสลิมแต่เปลือกนอกนั้นไม่ได้ช่วยอะไรเราได้ ! และถึงเวลาหรือยังที่เราจะปรับปรุงแก้ไขตัวเราเองให้ ดีขึ้น หรือเราเชื่อใจตัวเราเองว่า การกระทำของเราทุกวันนี้ เพียงพอแล้วที่เราจะไปตอบคำถามพระเจ้าของเรา บางคนได้ชื่อว่าเป็นมุสลิม แต่ก็บอกคนอื่นไม่ได้ว่าอิสลามมีดีอย่างไร สอนอย่างไร ? ท่านบอกเขาไม่เคยปฏิบัติตามข้อใช้ ข้อห้าม ที่อัลลอฮฺและร่อซูลทรงบอกเอาไว้ ไม่ทำความเข้าใจคำว่า “อิสลาม” ไม่เรียนรู้ ไม่ศึกษา หาความเข้าใจจากอัลกุรอานและฮะดิษ
บางคน ตั้งแต่เกิดมาจนกระทั่งตาย ไม่เคยจับอัลกุรอาน ไม่เคยเรียนรู้เรื่องศาสนา ปล่อยตัวปล่อยใจ เอารู้เรื่องดุนยา เรื่องของคนอื่นมากไป จนกระทั่งไม่มีเวลาได้ใช้สติปัญญาของตนเองคิด ว่าเรามีอะไรพร้อมบ้างที่จะไปตอบต่อพระผู้เป็นเจ้าของเรา คนรอบข้าง ครอบครัวของเราอยู่ในร่องรอยของศาสนาหรือเปล่า สิ่งต่างๆ เหล่านี้ต้องถามใจตัวเราเอง
ในบันทึกของอิมาม อัลบุคอรีย์ รายงานจากท่านอัมรฺ อิบนิ เอาว์ฟ
“ท่านร่อซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้กล่าวว่า “ขอสาบานด้วยพระนามของอัลลอฮฺว่า ไม่ใช่ ความยากจนหรอกที่ฉันกลัวจะประสบกับพวกท่าน แต่ทว่า ฉันกลัวว่าดุนยานั้น จะเข้าครอบงำบนพวกท่าน ดังที่มันได้ครอบงำผู้ที่มาก่อนพวกท่านมาแล้ว แล้วพวกเขาได้แข่งขันกันมาแล้ว แล้วมัน(ดุนยา)ก็ยังความหายนะแก่พวกท่าน ดังที่มันได้นำความหายนะให้แก่พวกเขา เช่นชนที่มาก่อนหน้ามาแล้ว”
(บันทึกโดย อิมาม อัลบุคอรีย์ และอิมาม มุสลิม)
ผู้เป็นมุสลิมบางคน อย่าได้ถือว่าเราเกิดมาเป็นมุสลิมก็ดีที่สุด เป็นศาสนาที่อัลลอฮฺทรงรับรองก็พอแล้ว กาลเวลาแห่งชีวิตจะใช้ให้หมดไปด้วยการแข่งขันชิงดีชิงเด่นกันในเรื่องของดุนยา ไม่ว่าจะได้มาทางฮะลาล หรือฮะรอมไม่สนใจ ไม่คำนึงถึงชีวิตที่จะต้องถูกทำให้ฟื้นคืนชีพขึ้นมาใหม่ คือ วันอาคิเราะฮฺ ซึ่งเราจะต้องออกมาจากหลุมฝังศพ เพื่อมารอการคิดบัญชีของการกระทำในวันเวลาที่ผ่านมาในโลกดุนยา
ตกลงมุสลิมทุกวันนี้ อยู่ในความขลาดกลัว กลัวความตาย กลัวเจ็บไข้ กลัวน้อยหน้าผู้อื่น กลัวความ พ่ายแพ้ กลัวต่างๆ นานา เพียงขอให้ได้มาเพื่อความสุขของตนเอง ครอบครัว คนรอบข้าง คนอื่นจะเดือดร้อน ไม่สำคัญ ตายแล้วตัวเองจะเป็นอย่างไร จะไปอยู่ที่ไหน นรกหรือสวรรค์ ในเรื่องนี้ไม่มีใครคิด
ดังนั้น การเป็นมุสลิมที่ไม่รู้จักอัลลอฮฺ ไม่ปฏิบัติตามแนวทางที่ท่านร่อซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้นำมา จึงเป็นต้นเหตุที่ก่อให้เกิคความเสื่อมเสียให้แก่ตนเอง และสังคมโดยส่วนรวม
มีรายงานจากท่านอบีก่อตาดะฮฺได้เล่าว่า “แท้จริง ครั้งหนึ่งได้มีคนหามมัยยิตผ่านท่านร่อซูล ศ็อลลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม
ท่านร่อซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า เขาเป็นผู้มีความสุขหรือเป็นผู้ที่ทำให้ผู้อื่นมีความสุข
บรรดาซอฮาบะฮฺถามว่าที่ท่านพูดนั้นหมายความว่าอย่างไร?
ท่านร่อซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้กล่าวว่า
คนที่เป็นมุอฺมินนั้น เมื่อเขาได้ตายไป เขาก็สบายมีความสุข เพราะความทุกข์ยากของดุนยา
ส่วนคนชั่วนั้น เมื่อเขาได้ตายไป เพื่อนมนุษย์ บ้านเมือง ต้นหมากรากไม้ ตลอดจนสิงสาราสัตว์ต่างก็มีความสุขไปตามๆ กัน
จากอัลฮะดิษ ชี้ให้เห็นว่า คนที่มีอีมาน รักษาการเป็นอิสลามของเขาด้วยการปฏิบัติตามข้อใช้ ข้อห้ามอย่างจริงจัง ชีวิตของเขาก็จะต้องโดนทดสอบอยู่เสมอ การเจ็บไข้ได้ป่วย ความขาดแคลน ความทุกข์ยาก ความลำบากต่างๆ นานา ดังนั้น เมื่อเขาได้ตายลง เขาก็รอดพ้นจากความทุกข์ยากกลับไปสู่ความสุขสบาย
ส่วนคนไม่ดีนั้น ชีวิตของเขาก็เต็มไปด้วยความเกเร เกะกะ ก่อความเดือดร้อนให้ผู้อื่น ให้แก่สังคม ไม่รู้จักจบสิ้น ดังนั้น เมื่อเขาได้ตายลง สรรพสิ่งทั้งหลายที่อยู่ในโลกนี้ ก็หลุดพ้นจากความเลวร้ายของเขา
ด้วยเหตุนี้ ขอให้เรารักษาการเป็นอิสลามของเราให้มั่นคง ด้วยการปฏิบัติตามคำสั่งใช้ ข้อใช้ ข้อห้ามอย่างจริงจัง สิ่งที่เป็นของฮะรอม เป็นบิดอะฮฺ อุตริกรรมต่างๆ ที่เกิดขึ้นมาใหม่ สิ่งที่เป็นของคลุมเครือ ก็พยายามปลีกตัวออกห่าง
กลุ่มก้อนต่างๆ ที่ทำลายล้างการเป็นอิสลามของเรา เช่น ชีอะฮฺ ก็อดยานีย์ ค่อวาริจญ์ และบรรดากลุ่มต่างๆ ที่ออกนอกแนวทางของอิสลาม ก็ต้องไม่ใปร่วมสัมมนาด้วย เพราะเขาเหล่านั้น ไม่ดำเนินตามแนวทางกิตาบุลลอฮฺและซุนนะฮฺที่ถูกต้อง ตลอดจนแบบฉบับของบรรพชนในยุคแรกๆ
ที่มา : อนุสรณ์งานประจำปี โรงเรียนมุสลิมวิทยาคาร 16 มกราคม 2559