นิอฺมัตที่มักจะถูกลืม
โดย อาจารย์นิสรีน อับดุลเลาะห์
มีรายงานฮะดิษจากท่านอิบนิ อับบ๊าส ร่อฎิยัลลอฮุอันฮุ กล่าวว่า ท่านร่อซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า
“มีความกรุณา เมตตาอยู่ 2 ประเภท ที่ผู้คนส่วนมาก มักปล่อยปะละเลย (ไม่ดำเนินการในสิ่งที่เป็นประโยชน์แก่ตัวเขา) นั่นคือ
การมีสุขภาพสมบูรณ์ และ ช่วงเวลาว่าง”
(บันทึกโดย อิมามอัลบุคอรีย์)
คำอธิบาย
ท่านอิมาม อันนะวะวีย์ ร่อฮิมะฮุลลอฮฺ ได้กล่าวถึงฮะดิษที่รายงานโดยท่านอิบนิ อับบ๊าส ร่อฎิยัลลอฮุอันฮุ ว่า ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า
“มีความกรุณา เมตตา อยู่ 2 ประเภท ที่ผู้คนส่วนใหญ่ มักปล่อยปะละเลย ไม่ใส่ใจ
นั่นคือ การมีสุขภาพแข็งแรงสมบูรณ์ดี และการมีช่วงเวลาว่าง”
หมายความว่า ความโปรดปรานทั้งสองประเภทนี้ ผู้คนส่วนใหญ่มักไม่ใส่ใจที่จะใช้โอกาสที่ได้รับความกรุณาเมตตา กระทำในสิ่งที่ก่อให้เกิดประโยชน์แก่ตัวเขา กล่าวคือ มนุษย์นั้นเมื่อเขามีสุขภาพดี แข็งแรง เขาจะสามารถกระทำในสิ่งต่างๆ ที่อัลลอฮฺทรงใช้ และสามารถที่จะละทิ้ง ในสิ่งที่อัลลอฮฺทรงห้ามมิให้กระทำ เพราะเขายังมีสุขภาพดีแข็งแรง มีจิตใจปลอดโปร่งและมีหัวใจที่เต็มไปด้วยความสงบสุข
เช่นเดียวกัน การมีช่วงเวลาว่าง เมื่อมนุษย์มีที่พักพิงอาศัย และมีเสบียงอาหารพอเพียงสำหรับเขาแล้ว เขาก็จะกระทำตัวว่างเปล่าไม่ทำสิ่งใด ดังนั้น เมื่อเขาทำตัวว่างเปล่า ทั้งๆ ที่ยังมีสุขภาพสมบูรณ์แข็งแรง แน่นอน เขาได้ปล่อยปะละเลย ไม่ใส่ใจกับความเมตตากรุณาอย่างมากมายในขณะนั้น
ฉะนั้น เวลาส่วนมากของพวกเราที่ต้องสูญเสียไปโดยมิได้รับประโยชน์อันใดเลย ทั้งๆ ที่พวกเรายังอยู่ในช่วงเวลาที่มีสุขภาพสมบูรณ์แข็งแรงดี และยังมีเวลาว่าง ถึงกระนั้นก็ตาม ประโยชน์อันมากมายที่สมควรจะได้รับได้สูญหายไปจากพวกเรามิใช่น้อย โดยที่พวกเราก็ไม่รู้เลยว่า ได้ละเลยไม่ใส่ใจขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ในโลกนี้ มารู้ตัวอีกทีก็ต่อเมื่อเวลาแห่งความตายได้คืบคลานเข้ามาถึง หรือเวลาแห่งวันกิยามะฮฺได้ปรากฏขึ้นแล้ว หลักฐานที่ยืนยันถึงสิ่งดังกล่าวคือ ดำรัสของอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ที่กล่าวว่า
“จนกระทั่ง เมื่อความตายได้มาสู่คนใดในพวกเขา เขาก็จะกล่าว่า โอ้พระเจ้าของข้าพระองค์ ข้าพระองค์ขอกลับไปมีชีวิต (ในโลกดุนยา) อีกครั้งหนึ่งเถิด เพื่อข้าพระองค์จะได้กระทำความดีในสิ่งที่ข้าพระองค์ละเลยเอาไว้”
(อัลมุอฺมินูน 23 : 99-100)
และอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ได้กล่าวไว้ ในซูเราะฮฺ อัลมุนาฟิกูน ว่า
“ก่อนที่ความตายจะมาสู่คนหนึ่งคนใดในหมู่พวกเจ้า แล้วเขาก็จะกล่าวว่า
โอ้พระเจ้าของข้าพระองค์ พระองค์จะไม่ทรงยืดกำหนดเวลา (แห่งความตาย) ของข้าพระองค์ออกไปอีกสักเล็กน้อยหรอกหรือ
เพื่อข้าพระองค์จะได้บริจาค และข้าพระองค์จะได้เป็นคนหนึ่งในหมู่คนดีทั้งหลาย
และไม่มีวันที่ อัลลอฮฺจะทรงยืดเวลาแห่งความตายแก่ชีวิตใดออกไปเป็นอันขาด เมื่อกำหนดเวลาของมันได้มาถึง
และอัลลอฮฺทรงรู้ดียิ่งในสิ่งที่พวกเจ้ากระทำกัน”
(อัลมุนาฟิกูน 63 : 10-11)
ในความเป็นจริงแล้ว เวลาต่างๆ นี้ ที่ผ่านพวกเราไปโดยเปล่าประโยชน์มีมากมาย พวกเราไม่ได้รับประโยชน์อันใดเลยจากเวลาเหล่านั้น และก็มิได้ทำประโยชน์อันใดให้เกิดแก่บ่าวของอัลลอฮฺเลย พวกเรายังคงไม่รู้สึกเสียใจ และเสียดายเวลาเหล่านั้นที่ผ่านเลยไป นอกจากเมื่อเวลาแห่งความตายมาถึง ขณะนั้นมนุษย์หวังจะได้รับโอกาสแม้สักเพียง 1 นาที เพื่อขอความกรุณา เมตตาจากพระองค์ แต่เขาก็ไม่ได้รับใน สิ่งที่เขาวอนขอ
บางทีนิอฺมะฮฺทั้งสองประเภทนี้ (คือ สุขภาพดี และเวลาว่าง) อาจจะไม่ทันได้ผ่านเลยไปจากมนุษย์ เพราะเขาได้เสียชีวิตไปก่อน แต่บางทีมันอาจจะผ่านเขาไป ก่อนที่เขาจะเสียชีวิต คือ เขาอาจเจ็บไข้ ได้ป่วย มีอาการอ่อนเพลีย สิ่งเหล่านี้จึงทำให้เขาไม่สามารถที่จะดำรงไว้ซึ่งหน้าที่ที่อัลลอฮฺได้ทรงกำหนดเอาไว้ได้ หรือ เขาอาจจะได้รับความเจ็บป่วย อึดอัดใจ ไม่สบายใจ และเหน็ดเหนื่อยหรือเขาอาจจะหมกมุ่นอยู่กับการแสวงหาปัจจัยยังชีพให้แก่ตัวเอง และครอบครัว จนทำให้การภักดีต่ออัลลอฮฺหลายประการต้องผ่านเลยเขาไป โดยไม่มีโอกาสเรียกกลับคืนมาได้
ดังนั้น สมควรอย่างยิ่งสำหรับมนุษย์ที่มีสติปัญญา จะต้องฉวยโอกาสขณะที่มีสุขภาพดี แข็งแรง มีเวลาว่าง ให้รีบกระทำการภักดีต่ออัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา เท่าที่สามารถจะกระทำได้ หากเขาเป็นคนรู้จักการอ่านอัลกุรอาน ก็จงอ่านอัลกุรอานให้มากเท่าที่จะทำได้ หากเขาอ่านไม่ออก ก็ให้พยายามกล่าวรำลึกถึงอัลลอฮฺให้มาก แต่หากเขาไม่สามารถทำได้ ก็ให้เขาส่งเสริมสนับสนุนกันให้ทำความดี และยับยั้งห้ามปรามการกระทำความชั่ว หรือเสียสละของกินของใช้ หรือช่วยขจัดความทุกข์ยาก และทำความดีต่อพี่น้อง ตราบใดที่ยังมีความสามารถ เพราะมิฉะนั้น ความดีอันมากมายเหล่านี้มันจะผ่านพวกเราไปโดยเปล่าประโยชน์ ฉะนั้น จงระวังและเตือนตัวเองอยู่เสมอว่า อย่าละเลยขณะที่ยังได้รับความเมตตา กรุณาทั้ง 2 ประเภทนี้
มนุษย์ที่ยังมีสติ ก็คือ ผู้ที่ฉวยโอกาสทอง นั้นคือ โอกาสที่กำลังมีสุขภาพดี แข็งแรง และโอกาสในขณะที่มีเวลาว่าง
ในเรื่องนี้ แสดงให้เห็นว่า ความกรุณาเมตตาของอัลลอฮฺนั้น มีความแตกต่างกัน มีบางประเภทสำคัญกว่าอีกบางประเภท และประเภทที่สำคัญที่สุดและยิ่งใหญ่ที่สุด ที่อัลลอฮฺทรงกรุณา เมตตาแก่บ่าว คือ อัลอิสลาม ซึ่งเป็นนิอฺมะฮฺที่อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ทรงให้มนุษย์เป็นจำนวนมากหลงไปจากนิอฺมะฮฺนี้
“วันนี้ ข้า (อัลลอฮฺ) ได้ให้ศาสนาของพวกเจ้าสมบูรณ์แล้ว และข้าได้ให้ความเมตตาของข้าครบถ้วนแก่พวกเจ้าแล้ว และข้าได้พอใจเลือกอิสลามให้เป็นศาสนาสำหรับพวกเจ้า”
(อัลมาอิดะฮฺ 5 : 3)
เพราะฉะนั้น เมื่อมนุษย์พบว่า อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ได้ทรงกรุณาเมตตา ประทานอัลอิสลามแก่เขา และทรงให้หัวใจของเขาผ่องแผ้วปิติยินดีกับอิสลาม นั่นแหละคือ นิอฺมะฮฺ อันยิ่งใหญ่ที่สุด
ที่มา : อนุสรณ์งานประจำปี โรงเรียนมุสลิมวิทยาคาร 18 ธันวาคม 2553