เข้าใจความรู้ทางศาสนา
อ.อิสมาอีล กอเซ็ม
อยากมีความรู้ศาสนาที่ครอบคลุมและเข้าใจปัญหาศาสนาที่ลึกซึ้ง จงอย่ายึดติดที่ผู้รู้เพียงคนเดียว บรรดานักวิชาการสลัฟในอดีตกว่าเขาจะเป็นผู้ที่มีความรู้ได้ เขาเดินทางไปร่ำเรียนหาวิชาความรู้จากบรรดาผู้รู้มากมาย พวกเขามีครูบาอาจารย์เป็นร้อยเป็นพัน ส่วนปัญหาศาสนาที่เกิดขึ้นในระหว่างมุสลิมในปัจจุบัน จนนำไปสู่การทะเลาะเบาะแว้งเนื่องจากการยึดติดในตัวผู้รู้แบบไม่แยกแยะอันไหนที่ควรตาม อันไหนที่ไม่ควรตาม
สิ่งที่น่ากลัว ของการทำความเข้าใจตัวบทศาสนาด้วยตัวเองโดยไม่ผ่านผู้ที่มีความรู้ ก็คือการเข้าใจตัวบทของหลักฐานที่ถูกต้องผิดพลาดจากจุดประสงค์ที่แท้จริง แล้วนำความเข้าใจนั้นไปใช้ต่อ เหมือนกลุ่มคอวาริจญ์ทำความเข้าใจในตัวบทที่กล่าวถึงผู้ปฏิเสธศรัทธา แต่เขาเข้าใจว่าตัวบทนั้นใช้กับบรรดามุสลิม จึงเป็นเหตุให้เขาตัดสินบรรดามุสลิมว่า ตกศาสนา และนำไปสู่การหะลาลเลือดพี่น้องมุสลิม
สิ่งที่พึงระวังอาจจะนำไปสู่แนวทางของคอวาริจญ์ได้ ก็เริ่มแรกคือการตำหนิต่อบรรดาผู้รู้ เมื่อเขาสามารถตำหนิผู้รู้ได้ไม่ใช่เรื่องยากที่เขาจะตำหนิตัวผู้ปกครอง ที่จะนำไปสู่การไม่เชื่อฟังต่อผู้ปกครอง เพราะเมื่อเขาสามารถตำหนิผู้รู้ได้ คำตักเตือนของผู้รู้ก็ไม่มีค่าใดๆสำหรับเขา
หลายคนที่เริ่มเรียนศาสนา พอเรียนไปได้สักระยะ ก็มักจะเดินตามแนวทางการตรวจบุคคล เช่น ผู้รู้ท่านนั้นเป็นอย่างนั้น หลักความเชื่อเขาไม่ได้อยู่ในแนวอะลุซซุนนะห์ เขาเป็นอย่างนั้นๆ และอีกมากมายที่ บรรดาผู้ศึกษาหาความรู้มาสนใจในเรื่องตรวจสอบบุคคลที่เป็นผู้รู้ที่เขาอาจจะผิดพลาดในบางประเด็น ทั้งๆที่ตัวของผู้ตรวจสอบนั้นยังเป็นแค่นักเรียนที่ยังไม่แตกฉานและขาดความเชี่ยวชาญในเรื่องนั้นๆ ดังนั้นการยึดวิถีทางตรวจความผิดพลาดของผู้รู้ทั้งที่เราไม่ได้เป็นผู้รู้จึงเป็นสิ่งที่อันตรายต่อศาสนาอย่างยิ่ง และอันตรายต่อตัวผู้พูดด้วย
การศึกษาที่ดีก็คือการหมั่นทำความเข้าในอัลกุรอ่าน อ่านให้ถูกต้อง ท่องจำเรียนรู้ฮุกุมจากอัลกุรอ่าน และการสนใจทำความเข้าใจหะดีษ นี่คือสิ่งที่นักศึกษาพึงกระทำ อย่าได้ไปให้ความสำคัญเรื่องตอบโต้คนนั้นเป็นอย่างนั้น คนนั้นเป็นอย่างนี้ ซึงมันไม่ใช่หน้าที่ของนักเรียนที่จะมาทำหน้าที่นี้
บรรดาผู้รู้คือผู้ที่ทำหน้ารับมรดกความรู้จากท่านนบี ศ็อลลัลลอฮูอะลัยอิวะซัลลัม และรับมรดกในการทำหน้าที่เผยแผ่ศาสนาพร้อมกับการมีแบบอย่างที่ดี บรรดานบี ขอความศานติจงประสบแด่พวกเขา พวกเขาทำหน้าที่เรียกร้องผู้คนมาสู่การเคารพภักดีต่ออัลลอฮฺอย่างแท้จริง พวกเขาไม่ได้ทำหน้าที่เพื่อแสวงทรัพย์สิน แสวงหาชื่อเสียง หรือเรียกร้องผู้คนให้มานิยมชมชอบตัวของพวกเขา แต่บรรดานบีเรียกร้องผู้คนมาสู่อัลลอฮฺ และการทำหน้าที่ด้วยความบริสุทธิ์ใจเพื่ออัลลอฮฺ อัลลอฮฺได้ให้เกียรติพวกเขา และเมื่อเขาได้รับเกียรติจากอัลลอฮฺ แน่นอนมนุษย์ก็ให้เกียรติแก่เขา
การที่คนเรามีความรู้ศาสนาแค่เพียงน้อยนิด แล้วมาโต้เถียงกัน ก็ไม่ต่างกับคนตาบอดหลายคนที่ไปคลำช้าง คนหนึ่งคลำไปโดนหางก็สรุปว่าช้างมีลักษณะแบบนั้น อีกคนคลำไปเจอหูของช้างจึงสรุปลักษณะของช้างเป็นแบบนั้น ส่วนอีกคนคลำไปเจองวง จึงสรุปว่าช้างลักษณะเป็นแบบนั้น เมื่อมีคนถามว่าช้างเป็นแบบไหนต่างคนต่างยืนกรานตามที่ตัวเองคลำเจอ เพราะพวกเขาคลำช้างไม่หมดทั้งตัวจึงเถียงกันไม่จบ เช่นเดียวกันคนที่ศึกษาหาวิชาความรู้ไม่แตกฉาน และนำไปโต้เถียงกันจึงหาบทสรุปไม่ได้
การแสดงการตักเตือน ของมนุษย์มีเจตนาสองประการ คนที่ตักเตือน หรือคนถูกตักเตือน หากต่างคนต่างบริสุทธิ์ใจในการทำหน้าที่ ก็ย่อมจูนกันได้ หมายถึงคนถูกตักเตือนรับได้หมดใครจะตักเตือนรูปแบบไหน
เราจะเห็นว่า อูลามาฮฺสลัฟ หากเขาจะตักเตือนบุคคลสำคัญ เช่นการตักเตือนกันระหว่างผู้รู้ หรือระหว่างผู้ปกครอง เช่นเดียวกับผู้ปกครองนั้น เขาจะตักเตือนในรูปแบบไม่ไปลดคุณค่าของคนคนนั้น หรือสร้างความอับอาย เพราะมนุษย์เราจะเป็นผู้รู้หรือคนปกติย่อมหลงลืม เพราะบางครั้งความผิดของบุคคลที่มีความรู้เกิดขึ้นไม่ใช่เพราะขาดความรู้ อาจจะเพราะหลงลืม แต่การตักเตือนนั้น หรืออันนาซีหะ คือความบริสุทธิ์ใจที่ไม่มีอะไรเจือปน ซึ่งเจตนาการตักเตือนไม่มีใครรู้ได้นอกจากตัวของผู้ตักเตือน
เช่นเดียวกัน แนวทางชาวสลัฟ หากเขาต้องการชี้แนะผู้ปกครองของเขาในส่วนที่พวกเขาบกพร่อง ที่เมื่อการนำข้อบกพร่องของผู้ปกครองมากล่าวต่อหน้าสาธารณะอาจจะทำให้ตัวผู้ปกครองถุกลดคุณค่า พวกเขาจะไม่กระทำในที่สาธารณะ หรือนำไปกล่าวบนมินบัร หรือการตักเตือนผู้รู้ในที่สาธารณะโดยเป้าหมายเพื่อให้เกิดความอับอาย หรือต้องการให้ผู้รู้คนนั้นถูกลดคุณค่า การกระทำเช่นนี้ถือว่าเป็นสิ่งที่ไม่สมควรกระทำ
ท่านนบีศ็อลลัลลอฮูอะลัยอิวะซัลลัม เป็นผู้ที่ทำหน้าที่เผยแผ่คำสอนของอัลลอฮฺ หน้าที่ของท่านคือชี้แจงรายละเอียดของคำสอนอิสลาม การชี้นำของท่านเรียกว่า การชี้นำด้วยการอธิบาย ส่วนการชี้นำของท่านจะได้รับการตอบรับหรือไม่นั้น อยู่ที่การดลใจของอัลลอฮฺแก่ผู้ที่ได้รับการอธิบายจากท่านนบี ศ็อลลัลลอฮูอะลัยอิวะซัลลัม
อิบนุลก็อยยิม
“เมื่อความอดทนได้ผนวกเข้ากับความเชื่อมั่น จะก่อให้เกิดจากทั้งสองนั้น ก็คือ การเป็นผู้นำในศาสนา”