การทำสัตยาบัน (อัลกะบาอิร)
โดย อาจารย์อับดุสสลาม เพชรทองคำ
ท่านพี่น้องที่มีเกียรติ พึงยำเกรงอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา เถิด เพราะการเกรงกลัวอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา นั้นเป็นเสบียงที่ดียิ่งสำหรับเราทั้งโลกใบนี้ และโลกอาคิเราะฮฺ
ท่านคงได้ยินข่าวในสังคมเราตั้งแต่อดีตมาจนกระทั่งถึงปัจจุบัน ในเรื่องของการทำแท้ง มีการจับได้ที่วัดหนึ่ง ซึ่งมีเด็กเสียชีวิตถึง 2002 คน เราฟังเฉยๆ แล้วเราก็นึกว่ามันเป็นเรื่องของสังคมอื่น เขาไม่ใช่สังคมมุสลิมเรา แต่ถ้าเรามาพิจารณาดูแล้ว มันทำให้เรามองเห็นอะไรได้หลายอย่างในสังคมเรา
อนึ่ง มันเป็นการทำให้เรารู้ว่าจิตใจของคนในสังคมเราเป็นอย่างไร? มีความบกพร่องทางสังคมอย่างไร? เกี่ยวกับเรื่องนี้ในสมัยที่ท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม เข้ายึดนครมักกะฮฺ แล้วท่านได้รวบรวมประชาชน แล้วบรรดาวศ่อฮาบะฮฺได้ให้คำมั่นสัญญากับท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ให้บรรดาศ่อฮาบะฮฺทำสัญญา 6 ข้อด้วยกัน สัตยาบันในสมัยนี้ก็เหมือนกับคำสั่งของผู้ปกครอง ถึงผู้ที่อยู่ภายใต้การปกครองนั่นเอง
ในสัตยาบันที่ผมจะนำมาเสนอในวันนี้ เป็นคำสั่งทั้ง 6 ที่ท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้สั่งให้ศ่อฮาบะฮฺชาวอันศอร คนที่ไม่ใช่ ชาวอันศอร มุสลิมที่เข้ารับนับถือศาสนาอิสลาม มุสลิมต่อมาจนปัจจุบันและจนกระทั่งถึงวันกิยามะฮฺ
“ท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้กล่าวว่า พวกท่านจงให้คำมั่นสัญญา หรือจงให้สัตยาบันแก่ฉันว่า
♥ พวกท่านจะไม่ตั้งภาคีใดๆ กับอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา
♥ พวกท่านจะไม่ลักขโมย
♥ พวกท่านอย่าประพฤติผิดประเวณี คือ ทำซินา
♥ พวกท่านอย่าฆ่าลูกๆ ของพวกท่าน
♥ พวกท่านอย่านำมาซึ่งความเท็จ ที่พวกท่านอุปโลกน์มันขึ้นระหว่างมือและเท้าของพวกท่าน หมายถึง การไปใส่ร้ายผู้หญิง ว่าทำชั่วอย่างนั้น อย่างนี้
♥ พวกท่านต้องไม่ขัดขืนคำสั่งของอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา และร่อซูลของพระองค์ในเรื่องที่จะเร่งกันทำความดีงาม”
(รายงานโดย บุคอรีย์)
หากปฏิบัติดังกล่าวอย่างครบถ้วน ผลตอบแทนของเขาอยู่ที่อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา และผู้ใดที่ละเมิดสิ่งใดดังกล่าวจะต้องถูกลงโทษในโลกดุนยานี้ การลงโทษก็เป็นการลบล้างบาปให้แก่เขา และผู้ใดที่ประกอบสิ่งหนึ่งสิ่งใดจากบรรดาข้อห้ามดังกล่าวแล้ว อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ทรงปกปิด คือ ยังไม่ทรงลงโทษในดุนยา อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ไม่ให้ใครเห็นการกระทำของเขา เรื่องของเขาก็ขึ้นอยู่กับอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา หากพระองค์จะทรงอภัย พระองค์ก็จะทรงอภัยให้เขาและหากพระองค์จะทรงลงโทษ พระองค์ก็จะลงโทษเขา
(รายงานโดย ท่านอุบาดะฮฺ อิบนุ ซอมิต)
แล้วพวกเราที่อยู่ในขณะนั้น อยู่ในที่ชุมชนนั้นก็ให้คำมั่นสัญญากับท่านร่อซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ในเรื่องที่ท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้ขอคำมั่นสัญญา
การทำสัญญาหรือสัตยาบันที่เกิดขึ้นในสมัยท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม นั้น เกิดขึ้นในขณะที่พิชิตมักกะฮฺได้แล้ว ในปีฮิจเราะฮฺศักราชที่ 8 คำมั่นสัญญานี้ได้ครอบคลุมไปถึงชาวอันศอร ชาวมุฮาญิรีน และก็คนที่มาเข้าอิสลามขณะนั้น และไม่ว่าจะเป็นมุสลิมในสมัยใด การทำสัญญาของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ก็จะต้องบังคับสำหรับเขา นั่นคือ
♣ ไม่ให้มีการตั้งภาคีกับอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮู วะตะอาลา การตั้งภาคีก็หมายถึงว่า การเอารูปปั้นหรือเจว็ด หรือมีสิ่งต่างๆ มาเทียบเคียงกับอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา เพื่อให้บรรดาศ่อฮาบะฮฺมีจิตใจที่สะอาด ปราศจากการตั้งภาคีและบริสุทธิ์จากการตั้งภาคีในทุกรูปแบบ เพราะการตั้งภาคีต่อพระองค์เป็นแหล่งกำเนิดของความหายนะทั้งหลาย เป็นบ่อเกิดของความชั่วทั้งปวง และยังเป็นสาเหตุให้การงานของเรา ทุกอย่างที่ทำขึ้นเป็นโมฆะและไร้ผล
บรรดาอายะฮฺของอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ที่ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม บรรดานบีต่างๆ ที่นำมาเผยแพร่แก่เรา การทำชิริกต่ออัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา นั้นเป็นบาปใหญ่และเป็นการฝ่าฝืนที่ร้ายแรง เป็นอาชญากรรมอันใหญ่หลวง เป็นการเนรคุณต่ออัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา พระผู้เป็นเจ้า ผู้ทรงสร้าง และยังเป็นผู้ที่ประทานปัจจัยยังชีพทั้งหลายให้แก่เรา การตั้งชิริกต่อรูปปั้น หรือสิ่งอื่นก็ยังเป็นการดูถูกสติปัญญาของมนุษย์ด้วย เพราะสิ่งต่างๆ เหล่านั้นไม่สามารถให้คุณให้โทษแก่เราได้ ก็เท่ากับว่าเป็นการดูถูกสติปัญญาที่อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ได้ให้มนุษย์นั้นมีสติปัญญาที่เฉลียวฉลาด รู้ว่าสิ่งอะไรเป็นประโยชน์ สิ่งอะไรให้คุณให้โทษได้
♣ ท่านร่อซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ยังได้กำชับให้บรรดาศ่อฮาบะฮฺให้ห่างไกลจากการลักขโมย ท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ยังได้สาปแช่งบรรดาผู้ที่เป็นหัวขโมย ลักเล็กขโมยน้อย อันนี้ก็รวมไปถึงคนที่คอรัปชั่นด้วย อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ได้กำหนดว่า ให้มีการลงโทษตัดมือ ดังที่อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ตรัสว่า
“ผู้ที่ขโมยชายและผู้ที่ขโมยหญิงนั้น จงตัดมือของเขา คือ ตัดมือขวาก่อนแล้วถ้าขโมยอีกครั้งหนึ่ง ก็ให้ตัดมือซ้าย เพื่อเป็นการลงโทษในสิ่งที่ทั้งสองได้แสวงหาไว้
และเพื่อเป็นเยี่ยงอย่างแก่บุคคลอื่น มิให้ปฏิบัติเช่นเดียวกันนี้ อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา นั้นเป็นผู้ที่ทรงเดชานุภาพ ทรงปรีชาญาณเหนือทุกสิ่ง”
(อัลมาอิดะฮฺ 5 : 38)
♣ ท่านร่อซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ยังได้สั่งห้ามบรรดาศ่อฮาบะฮฺ มิให้ทำซินา มิให้ทำการ ผิดประเวณี อันที่จริงแล้วศาสนาอิสลาม ยังห้ามการเข้าใกล้สิ่งที่จะทำให้เกิดการทำซินาด้วย ดังที่อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตาอาลา ตรัสไว้ว่า
“และพวกเจ้าจงอย่าเข้าใกล้การทำผิดประเวณี การทำซินา เพราะการทำซินาเป็นการลามก และเป็นการกระทำที่ชั่วช้า”
(อัลอิสรออฺ 17 : 32)
ดำรัสของอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ที่ว่า อย่าเข้าใกล้การทำผิดประเวณีนั้น เป็นสำนวนที่มีความหมายลึกซึ้ง เพราะว่าการกระทำใดๆ ที่จะนำไปสู่การทำซินา เช่นว่า การลูบคลำ การอยู่ใกล้กัน การกอดจูบกัน การมองอย่างมีตัณหา หรือการกระทำอย่างอื่นที่ใกล้เคียงกับการที่จะนำไปสู่การทำผิดประเวณีก็เป็นสิ่งที่ต้องห้าม ซินานอกจากจะเป็นบาปใหญ่แล้ว ยังถือเป็นอาชญากรรมที่รุนแรง ที่ทำลายเกียรติประวัติของมนุษย์ ทำลายเชื้อสายวงศ์ตระกูล เป็นสาเหตุของโรคเอดส์ที่เกิดขึ้นอย่างแพร่หลายในสังคม
♣ ท่านร่อซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ยังได้ให้บรรดาศ่อฮาบะฮฺ ทำคำมั่นสัญญา มิให้พวกเขาฆ่าลูกๆ ของพวกเขา สมัยญาฮิลียะฮฺ ถ้าผู้ใดที่มีบุตรเป็นผู้หญิงก็ถือว่าเป็นเรื่องที่น่าอับอาย ต้องเอาเด็กผู้หญิง ไปฝัง และฆ่าให้ตาย เพราะกลัวความยากจน กลัวความอายที่จะเกิดขึ้น กลัวว่าผู้หญิงจะทำให้วงศ์ตระกูลนั้นเสื่อมเสียก็ต้องฆ่าทิ้ง แต่ปัจจุบันนี้มันยิ่งไปกว่านั้นอีก ยังไม่รู้เลยว่าเด็กที่อยู่ในท้องเป็นผู้หญิง หรือผู้ชาย อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ตรัสว่า
“ในวันกิยามะฮฺ เด็กหญิงที่ถูกฝังทั้งเป็นได้ถามว่า ด้วยความผิดอันใดที่พวกเธอได้ถูกฆ่า”
(อัตตักวีร 81 : 8)
ใครที่เป็นพ่อเป็นแม่ ใครที่เป็นผู้ปกครองที่รู้เรื่องนี้ ก็จะต้องถูกถามในวันกิยามะฮฺว่า “เด็กที่ถูกฆ่านั้น ถูกฆ่าด้วยสาเหตุอะไร” เราก็ต้องขอความคุ้มครองจากอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ให้พวกเรานั้นพ้นจากสิ่งที่มันเกิดขึ้นในสังคม ไม่ว่าจะเป็นผู้หญิง หรือว่าผู้ชาย คือ หลังจากที่ลูกผู้หญิงที่พ่อแม่นำไปฝังเพราะว่ามีความอาย ลูกก็จะถามเขาว่า มีความผิดอะไรที่จะต้องมาฆ่า การทำแท้ง ถือเป็นการฆ่าคน เขาก็จะต้องถูกสอบสวนในวันกิยามะฮฺอย่างแน่นอน
♣ ในฮะดิษนี้ที่บอกว่า “ท่านอย่าอุปโลกน์การกระทำที่อยู่ระหว่างมือและเท้าของพวกท่าน” การกล่าวถึงการกระทำของมือและเท้า ในขณะที่มือและเท้า ไม่มีส่วนในการใส่ร้าย แต่สิ่งที่อยู่ระหว่างมือและเท้า นั่นก็คือท้องและอวัยวะเพศ อันนี้ก็เป็นสำนวนอาหรับ ดังที่อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ตรัสว่า
“และพวกนางจะไม่นำมาซึ่งความเท็จที่พวกนางอุปโลกน์ขึ้นมากันระหว่างมือ และเท้าของพวกนาง นั่นก็คือ เมื่อไปทำซินา ไปมีชู้แล้ว ก็มาบอกว่าลูกในท้องของนางนั้นเป็นลูกของสามีของนาง”
(อัลมุมตะฮินะฮฺ 60 : 12)
ในอายะฮฺนี้ อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ได้ทรงห้ามผู้หญิงที่จะเอาทารกที่ไม่รู้ว่าใครเป็นพ่อ โดยนางบอกกับสามีว่า นี่ก็คือลูกของฉันที่มาจากท่านนั่นเองเป็นการอุปโลกน์ขึ้นมา
♣ ท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ยังได้กำชับให้ปฏิบัติในสิ่งที่จะนำไปสู่ความดี จากฮะดิษนี้ได้บอกเอาไว้ ท่านร่อซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้บอกว่า
“และพวกท่านจงอย่าขัดขืนคำสั่งของอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา และร่อซูล ของพระองค์ ในเรื่องของการที่จะเร่งกันในการทำความดี”
ในการที่จะประกอบความดีงามต่างๆ ท่านร่อซูลยังได้กำชับและยังเน้นให้ประชาชาติของท่านกระทำความดีงามให้มากๆ เพื่อเป็นการตักเตือนประชาชาติของท่านกระทำความดีงามให้มากๆ เพื่อเป็นการตักเตือนประชาชาติของท่านว่าการภักดีต่ออัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา เป็นการฏออะฮฺต่ออัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ถึงแม้ว่าจะมีผู้มีอำนาจใหญ่โตมาแนะนำให้เราทำความผิด เราก็ไม่ต้องปฏิบัติตาม ให้เราเชื่อฟังต่ออัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา เพียงองค์เดียวเท่านั้น ปฏิบัติตามคำสั่งของท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ก็เป็นการแก้ความเข้าใจผิดที่ว่า มุสลิมหรือประชาชาติอิสลามนั้นต้องเชื่อฟังผู้นำโดยปราศจากข้อแม้แต่อย่างใดทั้งสิ้น
หลังจากที่ท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้สั่งเสียในเรื่องทั้ง 6 แล้ว ท่านก็ได้กล่าวถึงกลุ่มที่มีท่าทีต่อการให้สัญญาดังกล่าวไว้สามประเภท
1. กลุ่มที่ปฏิบัติตามคำมั่นสัญญาอย่างครบถ้วน กลุ่มคนเหล่านี้จะได้รับการตอบแทนจากอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา อย่างใหญ่หลวง
2. กลุ่มคนประเภทที่สองก็คือ กลุ่มคนที่ปฏิบัติตามคำมั่นสัญญาหรือสัตยาบันที่ได้กล่าวไว้กับท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม อย่างบกพร่อง และพวกเขาเกิดการสำนึกผิดในข้อบกพร่องนั้น แล้วก็รีบกลับเนื้อกลับตัวเตาบะฮฺต่ออัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา อย่างจริงจังและรวดเร็ว
3. กลุ่มคนที่ตั้งใจละเมิดและฝ่าฝืนต่อคำมั่นสัญญาของเขาบางประการ สภาพของบุคคลเหล่านี้ก็ขึ้นอยู่กับอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ถ้าพระองค์จะทรงประสงค์ที่จะอภัยให้เขา เขาก็จะได้รับการอภัย แต่ถ้าพระองค์ประสงค์ที่จะลงโทษเขา เขาก็จะต้องถูกลงโทษ
♦ คนกลุ่มแรก เขาได้ปฏิบัติตามคำมั่นสัญญาที่เขาได้ให้ไว้กับอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา อย่างครบถ้วน แล้วอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ก็จะทรงตอบแทนให้แก่เขาอย่างสมบูรณ์ตามที่อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ได้ทรงสัญญาไว้ อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ตรัสว่า
“บรรดาผู้ศรัทธาที่อพยพ และต่อสู่ในหนทางของอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ทั้งด้วยทรัพย์สมบัติ และด้วยชีวิตของพวกเขา ย่อมเป็นผู้ที่มีระดับชั้นที่ดียิ่งกว่า ณ ที่อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา
และชนเหล่านี้แหละ คือ บรรดาผู้ที่มีชัยชนะ พระเจ้าของพวกเขาทรงแจ้งข่าวดีแก่พวกเขา ด้วยความกรุณา ความเมตตาของพระองค์ ด้วยความปีติยินดีด้วยสรวงสวรรค์
ในสรวงสวรรค์เหล่านั้น พวกเขาได้รับสิ่งที่อำนวยความสุขอันจีรังยั่งยืน พวกเขาจะพำนักในสรวงสวรรค์ตลอดกาล แท้จริงอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ณ ที่พระองค์มีรางวัลอันใหญ่หลวง”
(อัตเตาบะฮฺ 9 : 20-22)
อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ตรัสว่า สัญญาของพระองค์เป็นจริง สัญญาของพระองค์นั้นดียิ่งกว่าสัญญาของใคร พระองค์ตรัสว่า
“และใครเล่าจะรักษาสัญญาของเขาดียิ่งกว่าที่อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา จะทรงรักษาสัญญา”
(อัตเตาบะฮฺ 9 : 111)
♦ สำหรับบุคคลที่สอง คือ บุคคลที่ฝ่าฝืนคำสั่ง คำมั่นสัญญาบางประการ ยกเว้นการตั้งภาคีต่ออัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ที่พระองค์ไม่ทรงอภัยให้ อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ตรัสไว้เกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า
“แท้จริงพระองค์จะไม่ทรงอภัยโทษให้แก่การกระทำที่เป็นการตั้งภาคีต่อพระองค์อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา แต่พระองค์ทรงให้อภัยสิ่งอื่น ที่นอกเหนือจากการตั้งภาคี สำหรับผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์ และผู้ใดที่ตั้งภาคีต่อพระองค์แน่นอน เขาเป็นผู้ที่ประกอบบาปกรรมอันยิ่งใหญ่”
(อันนิซาอฺ 4 : 48)
บุคคลประเภทนี้อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ทรงเปิดทางให้เขามีโอกาสขัดเกลาตนเองให้มี ความสะอาดบริสุทธิ์ โดยได้รับการลงโทษในดุนยาตามที่อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ได้ทรงกำหนดโทษไว้ เช่น การตัดมือสำหรับผู้ที่ขโมย การเฆี่ยนสำหรับผู้ที่ผิดประเวณี หรือทำซินา สำหรับผู้ที่เป็นโสดร้อยครั้งและสำหรับผู้ที่มีสามีภรรยาแล้ว จะต้องถูกขว้างด้วยก้อนหินจนตาย ดังนั้น การลงโทษในดุนยาด้วยเหตุนี้มีผลให้เขานั้นกลับไปหาอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา อย่างสะอาดบริสุทธิ์ เพราะว่าเขาได้ถูกลงโทษใน ดุนยานี้แล้ว
♦ สำหรับบุคคลประเภทที่สามที่ทำผิด นอกจากการตั้งภาคี อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ได้ทรงปกปิดการฝ่าฝืนของเขาไม่ให้เห็น นอกจากพระองค์เท่านั้น คือ การปกปิดดังกล่าวทำให้เขารอดพ้นจาก การลงโทษในดุนยา แต่นั่น ก็ไม่ใช่ว่าเขาจะรอดพ้นจากการลงโทษไปได้ บั้นปลายของชีวิตของเขาจะขึ้นอยู่กับอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา อาจจะทรงรับการกลับเนื้อกลับตัวของเขา แต่ถ้าไม่เช่นนั้น ก็สุดแล้วแต่อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ตามความประสงค์ของพระองค์ ถ้าพระองค์จะให้อภัยแก่เขา เขาก็จะได้รับการอภัยโทษจากพระองค์ และถ้าพระองค์ไม่ทรงประสงค์ ก็คือไม่ทรงอภัย พวกเขาก็จะต้องได้รับการลงโทษอย่างสาหัสแน่นอน
ในสมัยที่ศ่อฮาบะฮฺได้ให้คำมั่นสัญญา ให้สัตยาบันต่อท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม แล้ว ไม่มีใครที่จะปฏิเสธคำมั่นสัญญานี้เลย กลับไปบ้านก็รีบปฏิบัติตามที่ให้สัตยาบัน ให้คำมั่นสัญญากับท่าน ร่อซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ดังที่อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ได้กล่าวชมเชยบรรดาศ่อฮาบะฮฺที่อยู่ในเวลานั้นว่า
“บรรดาผู้ที่รับฟังคำพูด แล้วพวกเขาปฏิบัติตามสิ่งที่ดีที่สุดในคำพูดนั้น ชนเหล่านี้แหละ คือบรรดาผู้ที่อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ได้ทรงชี้ทางนำที่ถูกต้องให้กับพวกเขาแล้ว และชนเหล่านี้แหละ คือบรรดาผู้ที่มีสติปัญญา”
(อัซซุมัร 39 : 18)
ที่มา : อนุสรณ์งานประจำปี โรงเรียนมุสลิมวิทยาคาร 18 ธันวาคม 2553