เลิกสูบบุหรี่กันเถิด
โดย อบู อุบัยดะฮฺ
พี่น้องผู้เป็นบ่าวของอัลลอฮฺทั้งหลาย จงเกรงกลัวอัลลอฮฺเถิดและจงกตัญญูต่อพระองค์ แท้จริงอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาล่า ทรงร่ำรวยกว่าพวกท่านมิต้องทรงพึ่งพาอาศัยพวกท่านให้ต้องกระทำสิ่งต้องห้ามใดๆ และทรงอนุมัติสิ่งดีๆ ให้กับท่าน ทั้งนี้ก็เพื่อเป็นประโยชน์แก่ศาสนาของพวกท่านและร่างกายของพวกท่านและพระองค์ทรงห้ามสิ่งเลวร้าย เป็นพิษเป็นภัยแก่พวกท่าน เพราะมันเป็นโทษ เป็นอันตรายแก่พวกท่าน ดังนั้น จงรับประทานสิ่งที่ดีๆ เพราะการรับประทานสิ่งที่ไม่ดี เป็นพิษภัยเข้าไปนั้นจะส่งผลร้ายต่อร่างกายและจรรยามารยาท อันเนื่องมาจากการบริโภคสิ่งที่เป็นอันตรายเป็นพิษเป็นภัยเข้าไปนั่นเอง
สิ่งเลวร้ายที่สังคมมุสลิมกำลังประสบอยู่ในปัจจุบัน ซึ่งถือว่าเป็นการทดสอบประการหนึ่ง นั่นก็คือ บุหรี่มิใช่หรือ? ซึ่งกำลังแพร่ระบาดไปทั่วในสังคม ไม่ว่าจะเป็นเด็กหรือผู้ใหญ่ ไม่มีความรู้สึกเขินอายแต่กลับลอยหน้าปากคาบบุหรี่กันไปทั่ว ไม่คำนึงว่าจะสร้างความเดือดร้อนอึดอัดน่ารำคาญ หรือก่อมลพิษให้กับผู้อื่นหรือไม่? เพียงใด? ดังกล่าวถือเป็นการกระทำที่น่ารังเกียจ
ดังฮะดิษที่ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมกล่าวว่า
“เมื่อไม่อาย ก็เชิญทำตามสบายเถิด”
(บันทึกโดย อิมาม อัลบุคอรีย์)
พี่น้องผู้เป็นบ่าวของอัลลอฮฺทั้งหลาย ไม่ว่าเสียงต่อต้านการสูบบุหรี่จะมีมากมายสักเพียงใด ไม่ว่าแพทย์จะออกคำเตือนให้ระวังพิษภัย หรือโทษของการสูบบุหรี่สักกี่มากน้อยเพียงใด ไม่ว่าคำที่ชี้ขาด (ฟัตวา) ทางศาสนาจะออกมาว่าการสูบบุหรี่นั้นเป็นที่ต้องห้าม (ฮะรอม) สักกี่ครั้งกี่หน ไม่ว่าจะมีผู้เขียนตำรับตำรา หรือเอกสารที่ชี้ให้เห็นถึงพิษภัย หรืออันตรายที่เกิดขึ้นจากการสูบบุหรี่ว่ามีมากมายขนาดไหนเพียงไร แต่ก็ยังมีคนสูบบุหรี่กันอยู่ ไม่รู้ร้อนรู้หนาวกับคำบอกเตือนดังกล่าวแต่ประการใด ใครที่เตือนก็เตือนกันไป ใครที่สูบก็ยังคงสูบกันต่อไป ด้วยเหตุนี้จึงไม่สามารถที่จะเลิกสูบบุหรี่ให้สิ้นซากได้อย่างแท้จริง นอกจากด้วยการศรัทธา (อีมาน) ที่มั่นคง ความตั้งใจที่แน่วแน่และเป็นคนจริงเท่านั้น ดังกล่าวนี้คือ ลักษณะของผู้ที่จะเลิกบุหรี่ได้อย่างแท้จริง
บรรดากุฟฟารเป็นผู้ส่งออกบุหรี่มาให้พวกเขานำมาแพร่หลายในตลาดของพวกเรา พวกมันรู้ดีว่าบุหรี่เป็นอาวุธ เป็นนักฆ่า เป็นตัวอันตราย สามารถทำลายร่างกาย ตลอดจนสุขภาพของผู้คน ทำลายจรรยามารยาทและทำลายศีลธรรมแห่งประเทศชาติของพวกเรา พวกเราไม่รู้ดอกว่าไร่ยาสูบและโรงงานยาสูบนั้นเป็นตัวการสำคัญในการบ่อนทำลายผู้คน
“ฉะนั้น สิ่งที่พวกเขาซื้อขายกันนั้นช่างเลวร้ายเสียนี่กระไร”
พี่น้องผู้เป็นบ่าวของอัลลอฮฺทั้งหลาย การสูบบุหรี่นั้นเป็นพิษเป็นภัย เป็นอันตรายต่อร่างกาย และ ต่อศาสนา ต่อทรัพย์สินและต่อสังคม เป็นที่ทราบกันดีว่า พิษภัยดังกล่าวนั้นเป็นที่ต้องห้าม (ฮะรอม) จำเป็นที่จะต้องปลีกตนให้ห่างไกล
♣ บุหรี่เป็นอันตรายต่อร่างกาย ทำให้ใบหน้าหม่นหมอง ไม่มีราศี เป็นอันตรายต่อตับ ต่อปอด ต่อหัวใจ ต่อหลอดเลือด เป็นต้นเหตุให้เกิดโรคมะเร็ง ทำให้ฟันดำ มีกลิ่นเหม็น น่ารังเกียจ
♣ บุหรี่เป็นพิษเป็นภัยต่อศาสนา เพราะคนที่สูบบุหรี่จะมีปัญหาและอุปสรรคในการทำอิบาดะฮฺต่างๆ อันเป็นการดำรงการฏออัตต่างๆ ต่ออัลลอฮฺ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การถือศีลอด การนั่งอยู่ในมัสยิด การมาร่วม รับฟังบรรยายธรรมทางวิชาการ และเป็นสิ่งกีดกั้นทำให้ผู้เป็นบ่าวไม่ได้รับคุณความดี ดังนั้น บุหรี่จึงเป็นสิ่ง ไม่ดี (ชั่วร้าย) นั่นเอง ในทำนองเดียวกันยังเป็นการชักชวนกันให้กระทำสิ่งโง่ๆ ทำให้ห่างไกลจากสิ่งดีๆ อีกด้วย ที่สำคัญก็คือ ควันบุหรี่สร้างความน่ารังเกียจและกลิ่นเหม็นให้กับผู้คน และยังเป็นการส่งเสริมสิ่งที่ไม่ดี ไม่งามอีกด้วย
♣ บุหรี่เป็นพิษเป็นภัยต่อทรัพย์สิน คนที่สูบบุหรี่ต้อง ควักสตางค์จ่ายค่าบุหรี่ วันหนึ่งๆ เท่าไร มีแต่ทำให้ยากจนลงทุกวัน หากเขาไม่เอาสตางค์ไปเผาเล่นทุกวี่ทุกวัน เขาสามารถนำเงินนั้นไปซื้อของดีๆ ให้ลูกได้กิน ได้ใช้ จะไม่เป็นประโยชน์กว่าหรือ? แทนที่เขาจะดูดแต่ควันกลายเป็นสิงห์อมควัน ซึ่งไม่ทำให้อ้วนแล้วยังไม่ทำให้อิ่มแถมยังไม่ทำให้ร่างกายทรุดโทรมลงเร็วอีกด้วย!
♣ สำหรับคนรวยที่สูบบุหรี่นับเป็นการผลาญทรัพย์เป็นการสุรุ่ยสุร่ายให้หมดไปกับการซื้อบุหรี่และเป็นที่ทราบกันดีแล้วมิใช่หรือว่า การสุรุ่ยสุร่ายฟุ่มเฟือยนั้นเป็นที่ต้องห้าม (ฮะรอม) และผู้ที่สุรุ่ยสุร่ายฟุ่มเฟือยนั้นเป็นพี่น้องของชัยฏอน
♣ บุหรี่เป็นพิษเป็นภัยต่อสังคม การสูบบุหรี่เป็นการทำร้ายต่อสังคม เป็นการทำร้ายคนที่นั่งอยู่รอบข้าง เมื่อควันบุหรี่ไปถึงทุกคนที่อยู่ข้างๆ หรือที่อยู่ในห้องเดียวกันเป็นการสร้างมลพิษ ความสงบสุขเรียบร้อยของสังคม ไม่ว่าจะอยู่ในบ้านเรือน ที่ทำงาน สถานการค้า สถานที่ชุมนุมของผู้คนในรถ เรือ รถโดยสาร เครื่องบิน รถไฟทั้งบนดินหรือใต้ดินก็ตาม ฯลฯ สร้างความรำคาญ น่ารังเกียจจากกลิ่นเหม็นของบุหรี่นั่นเอง
ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า
“ใครที่ทำร้าย สร้างความเดือดร้อนให้กับมุสลิมคนใด ก็เท่ากับว่าเขาได้ทำร้าย สร้างความเดือดร้อนให้กับฉัน ใครที่ทำร้ายฉันก็เท่ากับว่าเขาได้ทำร้ายอัลลอฮฺ”
(บันทึกโดย อิมาม มุสลิม ด้วยสายสืบที่ฮะซัน)
มิเพียงแต่เท่านั้น หากแต่ยังเป็นการสร้างความเดือดร้อนให้แก่มลาอิกะฮฺผู้ทรงเกียรติอีกด้วย ดังปรากฏในซอฮีฮัยนฺ รายงานจากญาบิร ร่อฎิยัลลอฮุอันฮุ แจ้งว่า
“แท้จริง มลาอิกะฮฺพลอยได้รับความเดือดร้อนไปด้วย อันเนื่องจากการที่มนุษย์ได้รับความเดือดร้อน”
(บันทึกโดย อิมาม อัลบุคอรีย์และอิมาม มุสลิม)
พิษภัยของบุหรี่ที่มีต่อสังคมอีกประการหนึ่งก็คือ เป็นการส่งเสริม สนับสนุนบริษัทโรงงานผู้ผลิต ผู้จำหน่ายบุหรี่ให้ทำร้าย เข่นฆ่าประชาชนผู้บริสุทธิ์ต่อไปอีก ไม่มีวันสิ้นสุด เป็นการส่งเสริม สนับสนุนช่วยสร้างความร่ำรวยให้กับเจ้าของกิจการ ในการทำลายล้างชีวิตมนุษยชาติ นอกจากนั้นยังเป็นการเผาผลาญทรัพย์สิน ทำให้เกิดเพลิงไหม้ เผาผลาญบ้านเรือนของผู้คน ตลอดจนบ้านเมือง ดังที่เห็นกันตามข่าวคราวในทุกวัน
และที่สำคัญคือ รัฐต้องสูญเสียเงินทอง งบประมาณไม่รู้เท่าไรไปในการรักษาผู้ป่วย โรคถุงลมโป่งพอง และโรคมะเร็ง ฯลฯ สร้างความทุกข์ทรมานให้แก่ผู้ป่วยก่อนจะตายอย่างแสนสาหัส !
ที่กล่าวมา ล้วนเป็นพิษเป็นภัย เป็นโทษ เป็นอันตรายของการสูบบุหรี่ทั้งสิ้นที่มีต่อสังคม ร่างกาย ศาสนา และทรัพย์สิน มีผู้ที่สูบบุหรี่คนใดบ้างไหม? สามารถพอที่จะบอกให้ทราบถึงประโยชน์ของบุหรี่ แม้เพียงสักข้อเดียวหรือเพียงเสี้ยวหนึ่งแห่งประโยชน์ของการสูบบุหรี่ให้ได้รู้กันบ้าง เพื่อจะได้เผยแพร่ให้ผู้อื่นได้รับทราบต่อๆ กันไปอย่างแพร่หลาย ในเมื่อผลร้ายของการสูบบุหรี่ก็รู้เห็นกันอยู่ซึ่งๆ หน้าอย่างนี้แล้ว คนที่มีสติสัมปชัญญะ ยังจะไม่รู้สึกรับรู้หรือเปลี่ยนแปลง ละเลิกบุหรี่กันบ้างเชียวหรือ?
สำหรับผู้ที่ถูกทดสอบด้วยการติดบุหรี่ ขออัลลอฮฺทรงประทานอภัยให้กับท่านด้วย ที่เราต้องออกมาพูดเช่นนี้ มิใช่เพื่อมาประณาม หยามเหยียดเกียรติของท่าน แต่ที่เราพูดและที่เราเตือนท่านก็ด้วยความบริสุทธิ์ใจเพื่ออัลลอฮฺ มิได้มีเจตนาอื่นใดแอบแฝงอยู่ด้วยเลย ขอให้ท่านรีบเตาบะฮฺกลับเนื้อกลับตัวต่ออัลลอฮฺเสียเถิด ละเลิกบุหรี่เสียแต่วันนี้ เพราะการที่ท่านเลิกบุหรี่ได้ก็เท่ากับเป็นการเชื่อฟังปฏิบัติตาม (ฏออัต) พระเจ้าของท่านและยังเป็นการรักษาสุขภาพของท่านเองอีกด้วย
ผู้ใดที่ละทิ้งหรือเลิกสิ่งใดเพื่ออัลลอฮฺ อัลลอฮฺจะทรงตอบแทนความดีให้กับเขาเป็นการทดแทน...
ผู้ที่สูบบุหรี่โปรดอย่าลืมว่า ท่านนั้นจะเป็นแบบอย่างที่ไม่ดีแก่ลูกหลานของท่าน แก่ลูกศิษย์ของท่าน แก่เพื่อนฝูงของท่าน แก่ผู้ที่ท่านคบหาสมาคมอยู่ด้วย ตลอดจนผู้ที่พบเห็นท่านทั่วไป
เมื่อท่านเลิกบุหรี่และกลับเนื้อกลับตัวแล้ว ท่านก็จะกลายเป็นแบบอย่างที่ดีต่อลูกหลานของท่าน ต่อลูกศิษย์ของท่าน ต่อญาติมิตรเพื่อนฝูงของท่าน ต่อผู้ที่ท่านคบหาสมาคม ตลอดจนผู้ที่พบเห็นท่านทั้งคนที่รู้จักและไม่รู้จักทั่วไป
ดังนั้น จงเป็นแบบอย่างที่ดีเถิด อย่าได้เป็นแบบอย่างที่ไม่ดีเลย! อย่าได้กระทำตามๆ กันไปแบบ ตาบอด (ตักลี๊ด) เลย และคำพูดที่ว่า “สูบบุหรี่แล้วไม่เป็นอะไร” นั้นเป็นเพียง (มุญามะละฮฺ) เป็นการหลอกลวงท่านเท่านั้นเอง เมื่ออัลลอฮฺทรงอภัยให้กับท่านแล้ว แล้วท่านจะยังคงสูบบุหรี่อยู่ต่อไปอีกหรือ? ทั้งๆ ที่ท่านได้รับรู้ถึงพิษภัยและโทษของมันแล้ว
ข้างหน้าท่านนั้น ประตูแห่งการเตาบะฮฺเปิดกว้างรอท่านอยู่แล้ว ดังนั้น จงรีบก้าวเข้าไปเถิด ก่อนที่มันจะถูกปิดลง !
พี่น้องผู้เป็นบ่าวของอัลลอฮฺทั้งหลาย นอกจากศาสนาจะถือว่าการสูบบุหรี่เป็นที่ต้องห้าม (ฮะรอม) แล้ว ยังถือว่า การซื้อ-ขาย นำเข้าบุหรี่ก็เป็นที่ต้องห้ามด้วยเช่นกัน ราคาค่างวดของมันก็เป็นที่ต้องห้ามและ การค้าขายบุหรี่ก็เป็นสิ่งต้องห้าม น่ารังเกียจด้วยเช่นกัน
ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า
“แท้จริงอัลลอฮฺนั้น เมื่อทรงห้ามกลุ่มชนหนึ่งกลุ่มชนใด มิให้กินสิ่งหนึ่งสิ่งใด พระองค์ก็ทรงห้ามราคาค่างวดของมันด้วย”
(บันทึกโดย อิมาม อะฮฺมัด และอบูดาวูด)
ดังนั้น ผู้ที่ขายบุหรี่ก็เท่ากับว่า เขาผู้นั้นประกอบอาชญากรรมอันยิ่งใหญ่สองกระทง
♦ กระทงแรก เขากระทำการเผยแพร่บุหรี่ในหมู่พี่น้องมุสลิม ดังนั้นเขาจึงเป็นผู้นำความพินาศมาสู่พี่น้องมุสลิม
♦ กระทงที่สอง คือ ผู้ที่จำหน่ายบุหรี่ กินราคาค่างวด ถือว่าเป็นการกินทรัพย์อันเป็นที่ต้องห้าม (ฮะรอม) และสะสมรวบรวมทรัพย์สินอันเป็นที่ต้องห้าม (ฮะรอม) ไว้ และในวันกิยามะฮฺ มนุษย์ทั้งมวลจะถูกสอบสวนถึงสิ่งที่เขากินเข้าไปและสิ่งที่เขาสะสมรวบรวมไว้
พี่น้องผู้เป็นบ่าวของอัลลอฮฺทั้งหลาย จงเกรงกลัวอัลลอฮฺเถิด จงพิจารณาถึงการลงโทษในบั้นปลายและสิ่งฮะลาลนั้น มิต้อพึ่งพาสิ่งฮะรอมแต่ประการใด
“และผู้ใดที่เกรงกลัวอัลลอฮฺ พระองค์ก็จะทรงให้มีทางออกแก่เขาและจะทรงประทานปัจจัยยังชีพ (ริสกี) ให้แก่เขา อย่างที่เขามิได้เคยคาดคิดมาก่อน
และผู้ใดมอบหมายแด่อัลลอฮฺ พระองค์ก็เป็นที่พอเพียงแล้วสำหรับเขา แท้จริง อัลลอฮฺเป็นผู้ทรงทราบดีในกิจการของพระองค์อย่างถ่องแท้ แท้จริงอัลลอฮฺ ทรงให้ทุกสิ่งมีกำหนดเอาไว้แล้วทั้งสิ้น”
(อัฏฏอลาก 65 : 2-3)
ที่มา : อนุสรณ์งานประจำประจำปี โรงเรียนมุสลิมวิทยาคาร 18 ธันวาคม 2553