ห้ามด่าว่ากาลเวลา
โดย อาจารย์อับดุลฆอนีย์ บุญมาเลิศ
ผู้ที่ด่าว่ากาลเวลานั้น เท่ากับเขาได้ให้ร้ายอัลลอฮฺ
“ท่านทั้งหลาย จงอย่าด่าว่ากาลเวลา เพราะอัลลอฮฺนั้น เป็นเจ้าของกาลเวลา”
พี่น้องผู้ศรัทธาทั้งหลาย ปัจจุบันสังคมมุสลิมและประชากรของมุสลิมนั้น เสื่อมโทรมลงไปทุกที ไม่ว่าจะเป็นทางด้านสังคมหรือศาสนา
พี่น้องที่รักยิ่ง ในเมื่อยุคนี้เป็นยุคสุดท้าย เป็นยุคที่ทกคนต่างรอคอยการมาของวันกิยามะฮฺ และแน่นอนเป็นยุคที่ท่านนบีได้ยืนยันไว้ว่า เป็นยุคที่อยู่ห่างจากวันกิยามะฮฺเพียงแค่ระหว่างนิ้วชี้กับนิ้วกลางเท่านั้น ดังนั้น การทดสอบหรือภัยพิบัติต่างๆ ไม่ว่าจะมาจากธรรมชาติหรือว่ามาจากอะไรก็ตาม ก็จะเกิดขึ้นเป็นจำนวนมากในปัจจุบัน ดังที่เห็นได้อย่างชัดเจน เช่น เหตุการณ์น้ำท่วม พายุ หรือที่เกิดขึ้นเมื่อไม่กี่ปีก่อน คือ เหตุการณ์สึนามิ ต่างมาจากอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ทั้งสิ้น
พี่น้องที่รักยิ่งทุกท่าน ในปัจจุบันนี้ไม่ว่าจะมีเหตุการณ์ใดเกิดขึ้นก็ตาม จะเห็นได้ว่ามีหลายคนหลายจำพวก เมื่อเกิดภัยพิบัติต่างๆ หรือแม้กระทั่งฝนตกผิดฤดูก็จะด่าว่ากันด้วยกับคำพูดรูปแบบต่างๆ นานา ไม่ว่าจะเป็นคำพูดที่ถากถาง หรือคำพูดที่ส่อไปในทางด่าว่าหรืออะไรก็ตาม เช่น (ฝน) ตกมาทำไมเนี่ยะ! ไม่ใช่ฤดูกาลสักหน่อย ซักผ้าทีไรก็(ฝน)ตกมาอีกแล้ว ลมพัดทำไมวะ! โอ้... น้ำท่วมอีกแล้ว หรือคำพูดอื่นๆ ในทำนองนี้ พี่น้องผู้ศรัทธาทั้งหลาย ดังที่ผมได้กล่าวไว้ข้างต้นด้วยกับอัลฮะดิษที่ว่า
“ท่านทั้งหลาย จงอย่าด่าว่ากาลเวลา เพราะอัลลอฮฺนั้นเป็นเจ้าของกาลเวลา”
ในศอเฮี๊ยะฮฺ อัลบุคอรีย์ มีรายงานจากอบีฮุรอยเราะฮฺ ร่อฎิยัลลอฮุอันฮุ จากท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ว่า
อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ตรัสว่า : “มนุษย์นั้นได้ให้ร้ายต่อข้า โดยที่เขาด่าว่ากาลเวลา ทั้งๆ ที่ข้านี้เป็นเจ้าของกาลเวลา ข้าจะทำการสับเปลี่ยนกลางวันและกลางคืน”
ดังฮะดิษข้างต้นทั้งสองฮะดิษนี้ ชี้ให้พวกเราได้รู้ว่า ทุกสิ่งทุกอย่างนั้น ล้วนมาจากอัลลอฮฺทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นการสร้างหรือการทำลาย แม้กระทั่งเรื่องของเวลา ท่านร่อซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้ชี้ให้อุมมะฮฺของท่านได้เห็นว่า คนที่ด่าว่ากาลเวลาในขณะที่เกิดอุบัติเหตุ หรือเคราะห์กรรมต่างๆ ที่เขา ไม่ปรารถนานั้น แท้จริงก็เท่ากับว่าเขาได้ด่าว่าอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา และให้ร้ายพระองค์ด้วยการประณามหรือตำหนิ เพราะพระองค์ผู้เดียวเท่านั้น ที่ทรงให้สิ่งต่างๆ เกิดขึ้น ส่วนกาลเวลานั้นก็คือ สิ่งที่ถูกสร้างของพระองค์ที่ถูกให้ดำเนินไปตามระบบ และเวลาที่จะเกิดอุบัติเหตุขึ้นในเวลานั้นให้เป็นไปตามบัญชาของอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา
และอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ยังกล่าวอีกไว้ในคัมภีร์ของพระองค์อีกว่า
“และพวกเขากล่าวว่า ไม่มีชีวิตอื่นใด นอกจากการมีชีวิตของเราในโลกนี้เท่านั้น เราจะตายไป หรือเราจะมีชีวิตอยู่ ไม่มีสิ่งใดมาทำลาย (ทำให้เราตาย) ได้ นอกจากกาลเวลาเท่านั้น”
(อัลญาซียะอฺ 45 : 24)
ส่วนที่เหลือของอายะฮฺ คือ
“สำหรับพวกเขา ไม่มีความรู้ในเรื่องนั้นนอกจาก พวกเขาเดาเอาเองเท่านั้น”
(อัลญาซียะอฺ 45: 24)
พี่น้องผู้ศรัทธาทั้งหลาย การด่าว่า หรือตำหนิกาลเวลานั้นเป็นเรื่องที่มีชิริกปนอยู่ เพราะที่ด่าหรือตำหนิกาลเวลานั้น เมื่อเขาเชื่อมั่นว่ากาลเวลานั้นมีบทบาทร่วมกับอัลลอฮฺ เขาก็ตกเป็นผู้ตั้งภาคี (ชิริก) แล้ว อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ได้บอกถึงพวกที่เชื่อมั่นอยู่กับกาลเวลา (อัตดะฮฺรียะฮฺ) ในกลุ่มของกาฟิร และคนที่เห็นด้วยกับพวกเขาจากชาวอาหรับที่เป็นมุชริก ในการปฏิเสธเรื่องการฟื้นคืนชีพ
ซึ่งพวกเขากล่าวว่า : ไม่มีชีวิตอื่นใดอีกแล้ว นอกจากการดำรงชีวิตของพวกเขาในโลกนี้เท่านั้น ไม่มีชีวิตความเป็นอยู่อื่นๆ แน่นอน ซึ่งเมื่อพวกเราตายไปแล้ว บางส่วนที่เหลือ ก็จะคลอดออกมา (วนเวียนอยู่อย่างนั้น) และไม่มีสาเหตุในความตายของพวกเรา นอกจากการหมุนเวียนของกาลเวลาที่ผ่านไป ซึ่งอยู่ในความซ้ำซากของเวลากลางคืนและกลางวัน
ดังนั้น อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา จึงได้ตอบโต้พวกเขาว่าไม่มีหลักฐานใดๆ สำหรับเขา ในการที่พวกเขากล่าวปฏิเสธเช่นนั้น นอกจากเสียจากด้วยการคาดเดา และการคาดเดาก็ไม่สามารถนำมาเป็นหลักฐานได้ และที่สำคัญก็คือ ใครที่ไม่เชื่อเรื่องใดหรือปฏิเสธเรื่องใดนั้น เขาจำเป็นต้องมีหลักฐานมายืนยันการปฏิเสธของเขาอย่างชัดเจน เช่นเดียวกับที่ใครก็ตามที่รับรองสิ่งหนึ่งสิ่งใด เขาก็ต้องมีหลักฐานในการรับรองของเขานั้นด้วย
ท่านพี่น้องผู้ศรัทธาทั้งหลาย ! แน่นอนเหลือเกินที่บรรดามุสลิมนั้นจะต้องถูกทดสอบจากองค์อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา อย่างแน่นอน แต่ทว่าการทดสอบของบรรดามุสลิมนั้นคือสิ่งที่จะทดสอบถึงการอีมานศรัทธาของพวกเขา ดังอายะฮฺอัลกุรอานที่ว่า
“และแน่นอน เราะจะทดสอบพวกเจ้าด้วยสิ่งหนึ่งสิ่งใดจากความกลัว ความหิว และความสูญเสีย (อย่างใดอย่างหนึ่ง) จากทรัพย์สมบัติ ชีวิต และพืชผล และเจ้าจงแจ้งข่าวดีแก่บรรดาผู้อดทนเถิด”
(อัลบะกอเราะฮฺ 2 : 155)
มีฮะดิษจากท่านหญิงอาอิชะฮฺ ร่อฎยัลลอฮุอันฮา กล่าวว่า : ท่านร่อซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า
“แท้จริง บรรดาผู้ศรัทธานั้นจะถูกทดสอบอย่างหนัก เพราะว่าภัยอันตรายใดๆ ประสบกับผู้ศรัทธา ไม่ว่าจะเป็นหนาม หรือว่าสิ่งที่ใหญ่กว่านั้นหรือการเจ็บปวดใดๆ เว้นแต่อัลลอฮฺ จะยกฐานะหนึ่งให้กับเขา และพระองค์จะลบความผิดหนึ่งให้กับเขาด้วย”
(บันทึกโดย อิมามอะฮฺหมัด อัลบัยฮะกีย์ และอัลฮากิม)
ท่านพี่น้องผู้ศรัทธาทั้งหลาย ดังหลักฐานที่ได้กล่าวมาข้างต้นนั้น แน่นอนอย่างยิ่งที่พวกเรานั้น จะต้องถูกทดสอบจากพระองค์อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ไม่ว่าจะถูกทดสอบด้วยกับวิธีใด รูปแบบใด เมื่อไหร่ หรือที่ไหนก็ตาม มุสลิมทุกคนนั้นต้องอดทน ไม่ด่าว่าในสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเขา
เพราะอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ทรงยืนยันเอาไว้แล้วว่า บรรดาผู้ที่อดทนสำหรับพวกเขานั้นจะได้รับข่าวดีอย่างแน่นอน แม้ว่าวันเวลาที่ผ่านไปนั้นเปรียบเสมือนกับแท่งเทียนที่ถูกจุดขึ้น จวบจนจะหมดน้ำตาเทียนหยดสุดท้ายที่เปลวเทียนนั้นกำลังจะดับมอด ถึงแม้เปลวเทียนครั้งสุดท้ายนั้น จะเป็นแสงเทียนที่ส่องสว่างอย่างเต็มที่ก็ตามที ดังเช่นในปัจจุบัน การศรัทธาของบรรดามุสลิมลดลงอย่างมาก แต่ทว่า ผมจะขอยกอุทาหรณ์หนึ่งเพื่อเป็นการเตือนใจแก่ตัวของผม และท่านทั้งหลายด้วยกับคำดำรัสของอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ที่ว่า
“หากเราประทานอัลกุรอานลงมาบนภูเขาลูกหนึ่ง แน่นอนเจ้าจะเห็นมันนอบน้อม และจะแตกแยกเป็นเสี่ยงๆ เนื่องจากความกลัวต่ออัลลอฮฺ อุปมาเหล่านี้ เราได้ยกเปรียบเทียบสำหรับมนุษย์เพื่อพวกเขาจะได้พิจารณาใคร่ครวญ”
(อัลหัซรฺ 59 : 21)
พี่น้องผู้ศรัทธาทั้งหลาย ดังที่อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ได้ยกอุทาหรณ์กับพวกเรานั้น เพื่อที่ จะได้สำรวจกับตัวเองว่า เราควรปรับปรุงตัวเองอย่างไร อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ได้นำมนุษย์ไปเปรียบเทียบกับภูเขาที่มีความแข็งแกร่ง ซึ่งถูกทำมาจากหิน ดิน ทราย หรือแร่ธาตุที่มีความแข็ง ซึ่งถ้าหากพระองค์ประทานอายะฮฺอัลกุรอานให้กับมันนั้น ก็จะแตกเป็นเสี่ยงๆ เพราะความนอบน้อมและยอมรับถึงความยิ่งใหญ่
แต่องค์อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ทรงเลือกที่จะมอบให้กับมนุษย์ที่มีสติปัญญา ทั้งที่หัวใจของมนุษย์นั้นทำมาจากก้อนเนื้อ ถ้าหากโดนบีบเพียงแค่ครั้งเดียว ก็จะแตกออก แต่มนุษย์บางคนกลับ ไม่ยอมรับและไม่นอบน้อมต่อคำดำรัสของพระองค์เลย
ท่านพี่น้องผู้ศรัทธาทั้งหลาย เราพร้อมหรือยัง ที่จะยอมจำนนต่อ “องค์อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา”
ที่มา : อนุสรณ์งานประจำปี โรงเรียนมุสลิมวิทยาคาร 18 ธันวาคม 2553