ความเมตตาที่เหือดหายไป
โดย... อิบนุ อิสมาอีล
การสรรเสริญความโปรดปรานทั้งหลายบนโลกนี้และโลกหน้าล้วนเป็นกรรมสิทธิ์ของอัลลอฮฺทั้งสิ้น
ท่ามกลางสังคมที่สับสนวุ่นวาย มีแต่เอารัดเอาเปรียบ และชิงดีชิงเด่น เอาหน้าและชื่อเสียงเรียงนามกันอยู่นั้น อยากจะขอเอ่ยคำว่า เมตตา หลายคนบอกว่าเป็นคำที่สะดวกง่าย อธิบายให้เข้าใจไม่ยากนัก และหลายคนก็รู้ดีอีกด้วยว่า คำๆ นี้ หมายถึง คุณธรรมความดีที่ใครๆ ก็อยากมี อยากได้ จะนำมาซึ่งความสุขสงบและสันติ แต่ไฉนเล่าคำๆ นี้ ณ ปัจจุบันกลายเป็นแค่ตำนานเรื่องเล่า ผู้คนมองข้ามคุณค่าและความสำคัญของคำนี้ไปเสียแล้ว และความเห็นอกเห็นใจ การให้โอกาสและการให้อภัย เป็นเพียงแค่ตัวอักษรในหนังสือและมีอยู่บ้างกับคนเพียงไม่กี่คน
หากพูดถึงยุคปัจจุบัน หาได้ยากมากกับคนมุสลิม และคนที่ไม่ใช่มุสลิม บางครั้งเราเห็นรถเมล์ รถโดยสาร หรือแม้แต่ที่ที่เป็นสาธารณะส่วนรวม จะยอมลุกให้เด็กและคนชรานั่ง รถโดยสารในเมืองไทยและเมืองนอกก็ไม่แตกต่างกัน น้อยคนที่จะได้นั่งลงและกล่าวคำว่า “ขอบคุณ ขอบใจ” ส่วนมากจะไม่สนใจและเอาใจใส่ในเรื่องนี้กันเลย สังคมปัจจุบันแสดงให้เห็นถึงความเมตตานั้นหาได้ยากมากเลยทีเดียว
คำว่า “เมตตาธรรม” เป็นคำศัพท์ที่ระบุไว้ในอัลกุรอานมากมาย และคำว่า “อัรเราะฮฺมะฮฺ” ก็เป็นคุณลักษณะอันสมบูรณ์ของอัลลอฮฺ และคำว่า “อัรเราะฮฺมาน” ผู้ทรงเมตตาต่อสรรพสิ่งทั้งมวลในโลกดุนยานี้ และ “อัรเราะฮฺฮีม” ผู้ทรงเมตตาเฉพาะผู้ศรัทธาในโลกอาคิเราะฮฺ ผู้ทรงกรุณาเมตตา ก็เป็นพระนามอันบริสุทธิ์เช่นกัน
“และเรามิได้ประสงค์อื่นใดทั้งสิ้นในการแต่งตั้งท่านเป็นศาสนทูต นอกจากเพื่อเป็นเมตตาธรรมแก่ชาวโลก”
(อัลอัมบิยาอฺ 21 : 107)
หากพิจารณาดูอายะฮฺข้างต้นจะพบ หากไม่มีศาสนทูตส่งลงมาสอนบ่าวของอัลลอฮฺแล้ว บรรดามนุษยชาติจะรู้เรื่องหรืออ่านได้หรือไม่? เปรียบได้ดังคำที่ว่า หากไม่มีผู้สอนแล้ว ผู้รู้จะเกิดขึ้นได้อย่างไรกันเล่า ณ ปัจจุบันพวกท่านทั้งหลายกำลังทำอะไรกันอยู่ ข่าวบางช่องก็มีออกมาให้ดูให้ฟัง บางศาสนา คนที่เป็นผู้นำเขากลับทำลายศาสนา เอาศาสนาบังหน้า ตกกลางคืนทำเรื่องที่สกปรก
ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม เป็นผู้ที่อ่านไม่ได้ เขียนไม่เป็น อัลลอฮฺทรงเมตตา ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม โดยส่งญิบรีลลงมาสอนให้ท่านนบี โดยเริ่มด้วยคำว่า “อิกเราะ” แสดงให้รู้ว่า คำว่า “จงอ่าน” หากว่าเราไม่อ่าน ไม่เรียน เราก็จะไม่ได้ความรู้
นักวิชาการยุคก่อนๆ เขาไม่ได้มาศึกษาแบบเรา ไม่มีปากกา ไม่มีสมุด ไม่มียางลบ แต่สมัยนี้มีทุกอย่างที่ผู้ต้องการจะหาความรู้นั้นไม่ต้องทำอะไรเลยแค่นั่งฟังและจดจำสิ่งที่ได้รับจากการเรียนการสอน และลักษณะนิสัยของความมีเมตตาของท่านร่อซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ท่านจึงเป็นเสมือนตัวแทนแห่งความเมตตาธรรม
ท่านร่อซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า
“ฉันคือมุฮัมมัด และฉันเป็นนบีแห่งเมตตาธรรม”
(บันทึกโดย อิมามมุสลิม)
และในขณะเดียวกัน อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ทรงมีรับสั่งแก่ท่านร่อซูล และบรรดามุอฺมิน ให้นำเอาคุณธรรมความดีมาปฏิบัติอย่างเคร่งครัด ให้มีจิตใจที่โอบอ้อมอารี มีเมตตากรุณา เห็นอกเห็นใจสงสารผู้อื่น
อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ตรัสว่า
“และท่านจงลดมือของท่านให้ต่ำลงต่อบรรดามุอฺมิน”
(อัลฮิจญรฺ 15 : 88)
สามารถเข้าใจได้เลยว่า นี่คือการสั่งใช้ให้ท่านร่อซูล และเหล่าผู้ศรัทธาวางตัวอยู่บนคุณธรรมแห่งความเมตตา เกื้อกูลสงสาร และเคารพให้เกียรติผู้อื่น จนเหมือนกับพระองค์จะบอกให้เอาแบบอย่างแม่นกที่คอยโอบกางปีกทั้งสองเพื่อปกป้องลูกนก โอบรัดปีกเพื่อความอบอุ่นและปลอดภัยจนลูกนก สามารถสัมผัสได้ถึงความรัก และความเอาใจใส่ของแม่นกเป็นตัวอย่าง
อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ทรงมีรับสั่งและเพื่อเป็นการยกย่อง และชมเชยแก่บรรดาศอฮาบะฮฺของท่านร่อซูล ถึงคุณสมบัติความมีเมตตากรุณาและการให้เกียรติซึ่งกันและกัน
“มุฮัมมัดเป็นศาสนทูตของอัลลอฮฺ และบรรดาผู้ที่อยู่ร่วมกัน เขาล้วนเป็นผู้เข้มแข็ง และแกร่งกล้าต่อบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธา อีกทั้งเป็นผู้มีเมตตาธรรมระหว่างกันเอง”
(อัศฟัตฮฺ 48 : 29)
ตัวอย่างในลักษณะเปรียบเทียบและชี้นำให้เห็นคุณธรรมเมตตาให้เห็นว่าความรักใคร่ปรองดอง ความสามัคคี และสงสารกันของผู้ศรัทธานั้นเสมือนกับว่าเป็นเรือนร่างเดียวกัน เมื่ออวัยวะส่วนหนึ่งส่วนใดนั้นได้รับบาดเจ็บก็พลอยทำให้อวัยวะส่วนอื่นๆ ต้องพลอยเจ็บปวดและอักเสบด้วย และบางทีอาจจะเจ็บปวดทั้งร่างกายก็เป็นได้
มุสลิมผู้มีศรัทธาทุกท่านต้องใส่ใจและตระหนักเสมอว่า มุสลิมและมุอฺมินทุกคนนั้นเป็นพี่น้องกัน เป็นพี่น้องร่วมศาสนาและหลักการ ต้องมีเมตตากรุณา สงสารเอ็นดู ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน
“บรรดามุอฺมินเป็นพี่น้องกัน”
(อัลฮุญุร็อต 49 : 10)
ท่านร่อซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ทรงเคยพูดกับอุมมะฮฺของท่านไว้เสมอว่า
“พวกท่านพึงมีเมตตาต่อผู้อื่นเถิด พวกท่านจะได้รับกรุณาธิคุณของอัลลอฮฺตอบแทน”
(บันทึกโดย อิมาม อะฮฺมัด)
ท่านร่อซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า
“อัลลอฮฺทรงมีเมตตา เฉพาะแก่บ่าวของพระองค์ที่มีเมตตากรุณาเท่านั้น”
(บันทึกโดย อิมาม อัลบุคอรีย์และมุสลิม)
ในทางตรงกันข้าม ผู้ที่ขาดไร้ซึ่งคุณธรรมเมตตาต่อผู้อื่น ย่อมไม่ได้รับความเมตตาของอัลลอฮฺ ตอบแทนเช่นกัน ทั้งนี้ เพราะทำตัวอย่างไรก็ย่อมได้รับเช่นนั้น ท่านร่อซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม สอนและมีโอวาทเสมอว่า
“ผู้ไม่มีเมตตา ย่อมไม่สมควรได้รับความเมตตา”
ผู้ที่ไม่มีเมตตากรุณา มักเป็นผู้ที่มีนิสัยใจคอที่โหดเหี้ยม และโหดร้าย ใช้อารมณ์และความรุนแรง มองไม่เห็นความทุกข์ร้อนของผู้อื่น แต่สำหรับผู้ที่มีจิตใจเมตตาต่อผู้อื่นอยู่เสมอ ท่านร่อซูล ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัม บอกให้ภูมิใจและเตรียมดีใจไว้ล่วงหน้าเลยว่า ด้วยพระประสงค์ของอัลลอฮฺ และเมตตาของอัลลอฮฺ เขาจะได้เป็นผู้โชคดี
ท่านร่อซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า
“ผู้ที่เป็นชาวสวรรค์มี 3 จำพวก (ในสามคนนั้นคือ)
♥ ผู้มีอำนาจที่เป็นธรรม เสียสละทรัพย์สมบัติและได้รับความสำเร็จ
♥ และคนที่มีเมตตากรุณา จิตใจอ่อนโยนต่อญาติพี่น้องและมุสลิมทั่วไป
♥ และผู้ที่บริสุทธิ์ที่มีลูกหลายคนแต่ไม่ขอความช่วยเหลือผู้อื่น”
(บันทึกโดย อิมาม มุสลิม)
คุณธรรม ความเมตตา คือ คุณธรรมอันสูงส่งข้อหนึ่งของมุสลิมจะละเลยหรือเพิกเฉยไปไม่ได้ เพราะฉะนั้นแล้ว เราเป็นส่วนหนึ่งในเมตตาที่อัลลอฮฺทรงให้กับพวกเรา คือ สติปัญญา ก็เป็นเมตตาธรรม หากเราไม่มีสติปัญญา เราก็คงไม่ได้รับความรู้อย่างแน่นอน และในอัลกุรอานก็มีหลายอายะฮฺที่ครอบคลุมมนุษย์ทั้งมวล
“จงกล่าวเถิดว่า โอ้มนุษย์ทั้งหลาย แท้จริงฉันคือ ร่อซูลของอัลลอฮฺ มายังพวกท่านทั้งมวล”
(อัลอะอฺร็อฟ 7 : 158)
เมื่อเรารู้อย่างนี้แล้ว เรายังจะเป็นบุคคลที่ไม่มีเมตตาอย่างนั้นหรือ โอ้พี่น้องที่ศรัทธาแล้ว เราอย่าได้ปล่อยเวลาให้มันผ่านไป และไม่สามารถที่จะย้อนกลับมาได้อีก หากเราคิดจะแก้ไขสิ่งหนึ่งสิ่งใดเราควรจะแก้ไขก่อนที่เราจะไม่มีโอกาส ตราบใดที่เรามีโอกาสเรารีบเก็บโอกาสที่มันดีๆ เอาไว้เถิด
ที่มา : อนุสรณ์งานประจำปี โรงเรียนมุสลิมวิทยาคาร 18 ธันวาคม 2553