ความหลากหลายและลึกล้ำในอิสลาม
  จำนวนคนเข้าชม  3656

ความหลากหลายและลึกล้ำในอิสลาม

 

โดย อาจารย์ฮะซัน นาคนาวา

 

          ความสุขที่แท้จริงต้องสุขทั้งกายและใจ ดังนั้น มนุษย์จึงต้องบริโภคทั้งอาหารกายและอาหารใจมิใช่บริโภคอันหนึ่งอันใด อาหารกายนั้น แน่นอนซื้อขาย, ให้ และปล้นขโมยกันได้ แต่อาหารใจหรือที่เรียกว่าธรรมนั้น ซื้อขาย, ให้ หรือปล้นขโมยกันไม่ได้ เช่น การศรัทธา, การละหมาด, ถือศีลอดและอื่นๆ ที่เป็นฟัรฎูอัยน์ (หน้าที่ส่วนบุคคล) ซื้อขายไม่ได้ อยากได้ต้องทำเอง

 

     อาหารกายนั้น เกี่ยวข้องกับการประกอบสัมมาอาชีพที่เรียกว่าแผ่นดินทอง

     ส่วนอาหารใจหรือธรรม เกี่ยวข้องกับโลกหน้าเรียกว่าแผ่นดินธรรม

 

     ผู้ที่ได้บริโภคทั้งอาหารกายและอาหารใจนั้นเรียกว่ามนุษย์ ซึ่งมีความหมายต่างกับคนมาก 

     มนุษย์ ประกอบจาก 2 คำ คือ มน + อุษย์ เป็น มนุษย์ มน แปลว่าใจอุษย์ แปลว่าสูง” 

     ส่วนคำว่าคนนั้นมาจากคำว่า ชน แค่เกิดมาจากท้องแม่ก็เป็นคนแล้ว 

          ในโลกนี้ปัจจุบันมีคนมาก แต่มีมนุษย์น้อย (คัดมาจากหนังสือภูตผีปีศาจในตัวคน ในตัวข้าราชการ ในตัวนักการเมือง หน้า 15 ของ พุทธทาสภิกขุ)

 

          โครงการแผ่นดินธรรมแผ่นดินทองนี้ มีส่วนช่วยพัฒนาคุณภาพชีวิตมนุษย์ให้มีคุณภาพคู่คุณธรรมได้ดีมาก โครงการอันยิ่งใหญ่นี้อิสลามมีมานานแล้ว นั่นคือ โครงการ ขอพระเจ้าของเราได้โปรดประทานความดีงามทั้งภพนี้และภพหน้า

 

          ความจริง อิสลามมองว่า ทุกข์กายนั้นดีกว่าทุกข์ใจ เพราะอิสลามสอนไม่ให้มองคนที่เปลือกนอก ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า

 

     “แท้จริงอัลลอฮฺจะไม่ทรงมองรูปร่างหน้าตาของพวกเจ้า แต่พระองค์จะทรงมองหัวใจกับพฤติกรรมของพวกเจ้า

 

         โลกใบนี้ของเรามีผู้มีคุณภาพมากมายในหลากหลายสาขา แต่ส่วนใหญ่ไร้คุณธรรม สวยแต่รูป จูบไม่หอม ข้างนอกสดใส ข้างในตะติ๊งโหน่ง ที่พูดกันว่าบางครั้งหลังม่านที่สวยหรูนั้น อาจมีสิ่งน่ากลัวแอบแฝงอยู่

 

          อิสลามกับอีหม่านนั้นต่างกัน คือ อิสลาม รับสืบทอดกันได้ทางสายเลือด แต่อีหม่านไม่ได้ กล่าวคือ พ่อแม่เป็นมุสลิม ลูกที่ยังไม่บรรลุศาสนภาวะถ้าตายถือว่าเด็กนั้นเป็นมุสลิมตามบิดามารดาโดย ไม่ต้องกล่าวกะลิมะฮฺชะฮาดะฮฺ

     ♦ แต่ถ้าพ่อแม่เป็นมุอฺมิน ลูกไม่จำเป็นต้องเป็นมุอฺมินด้วย เช่น บุตรของนบีนัวฮฺ เป็นต้น 

หลักฐานในเรื่องนี้ ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่าอิสลามนั้นสูงส่งเหนือศาสนาใดๆ” 

 

     ♦ เมื่อพ่อซึ่งเป็นต้นตระกูลเป็นมุสลิม ลูกจึงเป็นมุสลิมด้วยตามต้นตระกูล และอีกหลักฐานคือ อิสลามถือว่า ลูกของทาสหญิงที่เกิดจากนายผู้ชายนั้น ถือว่าเป็นไทไม่ใช่ทาส ถึงแม้ว่า แม่จะเป็นทาสก็ตาม ทั้งนี้เพราะพ่อเป็นไท ลูกจึงเป็นไทตามพ่อด้วย

     ♦ แต่ถ้าพ่อมุสลิม แม่กาเฟร ลูกก็กาเฟร เพราะแม่กาเฟรแต่งงานไม่ได้ เป็นลูกซินา (ชู้สาว) ไม่มีผลทางสายเลือด

     ♦ แต่ถ้าพ่อมุสลิม แม่เป็นอะห์ลุลกิตาม คือ แม่ยิวหรือคริสต์แต่งงานกันได้กับชายมุสลิม (โดยไม่ต้องรับอิสลาม) เป็นบัญญัติจากอัลกุรอาน ประเด็นนี้ลูกเป็นมุสลิมตามต่อต้นตระกูล

 

จากหนังสืออัลอุมมฺของอิหม่ามซาฟิอี เล่ม 8 หน้า 318 มีรายงานจากอุมัร บินค็อฏฏ็อบ ว่า

       “เมื่อคนหนึ่งคนใดจากพ่อแม่เด็กๆ ที่เป็นกาเฟรมาแต่เดิมเข้ารับอิสลาม เด็กนั้นถือว่าเป็นมุสลิมเพราะอัลลอฮฺทรงยกอิสลามสูงกว่าศาสนาใดๆ ศาสนาที่สูงที่สุดจึงควรได้รับสิทธิ์

 

          จากการที่อิสลามสูงส่งนี้อีกเช่นกัน หากพ่อหรือแม่ที่เป็นมุสลิมแล้วตกมุรตัด (กาเฟร) ลูกนั้นก็ไม่ตามไปเป็นศาสนาที่ต่ำกว่าอิสลาม ยกเว้นกรณีที่เขาถูกเลี้ยงดูเติบโตมากับพ่อแม่ที่ตกมุรตัด กรณีนี้อาจถือว่าเด็กเป็นกาเฟรได้ฐานะถูกสังคมเปลี่ยนแปลง ดังฮะดิษ บุคอรี รายงานโดย อบูฮุรอยเราะฮฺ เล่าว่า

 

ทารกทุกคนนั้นจะเกิดมาบนศาสนาเดิม (อิสลาม) แต่พ่อแม่ของเขาทำให้เขาเป็นยิว-คริสต์หรือ เมใจ (มะญูซี)”

 

          จากนัยฮะดิษนี้ ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้บอกเราว่าสิ่งแวดล้อมในสังคมนี้เป็นเหตุปัจจัยทำให้เด็กเป็นกาเฟร ฉะนั้น เด็กมุสลิมที่ได้รับการเลี้ยงดูและเติบโตมากับพ่อแม่บุญธรรมกาเฟร โดยขาดการติดต่อกับพ่อแม่มุสลิม จึงถือว่าเป็นกาเฟรตามสิ่งแวดล้อมและสังคมกาเฟร เช่น ฝรั่งคริสเตียนพาเด็กมุสลิมไปเลี้ยงในสังคมฝรั่ง เป็นไปไม่ได้ที่เด็กลูกมุสลิมจะเป็นมุสลิม เพราะพ่อมุสลิมเป็นผู้ทำให้ลูกตัวเองเป็นคริสต์ที่ให้ฝรั่งคริสต์เลี้ยงดู ในทางตรงกันข้าม เด็กกาเฟรที่ได้รับการเลี้ยงดูเติบโตมากับพ่อแม่บุญธรรมมุสลิม ก็ตัดสินว่าเป็นมุสลิม

 

          หากมีใครแย้งว่าเด็กมุสลิมโตมากับสังคมกาเฟรจะเป็นกาเฟรไม่ได้ ก็ขอโต้ว่าอย่าว่าแต่เด็กมุสลิมอยู่กับสังคมกาเฟรเลย ปัจจุบันเด็กมุสลิมอยู่กับพ่อแม่มุสลิมแท้ๆ ของเขาเองในสังคมมุสลิมข้างๆ สุเหร่ายังกลายเป็นกาเฟรกันเท่าไรแล้ว

 

          ป.. ที่กล่าวมาทั้งหมดนั้น หมายถึง เฉพาะเด็กๆ เล็กๆ ที่ไร้เดียงสาที่เติบโตในสังคมกาเฟร ส่วนเด็กมุสลิมที่โตกับพ่อแม่มุสลิมแล้วไปอยู่กับกาเฟร-คริสต์-ยิว ไปเรียนหนังสือ หรือทำงาน สามารถติดต่อกับพ่อแม่มุสลิมได้ ก็ไม่ถือว่าเป็นกาเฟร

 

         ที่ถือว่าเด็กเป็นกาเฟรในทุกๆ เรื่องนั้น หมายถึง ถ้าตายตอนเด็ก การทำพิธีศพก็ตามแบบกาเฟรในโลกนี้เท่านั้น แต่มิได้หมายความว่าอิสลามจะตัดสินเด็กกาเฟรว่าจะตกนรก ถูกทรมานในโลกหน้า เพราะเด็กๆ กาเฟรนั้นยังไม่บรรลุนิติภาวะ กฎหมายของพระองค์ยังไม่มีผลบังคับแก่พวกเขา พวกเขาจึงบริสุทธิ์ ไร้บาป ได้เข้าสวรรค์เป็นเด็กบริการในสรวงสวรรค์

 

          การเป็นอิสลามนั้น สิ้นสุดเมื่อสิ้นชีวิต ดังนั้น ถ้าเขาตายแล้วไม่ได้ทำพิธีศพแบบอิสลาม เช่น ถูกเผาหรืออะไรเขาก็เป็นมุสลิม เข้าสวรรค์ ตรงกันข้าม ถ้าคนกาเฟรตายแต่มีผู้ทำพิธีฝังศพแบบอิสลาม เขาก็เป็นกาเฟร ตกนรกวันยังค่ำ 

 

เพราะนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า

สวรรค์จะเข้าได้เฉพาะมุอฺมินเท่านั้น

 

 

ที่มา : สารดาริสสลาม เล่มที่ 9 เดือนตุลาคม 2548