เอี๊ยะติก้าฟกับมารยาทที่พึงมี
เชคสุลัยมาน อัรรุฮัยลีย์ ฮะฟิศ่อฮุ้ลลอฮฺ
อุมมุ อุ้ลยา แปลและเรียบเรียง
การเอี๊ยะติก้าฟที่ถูกต้องตามบทบัญญัตินั้น ให้ทำการเอี๊ยะติก้าฟในเวลากลางคืน กล่าวคือ ให้เริ่มเข้ามัสยิดตั้งแต่ก่อนมัฆริบและตั้งเจตนาว่าจะทำการเอี๊ยะติก้าฟ โดยอยู่ประจำในมัสยิดจนกระทั่งละหมาดซุบฮิเสร็จ จึงค่อยแยกย้ายกลับบ้าน ดังกล่าวจึงจะนับว่าได้เอี๊ยะติก้าฟเสร็จสิ้นสมบูรณ์ในค่ำคืนนั้น
ที่พูดเรื่องนี้เพราะ ฉันทราบมาว่ามีพี่น้องเรามาเอี๊ยะติก้าฟได้เพียงบางคืน บางคนมาละศีลอดที่มัสยิด อยู่ละหมาดตะรอเวียะฮฺและตะฮัดญุด บ้างก็ออกจากมัสยิดก่อนละหมาดซุบฮิ หรือ ละหมาดซุบฮิแล้วค่อยกลับ โดยไม่ได้เหนียตที่จะเอี๊ยะติก้าฟ จึงทำให้เขาพลาดโอกาสในการได้รับผลบุญจากการเอี๊ยะติก้าฟไป
หลายต่อหลายคนอาจไม่สามารถจะอยู่เอี๊ยะติก้าฟได้ตลอดทั้งสิบคืน ก็ขออย่าได้พลาดผลบุญของการเอี๊ยะติก้าฟดังที่กล่าวไป แม้ว่าจะสามารถอยู่เอี๊ยะติก้าฟได้เพียงแค่ค่ำคืนเดียวก็ตาม
เรื่องที่สองที่อยากจะเตือนตัวเองและพี่น้องก็คือ เรากำลังอยู่ในมัสยิด อยู่ในบ้านของอัลลอฮฺ คนที่เอี๊ยะติก้าฟก็เอี๊ยะติก้าฟในบ้านของอัลลอฮฺ ดังนั้น จึงจำเป็นต้องให้เกียรติบ้านของอัลลอฮฺ ต้องมีมารยาทเมื่ออยู่ในมัสยิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในมัสยิดของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม การนินทาว่าร้ายคนอื่นนับเป็นเรื่องหะรอม ยิ่งทำในมัสยิดของท่านนบีด้วยแล้วยิ่งหะรอมหนักกว่า ยิ่งบาปมากกว่า
เพราะฉะนั้น คนที่อัลลอฮฺทรงให้เกียรติเขาให้ได้มานั่ง มาเอี๊ยะติก้าฟในมัสยิดของท่านร่อซู้ล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ต้องรู้จักใช้คำพูด ต้องพยายามให้มีแต่สิ่งดีๆ เท่านั้นที่ออกมาจากปาก หากทำไม่ได้ก็ให้เงียบเสีย
บางคนที่มาเอี๊ยะติก้าฟใช้เสียงเรียกเข้าโทรศัพท์เป็นเสียงเพลงเสียงดนตรี เรื่องนี้เป็นเรื่องต้องห้าม อีกทั้งยังเป็นการรบกวนคนอื่นและไม่ใช่มารยาทที่ควรประพฤติในมัสยิดของท่านร่อซู้ล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม
ทำนองเดียวกัน คนที่ชอบถ่ายรูปคนที่กำลังเอี๊ยะติก้าฟ คนที่กำลังละหมาด กำลังสุญูดในมัสยิดโดยที่เจ้าตัวไม่ได้อนุญาตและไม่ได้ยินดีจะให้ถ่ายนั้น เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ไม่อนุญาตให้กระทำไม่ว่าจะเป็นการบันทึกภาพนิ่งหรือบันทึกวิดีโอก็ตาม
อีกเรื่องคือการส่งเสียงดังในมัสยิด ของท่านร่อซู้ล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ซึ่งเป็นเรื่องต้องห้าม ท่านอุมัร อิบนิล ค็อฎฎ้อบ ร่อฎิยัลลอฮุอันฮฺ เคยตั้งใจจะลงโทษชายสองคนที่ส่งเสียงดังในมัสยิดของท่านร่อซู้ล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม แต่ท่านก็ละเว้นไม่ลงโทษเหตุเพราะชายสองคนนี้เป็นชาวเมืองฎออิฟซึ่งขณะนั้นยังไม่ทราบในข้อควรปฏิบัติในมัสยิด
เรื่องสุดท้ายที่จะเตือนก็คือ เรื่องการรักษาความสะอาดภายในมัสยิด หากทำให้มัสยิดเปรอะเปื้อนสกปรก ก็ต้องจัดการทำความสะอาด การทิ้งกระดาษชำระที่ใช้แล้ว หรือขยะต่างๆ ในมัสยิด ในที่ๆ ใช้สุญูด ถือว่าหะรอมไม่อนุญาตให้กระทำ
เช่นเดียวกันหากผ้าปูละหมาดคนที่เอี๊ยะติก้าฟมีกลิ่น หรือสกปรก ก็ต้องหยิบออกไปเวลาที่คนเขาละหมาด หรือหากเจ้าตัวไม่สบาย ก็ให้เก็บที่นอนของตนให้ดีแล้วเอามาปูเฉพาะตอนที่จะนอน เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบสร้างความเดือดร้อนแก่พี่น้องมุสลิม เพราะคนที่สร้างความเดือดร้อนแก่พี่น้องมุสลิม ก็สมควรแล้วที่เขาจะถูกสาปแช่งตำหนิติเตียน