ความสัจจริง
  จำนวนคนเข้าชม  8937


บทที่ว่าด้วยเรื่องของความสัจจริง 


عن ابن مسعود رضي الله عنه عن النبي صلى الله عليه وسلم قال
 إن الصدق يهدى إلى البر  وإن البريهدى إلى الجنة   وإن الرجل ليصدق حتى يكتب عندالله صديقا  وإن الكذب يهدى إلى الفجور  وإن الفجوريهدى إلى النار  وإن الرجل ليكذب حتى يكتب عندالله كذابا
 متفق عليه


เล่าจากอิบนิ มัสอูด (ร.ด.) จากท่านนะบี  ได้กล่าวว่า:

          “แน่แท้ความสัจจริงจะนำไปสู่ความดี และความดีนำไปสู่สวรรค์ แท้จริงมีผู้ที่รักษาความสัจจริงจนได้รับการบันทึก ณ พระองค์อัลเลาะห์ว่า เป็นผู้ที่มีความสัจจริง และแน่แท้ความมุสาจะนำไปสู่ความชั่ว และความชั่วจะนำไปสู่ไฟนรก แท้จริงผู้มุสาเป็นอาจิน จนเขาถูกบันทึกไว้ ณ พระองค์อัลลอฮ์ว่า เป็นจอมมุสา”

 รายงานโดยบุคอรีย์และมุสลิม

 

و عَنْ أبي محمد الحسن بن علي بن أبي طالب رَضِيَ اللَّهُ عَنْهُما
قال حفظت مِنْ رَسُول اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّم
 
( دع ما يريبك إِلَى ما لا يريبك؛ فإن الصدق طمأنينة والكذب ريبة )

رَوَاهُ الْتِّرْمِذِيُّ وقال حديث صحيح

เล่าจะอะบีมูฮัมหมัด อัลฮะซัน บุตร อะลี บุตร อะบีตอลิบ (ร.ด.)ว่า : ฉันจดจำมาจากท่านรอซูลลุ้ลลอฮ์  ว่า :

          “ท่านจงละทิ้งสิ่งที่ทำให้ท่านเกิดความสงสัย (ว่าเป็นสิ่งที่ศาสนาอนุมัติให้หรือไม่) ไปสู่สิ่งที่จะไม่ทำให้ท่านเกิดความสงสัย เพราะความสัจจริงคือความมั่นใจ ส่วนความมุสาคือ คลางแคลงใจ”

รายงายโดยอัตติรมีซี และกล่าวว่า : เป็นฮะดีษซอเฮียะฮ์

 


عن أبي سفيان صخر بن حرب رضي الله عنه في حديثه الطويل في قصة هرقل
 : قال هرقل
 فماذا يأمركم
  : يعني النبي صلى الله عليه وسلم) قال أبو سفيان)
 قلت يقول 
اعبدوا الله وحده لا تشركوا به شيئا، واتركوا ما يقول آباؤكم، ويأمرنا بالصلاة والصدق والعفاف والصلة  

 متفق عليه.

เล่าจากอะบีซุฟยาน ซอคร์ บุตร ฮัรบ์ (ร.ด.) ในฮะดีษที่ยาวบทหนึ่งเกี่ยวกับเรื่องของ ฮิร็อกล์, ฮิร็อกล์ได้ถาม (อะบูซุฟยานว่า) ว่า: เขาหมายถึงท่านนะบีมุฮัมมัด ใช้อะไรพวกท่านบ้าง อะบูซูฟยานเล่าว่า : ฉันตอบว่า : เขาใช้ว่า :

     “ท่านทั้งหลายจงสักการะอัลเลาะห์เพียงพระองค์เดียว และท่านทั้งหลายอย่านำสิ่งใดมาตั้งภาคีร่วมกับพระองค์ และท่านทั้งหลายจงสลัดทิ้งสิ่งที่บรรพบุรุษของพวกท่านกล่าวไว้ และเขาใช้ให้พวกเราละหมาด ให้มีสัจจะ ให้หวงตัว(ไม่ทำบาป) และให้ติดต่อเชื่อมสัมพันธ์กับเครือญาติ”

รายงายโดยบุคอรีย์และมุสลิม
 

 

عن ابي هريرة رضي الله عنه قال
 قال رسول الله صلى الله عليه وسلم 
غزا نبي من الأنبياء فقال لقومه : لايتبعني رجل ملك بضع امرأة وهو يريد أ، يبني بها ولما بين بها ولا أحد بنى بيوتا ولم يرفع سقوفها ، ولا احد اشترى غنما أو خلفات وهو ينتظر ولادها ، فغزا فدنا من القرية صلاة العصر ، أو قريبا من ذلك فقال للشمس : انك مأمورة وأنا مأمور ، اللهم احبسها علينا فحبست حتى فتح الله عليه ، فجمع الغنائم فجاءت _ يعني النار _ لتأكلها فلم تطعمها ، فقال : ان فيكم غلولا فليبايعني من كل قبيلة رجل ، فلزقت يد رجل بيده فقال فيكم الغلول ، فليبايعني قبيلتك فلزقت يد رجلين أو ثلاثة بيده ، فقال فيكم الغلول فجاءوا برأس مثل رأس بقرى من الذهب فوضعوها فجاءت النار فأكلتها ثم أحل الله لنا الغنائم رأي ضعفنا وعجزنا فأحلها لنا
متفق عليه

 

เล่าจากอบีฮุรอยเราะห์ (ร.ด.) ว่า :ท่านรอซูลลุ้ลลอฮ์ กล่าวว่า :

“มีนะบีท่านหนึ่งจากบรรดานะบีทั้งหลาย (ขออัลลอฮ์ได้โปรดประทานความเมตตาและสันติแก่พวกเขาด้วยเทอญ) ออกทำสงคราม

นะบีนั้นได้กล่าวแก่พวกพ้องของท่านว่า:

          จะต้องไม่ให้ติดตามฉันไป (ออกรบ) ชายที่มีภรรยา และเขาประสงค์จะร่วมหลับนอนกับนาง แต่ยังไม่ได้ร่วมหลับนอน, และคนที่สร้างบ้าน แต่ยังไม่ได้ยกหลังคา, และคนที่ซื้อแพะ (กำลังตั้งท้อง) หรืออูฐที่กำลังตั้งท้อง และเขารอคอยลูกของมัน

นะบีท่านนั้นได้เข้าทำสงคราม และเข้าไปใกล้หมู่บ้าน ในช่วงละหมาดอัศริ หรือใกล้กว่านั้น เขาได้กล่าวแก่ดวงอาทิตย์ว่า :

         ความจริงเจ้าถูกกำหนดให้ปฏิบัติตามบัญชา และเราก็ถูกกำหนดให้ปฏิบัติตามบัญญาเช่นเดียวกัน ข้าแต่อัลลอฮ์ได้โปรดกักมันไว้ให้แสงสว่างแก่พวกเรา, มันจึงถูกกักไว้ จนในที่สุดอัลลอฮ์ได้มอบชัยชนะให้แก่เขา เขาได้รวบรวมทรัพย์ที่ได้จากสงคราม  (ฆอนีมะห์) จากนั้นไฟได้มาเพื่อกินทรัพย์สงคราม แต่มันไม่ยอมกิน ,

นะบีท่านนั้นกล่าวว่า:

         ความจริงมีการยักยอกเกิดขึ้นในหมู่พวกท่าน, ให้แต่ละเผ่าจงส่งตัวแทนหนึ่งคนมาให้สัตยาบัญแก่ฉัน, ก็ปรากฏว่ามีมือของชายคนหนึ่งติดแน่นกับมือของนะบี

นะบีท่านนั้นได้กล่าวว่า:
 
          การยักยอกได้เกิดขึ้นในหมู่ของพวกท่านนั่นเอง จงให้เผ่าของท่านมาให้สัตยาบัญแก่ฉัน ก็ปรากฏว่ามีมือของสองคนหรือสามคนติดกับมือของท่านนะบี

นะบีท่านนั้นได้กล่าวว่า:

          สิ่งที่ถูกยักยอกไปอยู่ในหมู่พวกท่าน หลังจากนั้นพวกเขาได้นำหัวทองคำขนาดเท่าหัววัวมาวาง และไฟได้มากินมัน, แต่ก่อนนั้นทรัพย์ที่ได้จากสงครามจะไม่อนุมัติแก่ผู้ใดเลย , แต่ต่อมาอัลลอฮ์ ได้อนุมัติทรัพย์ที่ได้จากสงครามแก่พวกเรา เมื่อพระองค์ได้เห็นความอ่อนแอและขาดความสามารถของพวกเรา พระองค์จึงได้อนุมัติมันให้แก่พวกเรา”

รายงานโดยบุคอรีย์และมุสลิม

 

 

ที่มา: ริยาดุสซอลีฮีน

โดย อาจารย์ อรุณ บุญชม