มุสลิมต้องไม่ทำแบบมุชริกีน
  จำนวนคนเข้าชม  7720

มุสลิมต้องไม่ทำแบบมุชริกีน

 

คอเฏ็บ อับดุลสลาม เพชรทองคำ

 

          ท่านพี่น้องผู้ศรัทธาทั้งหลาย อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาทรงสั่งใช้เราให้มีอัตตักวา มีความยำเกรงต่อพระองค์ เพราะอัตตักวาหรือความยำเกรงต่อพระองค์นั้น หากมีอยู่ในหัวใจของเราแล้ว มันก็จะเป็นเสมือนกำแพงที่ขวางกั้นเรา ไม่ให้ทำสิ่งที่เป็นชิริก สิ่งที่เป็นบิดอะฮฺ สิ่งที่เป็นมะอฺศิยะฮฺ สิ่งที่เป็นการฝ่าฝืนบทบัญญัติของอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา และมันก็จะเป็นแรงผลักดันเราให้ปฏิบัติในสิ่งที่เป็นอิบาดะฮฺ สิ่งที่เป็นอะมัลศอและฮฺต่างๆ สิ่งที่เป็นความดีต่างๆ 

 

          ซึ่งผลของการที่เรามีอัตตักวา มีความยำเกรงต่ออัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาก็คือ การที่เราได้ปกป้องตัวของเราเองให้รอดพ้นจากการถูกทรมานในกุบูร และปกป้องเราจากการถูกลงโทษในไฟนรกในวันกิยามะฮฺ สำหรับในโลกดุนยานี้ เราก็จะได้รับชีวิตที่ดีงาม และในโลกอาคิเราะฮฺเราก็จะได้รับรางวัลตอบแทนด้วยสวนสวรรค์ของอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา และสิ่งพิเศษมากมายที่อยู่ภายในสวนสวรรค์นั้น

 

          ท่านพี่น้องผู้ศรัทธาทั้งหลาย คุฏบะฮฺของเราในวันนี้ยังคงอยู่ในเรื่องราวของกระบวนการในวันกิยามะฮฺ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในเรื่องราวของหลักการศรัทธาหรือรุก่นอีมานประการที่ห้าของอัลอิสลาม นั่นก็คือการศรัทธาต่อโลกอาคิเราะฮฺ ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องของอิลมุลเฆ็บ หรือความรู้ในเรื่องสิ่งเร้นลับ เป็นเรื่องราวของโลกหลังความตายของทุกคน ที่มนุษย์ทุกๆคนจะต้องได้พบได้เจออย่างแน่นอนเมื่อเราได้ตายไปแล้ว และเป็นเรื่องที่มุสลิมทุกคนต้องเชื่อมั่นศรัทธาในความมีอยู่จริงของมัน 

 

          ...เป็นเรื่องราวที่อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาทรงแจกแจง ทรงบอกเล่า ทรงสำทับให้เราได้ทราบไว้ในอัลกุรอาน ...อัลกุรอานเป็นกะลามุลลอฮฺ หรือเป็นคำพูดของพระองค์ ..และเป็นเรื่องราวที่ท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมนำมาตักเตือนเราอยู่เสมอๆ เพื่อให้เราได้รู้ว่า ในโลกอาคิเราะฮฺ เราจะต้องพบกับอะไรบ้าง ? ให้เรารู้เพื่อที่เราจะได้มีความระมัดระวังการดำเนินชีวิตของเราบนโลกดุนยานี้ เพราะผลตอบแทนจากการดำเนินชีวิตในโลกดุนยาของเรานั้น จะนำเราไปสู่สถานที่หนึ่งสถานใดจากสองสถานที่เท่านั้น นั่นก็คือ ถ้าไม่ได้เข้าสวรรค์ก็ต้องตกนรก และต้องอยู่พำนักในนั้นอย่างตลอดกาล

 

           ด้วยเหตุนี้ ผมจึงได้พยายามที่จะเสนอลำดับขั้นตอนของกระบวนการที่จะเกิดขึ้นในโลกอาคิเราะฮฺ เริ่มตั้งแต่กระบวนการของการเก็บวิญญาณ ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นของการเข้าสู่โลกอาคิเราะฮฺ โลกหลังความตายของเรา ต่อจากนั้นก็เป็นกระบวนการของการสอบสวนในกุบูร ผ่านกระบวนการต่างๆจนกระทั่งไปถึงกระบวนการสุดท้าย คือการได้เข้าสวรรค์ตลอดกาลหรือตกนรกตลอดกาล อย่างใดอย่างหนึ่งเท่านั้น ซึ่งเป็นการลำดับกระบวนการที่จะเกิดขึ้นตามที่อุละมาอ์อะฮฺลุซซุนนะฮฺ วัลญะมาอะฮฺได้ทำการรวบรวมไว้ ตามที่มีตัวบทอัลกุรอานและอัลหะดีษที่มีหลักฐานที่ถูกต้องและเชื่อถือได้ ได้รายงานไว้ 

 

          และเราจะพบว่า ในแต่ละกระบวนการนั้น ท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมได้บอกเรา ได้เตือนเราถึงลักษณะสองลักษณะและผลของมันเอาไว้ นั่นก็คือ หากในโลกดุนยา เราเป็นคนที่ฏออะฮฺเชื่อฟังอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาและปฏิบัติตามแบบอย่างของท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ปฏิบัติตัวอยู่ในบทบัญญัติศาสนาอยู่ตลอดเวลา อย่างนี้ พอไปถึงโลกอาคิเราะฮฺ กระบวนการต่างๆของมันจะนำเราไปสู่รางวัลตอบแทนที่ดีงาม

           ...แต่หากในโลกดุนยา เราอยู่แต่ในเรื่องของการฝ่าฝืนบทบัญญัติศาสนา ทำมะอฺศิยะฮฺ ทำบิดอะฮฺ ทำชิริก..กระบวนการต่างๆของมันก็จะนำเราไปสู่การถูกลงโทษอย่างเจ็บแสบ ...ซึ่งการจัดลำดับขั้นตอนของกระบวนการต่างๆเหล่านี้ ผมไม่ได้คิดขึ้นมาเอง แต่เป็นเรื่องที่อุลามาอ์ได้ทำการรวบรวมไว้ ผมเพียงแต่เป็นผู้ที่นำความรู้เหล่านั้นมาเสนอต่อท่าน เพื่อให้ท่านได้พินิจพิจารณาในเรื่องที่ท่านฟัง 

 

          เมื่อท่านได้ยินได้ฟังแล้ว ได้รู้เรื่องราวต่างๆแล้ว มันก็อยู่ที่ตัวท่านว่า ท่านจะคิดเห็นอย่างไร ? และท่านจะจัดการกับการดำเนินชีวิตของท่าน ในแต่ละวันอย่างไร ? ซึ่งมันก็เป็นเรื่องของท่าน ที่ท่านต้องรับผิดชอบตัวของท่านเอง ...ในโลกอาคิเราะฮฺ ไม่มีใครต้องรับผิดชอบแทนใคร ใครทำอะไรไว้ในโลกดุนยา เขาก็จะได้รับผลตอบแทนจากสิ่งนั้นในโลกอาคิเราะฮฺ ซึ่งท้ายที่สุดในชีวิตของเขาก็คือ ไม่สวรรค์ก็นรก นั่นเอง

 

          ท่านพี่น้องผู้ศรัทธาทั้งหลาย เมื่อได้เรียนรู้ในเรื่องราวเหล่านี้ไปเรื่อยๆ เราจะพบว่า เรื่องของการสอบสวนในโลกอาคิเราะฮฺจะมีอยู่ตลอด ไม่ใช่การสอบสวนเฉพาะช่วงใดช่วงหนึ่งเท่านั้น แต่มีอยู่ตลอดระยะทางของการเดินทางอยู่ในโลกอาคิเราะฮฺ ซึ่งท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมได้แจกแจงไว้แล้วว่า ในวันกิยามะฮฺ บุคคลที่จะถูกสอบสวนอย่างหนักหน่วงที่สุด สาหัสสากรรจ์มากที่สุด มากกว่าบุคคลอื่นๆทั้งหมดก็คือ บรรดากาฟิรหรือบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธา กับบรรดามุชริกหรือผู้ที่ตั้งภาคีต่ออัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา

 

          สำหรับบรรดากาฟิร หรือบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธา ก็ชัดเจนว่าหมายถึง บรรดาผู้ที่เขาไม่เชื่อมั่น ไม่ยอมรับ ไม่ศรัทธาในการเป็นพระเจ้าของ อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ไม่ยอมรับในบทบัญญัติของอัลอิสลาม หรือเป็นผู้ที่ไม่ยอมรับในการมีอยู่จริงของพระเจ้า

          ซึ่งในเรื่องนี้ มุสลิมเราก็ต้องมีความระมัดระวังด้วยเหมือนกันว่า แม้เราจะเป็นมุสลิม แต่มันก็มีโอกาสที่มุสลิมจะทำสิ่งที่ทำให้มุสลิมสิ้นสภาพจากการเป็นมุสลิมได้เหมือนกัน ที่เราเรียกว่า ตกมุรตัด กลายเป็นผู้ปฏิเสธศรัทธา ซึ่งเป็นเรื่องที่บรรดาอุละมาอ์ได้เตือนเราอยู่เสมอ ให้เราระมัดระวังในเรื่องของ นะวากิฏอัลอิสลาม คือสิ่งที่ทำให้เสียอิสลาม (ซึ่งคุฏบะฮฺและนะศีหะหฺของที่นี่ก็ได้พูดกันอยู่เสมอว่ามีอะไรบ้าง) ก็ขอให้เรามีความระมัดระวังในเรื่องนี้ด้วย

 

          สำหรับในส่วนของบรรดามุชริกหรือมุชริกีน ก็หมายถึง ผู้ที่ตั้งภาคีต่ออัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา พวกเขามีลักษณะอย่างไร ? เรามาดูมุชริกีนในสมัยท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม

 

ในอัลกุรอานซูเราะฮฺอัซซุครุฟ อายะฮฺที่ 87 อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาตรัสว่า

وَلَئِن سَأَلْتَهُم مَّنْ خَلَقَهُمْ لَيَقُولُنَّ اللَّهُ ۖ

และหากเจ้าถามพวกเขา(พวกมุชริกีนมักกะฮฺ)ว่า ใครบังเกิดพวกเขา..แน่นอน พวกเขาจะตอบว่า อัลลอฮฺ

 

ในซูเราะฮฺยูนุส อายะฮฺที่ 31 อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาตรัสว่า

قُلْ مَن يَرْزُقُكُم مِّنَ السَّمَاءِ وَالْأَرْضِ أَمَّن يَمْلِكُ السَّمْعَ وَالْأَبْصَارَ وَمَن يُخْرِجُ الْحَيَّ مِنَ الْمَيِّتِ وَيُخْرِجُ الْمَيِّتَ مِنَ الْحَيِّ وَمَن يُدَبِّرُ الْأَمْرَ ۚ فَسَيَقُولُونَ اللَّهُ ۚ

     “(มุฮัมมัด)จงถาม(พวกมุชริกีนมักกะฮฺ)เถิดว่า ใครเป็นผู้ประทานปัจจัยยังชีพที่มาจากฟากฟ้าและแผ่นดินแก่พวกท่าน

     หรือใครเป็นเจ้าของการได้ยินและการเห็น และใครเป็นผู้ให้มีชีวิตหลังจากการตาย และใครเป็นผู้ให้ตายหลังจากการมีชีวิต

     และใครเป็นผู้บริหารควบคุม(ทุกสิ่งทุกอย่าง) (แล้ว)พวกเขาก็จะตอบว่า อัลลอฮฺ...”

 

          จากอายะฮฺอัลกุรอาน อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาทรงบอกว่า พวกมุชริกีนมักกะฮฺต่างยอมรับในการเป็นพระเจ้าของอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา พวกเขามีความเชื่อว่า พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าผู้ทรงสร้างพวกเขา เป็นพระเจ้าผู้ทรงสร้างทุกสิ่งทุกอย่าง ผู้ทรงให้ชีวิต ผู้ทรงให้เสียชีวิต ผู้ทรงประทานปัจจัยยังชีพให้แก่พวกเขา ผู้ทรงเดชานุภาพเหนือทุกสิ่งทุกอย่าง 

 

          พวกเขามีความเชื่อในเรื่องเหล่านี้ นั่นคือ พวกเขาต่างเชื่อในเตาฮีดอัรรุบูบียะฮฺของอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา...แต่พวกเขาทำอะไร ? ทำไมพวกเขาจึงถูกเรียกว่ามุชริกีน เป็นพวกที่ตั้งภาคีต่อพระองค์ ซึ่งมีผลทำให้สถานภาพของพวกเขากลายเป็นผู้ปฏิเสธศรัทธา

 

ในอัลกุรอานซูเราะฮฺอัซซุมัร อายะฮฺที่ 3 อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาได้ตรัสว่า

وَالَّذِينَ اتَّخَذُوا مِن دُونِهِ أَوْلِيَاءَ مَا نَعْبُدُهُمْ إِلَّا لِيُقَرِّبُونَا إِلَى اللَّهِ زُلْفَىٰ

     “และบรรดาผู้ที่ยึดถือเอา บรรดาผู้คุ้มครองอื่นจากอัลลอฮฺ โดยพวกเขาได้อ้างว่า พวกเขาไม่ได้เคารพอิบาดะฮฺพวกมัน เว้นแต่เพื่อทำให้พวกเขาได้เข้าใกล้ชิดอัลลอฮฺ...”

 

           จากอายะฮฺนี้ อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาทรงบอกว่า พวกมุชริกีนได้ไปนำสิ่งอื่นๆมาเป็นผู้คุ้มครองพวกเขาร่วมกับพระองค์ พวกเขาทำการเคารพกราบไหว้รูปปั้นรูปเจว็ด ไปขอความช่วยเหลือจากพวกมัน ขอจากต้นหมากรากไม้  ไปขอความช่วยเหลือจากสิ่งอื่นๆในเรื่องที่มันไม่สามารถช่วยเหลือได้ พวกเขาไปทำการเคารพสักการะกุบูร ไปมีความเชื่อว่าคนดีคนศอลิหฺที่เสียชีวิตอยู่ในกุบูรจะให้ความช่วยเหลือ จะแก้ไขปัญหาต่างๆให้กับพวกเขาได้ ไปมอบความไว้วางใจต่อสิ่งอื่นๆ แทนที่จะมอบแด่อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาเพียงองค์เดียว ...แล้วพวกเขาก็บอกว่า พวกเขาไม่ได้เคารพบูชากราบไหว้สิ่งเหล่านั้น พวกเขาเพียงแต่ต้องการให้สิ่งเหล่านั้นเป็นสื่อกลางระหว่างตัวของพวกเขากับอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา เพื่อให้พวกมันนำพวกเขาให้ไปใกล้ชิดอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาเท่านั้น

 

          นี่ก็คือ ลักษณะหรือการกระทำเพียงบางส่วนของพวกมุชริกีนในสมัยท่านนบี ที่ท่านนบีเรียกการกระทำของพวกเขาว่า การทำชิริก ...พวกเขามีเตาฮีดอัรรุบูบียะฮฺ แต่พวกเขาไม่มีเตาฮีดอัลอุลูฮียะฮฺ พวกเขาเป็นกลุ่มที่อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาทรงบอกว่า ในโลกอาคิเราะฮฺ พวกเขาจะถูกสอบสวนอย่างหนักหนาสาหัสสากรรจ์ และสุดท้ายพวกเขาต้องอยู่ในนรกตลอดกาล แม้ว่าพวกเขาจะมีเตาฮีดอัรรุบูบียะฮฺก็ตาม

 

          ท่านพี่น้องผู้ศรัทธาทั้งหลาย ครั้นเมื่อเราหันกลับมามองสังคมมุสลิมในยุคของเรา ยุคปัจจุบัน มุสลิมเราก็มีความเชื่อมีความศรัทธาในเตาฮีดอัรรุบูบียะฮฺของอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา แต่ในเรื่องของเตาฮีดอัลอุลูฮียะฮฺ เราก็ยังเห็นสิ่งต่างๆที่พวกมุชริกีนทำในสมัยท่านนบี ปรากฏอยู่ในในสังคมมุสลิมในยุคปัจจุบันด้วยเหมือนกัน ยังมีการไปขอดุอาอ์ ขอความช่วยเหลือจากกุบูร ไปมอบความเชื่อ ไปมอบความไว้วางใจต่อสิ่งอื่น ไปเชื่อเรื่องของการทำนายทายทัก เชื่อหมอดู เชื่อไสยศาสตร์ เชื่อเรื่องดวงดาวต่างๆว่ามีอิทธิพลกับชีวิตของพวกเขา ไปแขวนตะกรุดที่คอ ที่เอว ผูกเชือกที่ข้อมือ แขวนอาซิมัต ไปเชื่อว่าสิ่งต่างๆเหล่านี้ให้คุณให้โทษได้ หรือไปเชื่อว่าป้องกันเด็ก ป้องกันลูกหลานจากการเจ็บป่วยได้ หรือทำให้พ้นจากอันตรายต่างๆได้ ...ซึ่งความคิด ความเชื่อและการกระทำสิ่งต่างๆเหล่านี้ บทบัญญัติศาสนาถือเป็นเรื่องของการทำชิริกทั้งสิ้น ซึ่งเป็นเรื่องที่เราต้องออกห่างและละทิ้งมัน เพราะไม่อย่างนั้น เราก็จะมีสภาพเหมือนกับมุชริกีนในสมัยท่านนบี เป็นการกระทำที่อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาทรงห้าม ถือเป็นเรื่องร้ายแรง เป็นการแสดงความใกล้ชิดอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาที่ผิดวิธี

 

          วิธีการที่ถูกต้องและเป็นวิธีการที่ง่ายๆ ง่ายมากๆในการที่เราจะใกล้ชิดอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา นั่นก็คือการขอดุอาอ์ต่ออัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาโดยตรง ไม่ต้องไปผ่านสื่อกลางใดๆให้มันยุ่งยาก ไม่ต้องไปผ่านสื่อกลางที่เป็นรูปปั้นรูปเจว็ด ไม่ต้องเดินทางไปยังกุบูรของใครต่อใคร ไม่ต้องไปที่ต้นไม้  ไม่ต้องไปหาซื้อวัตถุมงคลใดๆ ไม่ต้องไปรำแก้บน ใช้วิธีการง่ายๆ ก็คือ ยกมือขอต่ออัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาโดยตรง และสิ่งนี้ก็คือ การมอบการเคารพอิบาดะฮฺทั้งหมดไปยังอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา เป็นการมอบทั้งเตาฮีดอัรรุบูบียะฮฺและเตาฮีดอัลอุลูฮียะฮฺแด่อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาองค์เดียวเท่านั้น

 

          ดังนั้น หากใครหลงไปทำเรื่องต่างๆที่เป็นเรื่องของชิริก ก็ต้องรีบอิสติฆฟาร ต้องเตาบะฮฺตัวต่ออัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาอย่างจริงใจและรวดเร็ว และละทิ้งจากการกระทำชิริกนั้นๆเสีย เมื่อนั้น อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาก็จะทรงอภัยโทษให้

 

          อัลหะดีษอัลกุดซีย์ ในบันทึกของท่านอิมามอัตติรมีซีย์ รายงานจากท่านอนัส อิบนุมาลิก เราะฎิยัลลอฮุอันฮุเล่าว่า ฉันได้ยินท่านเราะซูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมกล่าวว่า อัลลอฮฺ ตะบาเราะกะ วะตะอาลาตรัสว่า

يَا ابْنَ آدَمَ لَوْ بَلَغَتْ ذُنُوبُكَ عَنَانَ السَّمَاءِ ثُمَّ اسْتَغْفَرْتَنِي غَفَرْتُ لَكَ وَلَا أُبَالِي

     “โอ้บรรดาลูกหลานอาดัมเอ๋ย (ก็หมายถึงพวกเราทุกคนด้วย) แม้นว่าบาปของเจ้าจะมากมายจนล้นฟ้า (ไม่ว่าจะเป็นบาปอะไรก็ตามแต่ รวมถึงบาปจากการทำชิริกด้วย).....(ซึ่งถ้า)หากเจ้าวอนขออภัยโทษต่อข้า ข้าก็จะอภัยโทษให้แก่เจ้า โดยไม่สนใจเลย(ว่าความผิดเหล่านั้นของเจ้า มันจะมากมายเพียงใด)”

 

          เมื่ออัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาทรงเปิดโอกาสให้เราได้ขออภัยโทษจากพระองค์อย่างมากมายเช่นนี้ ก็ขอให้เราหมั่นขออิสติฆฟาร หมั่นขออภัยโทษ ขอเตาบะฮฺตัวต่อพระองค์อยู่เสมอๆในความผิดทุกๆเรื่อง และในขณะเดียวกัน เราต้องตั้งใจที่จะออกห่างจากการฝ่าฝืนบทบัญญัติศาสนา และละเว้นจากการทำผิดทำบาปต่างๆด้วย และโดยเฉพาะบาปที่เกิดจากการทำชิริก ต้องทำการอิสติฆฟาร และเตาบะฮฺตัวก่อนที่จะเสียชีวิต ก่อนที่จะสายเกินไป เพราะจะไม่มีโอกาสให้เราได้แก้ตัวอีกเลยในโลกอาคิเราะฮฺ

 

สำนวนการขออภัยโทษอย่างง่ายๆสั้นๆก็เช่น

«أَسْتَغْفِرُ اللهَ وَأَتُوْبُ إِلَيْهِ»

(คำอ่าน...อัสตัฆฺฟิรุลลอฮฺ วะอะตูบุอิลัยฮิ)

ข้าพระองค์ขออภัยโทษจากอัลลอฮฺ และขอกลับตัวสู่พระองค์

 

          ท่านพี่น้องผู้ศรัทธาทั้งหลาย ทั้งหมดก็คือเรื่องที่นำมานะศีหะหฺกันในวันนี้ เพื่อให้เราได้เข้าใจและปฏิบัติในเรื่องที่ถูกต้อง เพื่อให้เราได้มีชีวิตที่ดีงามทั้งในโลกดุนยาและอาคิเราะฮฺ และเพื่อให้การถูกสอบสวนในโลกอาคิเราะฮฺของเราเป็นไปอย่างง่ายดาย ไม่ต้องทุกข์ทรมาน และได้รับรางวัลตอบแทนเป็นที่อยู่ที่พำนักในสวรรค์ตลอดกาล

 

 

คุตบะฮ์ มัสยิด ดารุ้ลอิห์ซาน