ความตายเป็นอุทาหรณ์สำหรับคนเป็น
  จำนวนคนเข้าชม  4354


ความตายเป็นอุทาหรณ์สำหรับคนเป็น

 

ท่านพี่น้องมุสลิมที่เคารพรักทั้งหลาย

 

          ความจริงอันหนึ่งที่มนุษย์ทุกคนต้องเผชิญหรือประสบกับมัน ไม่ว่าวันใดก็วันหนึ่ง แต่เขากลับไม่สนใจกับมัน แถมยังเกลียดกลัวมัน จนกระทั่งมันได้มาเผชิญหน้ากับเขา ซึ่ง ตอนนั้น ความสนใจ ความเอาใจใส่ของเขามันก็ไม่เป็นประโยชน์อะไรแก่เขาได้เลย ความจริงที่ว่านั้นก็คือ ความตายนั่นเอง

 

           ขอให้พี่น้องทั้งหลายจงรำลึกถึงความตายให้มากๆ เพราะทุกคนต้องพบกับมันอย่างแน่นอน ดังดำรัสของอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ที่ว่า

ทุกชีวิตต้องลิ้มรสความตาย

(อาละอิมรอน 3 : 185)

 

ทุกสิ่งที่อยู่บนแผ่นดินต้องแตกดับ

(อัรเราะฮฺมาน 55 : 26)

 

     “แล้ว (สภาพของพวกเขา) จะเป็นเช่นใดเมื่อมลาอิกะฮฺมาเอาชีวิตของพวกเขา โดยตีใบหน้าของพวกเขาและหลังของพวกเขา

(มุฮัมมัด 47 : 27)

 

     “มุฮัมมัด จงกล่าวเถิด มลาอิกะฮฺผู้ปลิดชีวิต ผู้ได้รับมอบหมายเกี่ยวกับพวกท่านจะมาปลิดชีวิตของพวกท่าน แล้วพวกท่านจะถูกนำกลับไปยังพระเจ้าของพวกท่าน

(อัซซัจญะดะฮฺ 32 : 11)

 

          มนุษย์ทุกคนต้องพบกับความตาย วิญญาณหรือชีวิตของมนุษย์นั้นไม่สามารถที่จะคงอยู่กับเราตลอดไป โดยที่มันจะเคลื่อนย้ายไปยังอีกโลกหนึ่ง เพื่อให้ผู้ทรงอำนาจอันยิ่งใหญ่ทำการสอบสวน ในวันนั้นความจริงเท่านั้นที่จะประสบความสำเร็จ และความเท็จจะไม่ประสบชัยชนะ หรืออาจกล่าวได้ว่า ความจริงก็คือความจริง และความเท็จก็คือความเท็จ

 

           มนุษย์ทุกคนต้องตาย ต้องกลับไปสู่ที่ซึ่งมนุษย์ทุกคนถูกบังเกิดมา เมื่อมนุษย์ถูกบังเกิดมาจากดิน เขาต้องกลับไปสู่ดิน การรำลึกถึงความตายเป็นสิ่งที่ช่วยเตือนสติให้กับมนุษย์ เพื่อจิตใจที่อธรรมจะได้รำลึกถึงสภาพของมัน ขณะที่มันกำลังอธรรมและจิตใจที่ปั่นป่วนขณะที่มันกำลังปั่นป่วน และจิตใจที่เลวทรามขณะที่มันเลวทราม ทว่าทางกลับของมันคือ ดิน ที่ทุกคนกำลังเหยียบย่ำมันอยู่

 

ความตายเป็นอุทาหรณ์สำหรับผู้ที่มีชีวิตอยู่ 

 

          บางทีวันหนึ่งท่านอาจเกิดความเกรงกลัวขึ้น หรือบางทีชั่วขณะหนึ่ง ท่านอาจใคร่ครวญคิดถึงความตายขึ้นมา แล้วมันอาจนำพาท่านให้คิดถึงสภาพการณ์ต่อไปว่า ญาติพี่น้องมีการจัดเตรียมที่จะนำท่านไปสู่หลุมฝังศพ และท่านจะต้องเข้าไปนอนอยู่เดียวดายในหลุมฝังศพ บางทีการวาดภาพในลักษณะเช่นนี้จะเป็นการช่วยให้ท่านได้ฉุกคิดก่อนที่จะทำอะไรลงไปบ้างก็ได้

 

           มนุษย์ทุกคนต้องตาย เพราะการตายนั้นเป็นการแสดงให้เห็นประจักษ์ถึงเดชานุภาพของอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา และเป็นหลักฐานยืนยันว่าต้องมีการฟื้นคืนชีพ อีกทั้งเป็นการบ่งชี้อย่างแน่นอนว่า ทุกคนต้องไปยืนต่อหน้าพระพักตร์ของอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา พระเจ้าแห่งสากลโลก

 

          โลกจะหมุนเวียนไปอย่างไร ตั้งแต่มันถูกสร้างมา และมนุษย์ก็ตายไปทุกๆ วัน ทุกๆ นาที มนุษย์ทั้งมวลจะถูกสอบสวนอย่างไร ต่อหน้าพระเจ้าแห่งสากลโลก และมนุษย์จะมั่นใจได้อย่างไรว่าผู้อธรรมจะไม่ก่อความเสียหายบนหน้าแผ่นดินอีก

 

          ความตายนั้นเป็นการบ่งชี้ถึงการมีชีวิตที่เหลืออยู่ของมนุษย์ ซึ่งพระเจ้าแห่งสากลโลกทรงประสงค์เช่นนั้น ด้วยขีดกำหนดที่แน่นอน เที่ยงตรงรัดกุม ดังนั้น พระผู้ทรงกำหนดความตาย ทรงเหมาะสมและทรงเดชานุภาพที่จะสอบสวนมนุษย์ทั้งมวล ผู้อธรรมจะไม่หลงเหลืออยู่บนหน้าแผ่นดินตราบใดที่มนุษย์ทั้งมวลต้องตาย

 

          เมื่อมนุษย์ทุกคนต้องตาย ก็เพื่อจะได้เป็นนิทัศน์ อุทาหรณ์แก่มนุษย์ที่ยังมีชีวิตอยู่ และเมื่อสภาพความเป็นอยู่ของเขามีความมั่นคง แน่นอน ความตายนั้นเป็นบทเรียนที่มีคุณค่ามากที่สุด และเป็นเคราะห์กรรมที่ยิ่งใหญ่ เป็นเรื่องที่พึงสังวร และเป็นเหตุการณ์ที่มนุษย์เกลียดกลัวมากที่สุด ดังนั้น การรำลึกถึงมันอยู่เสมอ จึงเป็นแนวทางไปสู่การปรับปรุงแก้ไขความประพฤติ ปรับปรุงแก้ไขจิตใจ ปรับปรุงแก้ไขความชั่วร้ายต่างๆ ปรับปรุงแก้ไขระหว่างมนุษย์ด้วยกัน ปรับปรุงแก้ไขสังคมมนุษย์ และการเสียสละในหนทางของอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา

 

          ความตายนั้นเป็นเหตุการณ์ที่ทำให้สติปัญญาเกิดความงงงวย ทำให้มนุษย์กระทำความดีเพื่อบั้นปลายของชีวิต ดังนั้น ถึงเวลาแล้วที่เราต้องหันหน้าเข้ามาศึกษาค้นคว้า ทำความเข้าใจคำกล่าวชะฮาดะฮฺทั้งสอง

 

ไม่มีพระเจ้าอื่นใดอีกแล้วนอกจากอัลลอฮฺ และมุฮัมมัดเป็นร่อซูลของอัลลอฮฺ

 

          ขณะนี้เรากำลังรวมตัวกันอยู่ในโลกดุนยา แต่ทำไมเล่าเราไม่พบปะ ปรึกษาหารือกันเกี่ยวกับกิจการส่วนรวมและส่วนตัว? ทำไมเราจึงแตกแยกกัน? ผินหลังให้กัน ไม่อภัยให้แก่กัน? ทำไมเราจึงไม่รักใคร่กัน? ไม่ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ไม่ร่วมมือกัน ไม่สร้างสรรค์สังคมและหมู่คณะให้เจริญก้าวหน้า เพราะทุกคนก็ทราบและตระหนักกันดีแล้วว่าทางกลับและจุดจบของเราคือ ความตาย ซึ่งเราต้องพบกับมันและมันจะมาหาเราอย่างแน่นอน และหลุมศพคือที่พำนักที่จะเป็นความสุขหรือเป็นความทุกข์ของแต่ละคน และวันกิยามะฮฺก็จะมีสถานที่หนึ่งที่รวมพวกเรา ที่นั้น อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา จะทรงตัดสินชี้ขาดระหว่างพวกเราซึ่งพระองค์เป็นผู้ตัดสินชี้ขาดที่เที่ยงธรรมที่สุด

 

          ท่านพี่น้องทั้งหลาย ความตายจะไม่เคาะประตูบ้าน จะไม่มากู่ตะโกนหน้าบ้าน จะไม่ยอมรับข้อแลกเปลี่ยน จะไม่รับค่าประกันตัว จะไม่สงสารผู้น้อยและไม่ให้เกียรติผู้ใหญ่

 

     อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ตรัสไว้ในซูเราะฮฺ อันนาซิอ๊าต อายะฮฺที่ 42 : 46 ที่ว่า

     “พวกเขาจะถามถึงยามอวสาน (วันกิยามะฮฺ) ว่า เมื่อใดเล่ามันจะเกิดขึ้น? // ด้วยเหตุอันใดเจ้าจึงชอบกล่าวถึงมันนัก? // ยังพระเจ้าของเจ้าเท่านั้น คือวาระสุดท้ายของมัน //

     ความจริงเจ้า (มุฮัมมัด) คือผู้ตักเตือนแก่คนที่หวาดหวั่นมัน (วันกิยามะฮฺ) เท่านั้น วันที่พวกเขาจะเห็นมัน (วันกิยามะฮฺ) ประหนึ่งว่าพวกเขามิได้เคยพำนักอยู่ในโลกนี้ เว้นแต่เพียงชั่วครู่หนึ่งของยามเย็นและยามเช้าเท่านั้น

 

และอีกอายะฮฺหนึ่งในซูเราะฮฺ อัลอะฮฺรอฟ อายะฮฺที่ 187 ที่ว่า

     “พวกเขาจะถามเจ้า (มุฮัมมัด) ถึงยามอวสาน (วันกิยามะฮฺ) ว่า เมื่อใดเล่ามันจะเกิดขึ้น?

     จงกล่าวเถิดว่า แท้จริงความรู้เรื่องนี้อยู่ที่พระเจ้าของฉัน

     ไม่มีใครจะชี้ให้เห็นเป็นที่ประจักษ์แจ้งได้สำหรับกำหนดเวลาของมัน นอกจากพระองค์เท่านั้น

     มันเป็นสิ่งที่หนักอึ้งอยู่ในบรรดาชั้นฟ้าและแผ่นดิน มันจะไม่มาหาพวกเจ้าเว้นแต่โดยกะทันหัน

     พวกเขาจะถามเจ้า (มุฮัมมัด) จงกล่าวเถิด แท้จริงความรู้ในเรื่องนั้นอยู่ที่อัลลอฮฺเท่านั้น แต่ทว่าส่วนมากของมนุษย์ไม่รู้

 

   มีรายงานจากอบีซัรริน ร่อฎิยัลลอฮุอันฮุ กล่าวว่า ฉันได้กล่าวว่า

   โอ้ ท่านร่อซูลลุลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม คัมภีร์ของท่านนบีมูซามีอะไรบ้าง

   ท่านร่อซูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ตอบว่า มีข้อเตือนใจควรแก่การพิจารณาทั้งสิ้น 

   ♦ ฉันรู้สึกประหลาดใจเหลือเกินกับผู้ที่เขามั่นใจว่าต้องตายจากโลกนี้ไป แต่เขายังสนุกสนานร่าเริงกันอยู่ 

   ♦ ฉันรู้สึกประหลาดใจเหลือเกินกับผู้ที่เขามั่นใจว่ามีนรกแต่เขายังหัวเราะกันอยู่ 

   ♦ ฉันรู้สึกประหลาดใจเหลือเกินผู้ที่เขามั่นใจต่อการสอบสวนในวันกิยามะฮฺ แต่เขายังไม่ได้ประกอบการงานอะไรไว้เลย

 

          มีเรื่องเล่ากันว่าในอดีตมีชายสองคนโต้เถียงกันเรื่องที่ดิน อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ทรงให้ก้อนอิฐในกำแพงนั้นพูดขึ้นว่า โอ้ ท่านทั้งสอง ท่านทั้งสองกำลังโต้เถียงและขัดแย้งกันในเรื่องอะไร? ฉันนี้เคยเป็นกษัตริย์ครองเมืองๆ หนึ่ง ฉันปกครองอยู่ 40 ปี แล้วเมื่อฉันตายไปกลายเป็นดิน ฉันได้อยู่ในสภาพที่เป็นดินนั้นนานถึงหนึ่งพันปี แล้วช่างปั้นได้นำฉันไปทำเป็นกระถาง และฉันได้ถูกนำเอาไปใช้จนกระทั่งแตกหักแล้วเขาก็ขว้างฉันทิ้งไป จนกระทั่งฉันได้กลับมากลายเป็นดินอีกเป็นเวลาหนึ่งพันปี จากนั้นก็ได้มีคนเอาฉันไปทำเป็นก้อนอิฐ แล้วเขาก็เอาฉันมาทำกำแพงอยู่ขณะนี้ ดังนั้น ด้วยเรื่องอะไรที่ท่านทั้งสองกำลังโต้เถียงขัดแย้งกัน ท่านทั้งสองกำลังโต้เถียงกันในเรื่องที่โดยแท้จริงแล้ว ท่านไม่มีสิทธิจะครอบครองมันได้ตลอดกาลเลย!

 

          มีเรื่องเล่ากันว่าฮารูน อัรร่อชีดค่อลีฟะฮฺในสมัยอับบาซียะฮฺป่วยหนัก ได้นำแพทย์ผ่าตัดชาวเปอร์เซียมาทำการรักษา นายแพทย์ได้ให้นำปัสสาวะใส่ขวดแล้วนำไปวางไว้ร่วมกับปัสสาวะของคนดี เมื่อนายแพทย์ได้ตรวจเปรียบเทียบกับปัสสาวะทั้งหมด จนกระทั่งมาพบขวดปัสสาวะของฮารูน อัรร่อชีด แพทย์จึงพูดขึ้นว่า จงไปบอกเจ้าของปัสสาวะขวดนี้ (คือของฮารูน อันร่อชีด) ว่า ให้เขาสั่งเสียได้แล้ว เพราะอาการของเขาหนักมาก การรักษาคงไม่ได้ผล เมื่อฮารูนรู้สึกว่าความตายได้ใกล้เข้ามาแล้วเขาจึงรำพึงขึ้นว่า

 

     “ทั้งหมอและวิชาและยาของเขา ไม่สามารถปกป้องความตายที่จะมาถึงได้ หมอก็ต้องตายด้วยโรคที่เขาเคยรักษา หรือผู้ที่ขายยาและผู้ที่ซื้อยาก็จะต้องตายอย่างเท่าเทียมกัน

 

          ท่านพี่น้องทั้งหลายเรื่องความตายนี้เป็นอุทาหรณ์สำหรับคนเป็น ดังนั้น จึงเป็นหน้าที่ของท่านทั้งหลายที่จะต้องจดจำและรำลึกอยู่เสมอว่า ความตายนั้นกำลังคอยเราอยู่ทุกวันทุกเวลา ด้วยเหตุนี้ไม่มีความดีอะไรอีกแล้ว นอกจากเราจะต้องตระเตรียมตัวเราด้วยการทำความดีสำหรับบั้นปลายแห่งชีวิตของเราแต่ละคนให้พร้อม

 

 

 

ที่มา : เอกสารอัล-อิศลาหฺ อันดับที่ 426 – 428 กรกฎาคมกันยายน 2558