มุสลิมกับการสารภาพบาป
ดร มูอัมหมัด บินอิบรอฮีม อันนาอิม
แปลโดย อับดุลวาเฮด สุคนธา
แท้จริง อัลลอฮฺต้องการให้ปวงบ่างของพระองค์ มีความนอบน้อม ยอมรับสถานะของพวกเขามีต่อพระองค์อย่างแน่แท้จริง จากสิ่งหนึ่งที่มนุษย์ จะต้องยอมรับและจริงใจต่อพระองค์ นั้นคือ การยอมรับผิด สารภาพผิดในสิ่งที่เขากระทำด้วยการกลับเนื้อกลับตัว เพื่อหวังความดีมากมายจากพระองค์
อัลลอฮ์ ตรัสว่า
وَآخَرُونَ اعْتَرَفُواْ بِذُنُوبِهِمْ خَلَطُواْ عَمَلاً صَالِحاً وَآخَرَ سَيِّئاً عَسَى اللّهُ أَن يَتُوبَ عَلَيْهِمْ إِنَّ اللّهَ غَفُورٌ رَّحِيمٌ
“และมีชนกลุ่มอื่นที่สารภาพความผิดของพวกเขา โดยที่พวกเขาประกอบความดีปะปนไปกับงานที่ชั่ว
หวังว่าอัลลอฮ์จะทรงอภัยโทษให้แก่พวกเขา แท้จริงอัลลอฮ์นั้นคือ ผู้ทรงอภัยโทษผู้ทรงเอ็นดูเมตตาเสมอ”
( อัตเตาบะฮฺ 102)
พวกท่านพึงทราบเถิดว่า มีบรรดานบีมากมายที่พระองค์ทรงแต่งตั้งในสภานะที่มีเกียรติ และสูงส่งมากกว่ามนุษย์ทั้งมวล ครั้นพวกเขาทำผิดหรือพลาดพลั้ง พวกเขาจะรีบขออภัยโทษต่อพระองค์ นี่คือแบบอย่างของพวกเราที่มาจากบรรดานบีก่อนหน้า
♦ จากตรงนี้เอง เรารับทราบว่า บิดาของเราคือ ท่านนบีอาดัม อะลัยอิสลาม กับ พระนางฮาวา ทั้งสองได้ยอมรับและสารภาพความผิดที่ทั้งสองได้กระทำลงไป นี่คือแบบอย่างที่ทำให้เราเอามาเป็นข้อเตือนใจ
และอัลลอฮฺ ตรัสว่า ดุอาอฺนบีอาดัมและฮาวา
قَالاَ رَبَّنَا ظَلَمْنَا أَنفُسَنَا وَإِن لَّمْ تَغْفِرْ لَنَا وَتَرْحَمْنَا لَنَكُونَنَّ مِنَ الْخَاسِرِينَ
“เขาทั้งสองได้กล่าวว่า โอ้พระเจ้าของพวกเข้าพระองค์ พวกข้าพระองค์ได้อธรรมแก่ตัวของพวกข้าพระองค์เอง และถ้าพระองค์ไม่ทรงอภัยโทษแก่พวกข้าพระองค์และเอ็นดูเมตตาแก่ข้าพระองค์แล้ว แน่นอนพวกข้าพระองค์ก็ต้องกลายเป็นพวกที่ขาดทุน”
(อัลอะอฺรอฟ 23)
♦ ท่านนบีมูซา อะลัยฮิสลาม ท่านได้ยอมรับและสารภาพความผิดที่ทั้งสองได้กระทำลงไปในขณะทำร้ายชายผู้หนึ่ง จากเผ่าบะนีอิสรออีล จนเสียชีวิตโดยไม่ตั้งใจให้เกิดขึ้น
อัลลอฮฺทรงกล่าวว่า
وَدَخَلَ الْمَدِينَةَ عَلَى حِينِ غَفْلَةٍ مِّنْ أَهْلِهَا فَوَجَدَ فِيهَا رَجُلَيْنِ يَقْتَتِلانِ هَذَا مِن شِيعَتِهِ وَهَذَا مِنْ عَدُوِّهِ فَاسْتَغَاثَهُ الَّذِي مِن شِيعَتِهِ عَلَى الَّذِي مِنْ عَدُوِّهِ فَوَكَزَهُ مُوسَى فَقَضَى عَلَيْهِ قَالَ هَذَا مِنْ عَمَلِ الشَّيْطَانِ إِنَّهُ عَدُوٌّ مُّضِلٌّ مُّبِينٌ قَالَ رَبِّ إِنِّي ظَلَمْتُ نَفْسِي فَاغْفِرْ لِي فَغَفَرَ لَهُ إِنَّهُ هُوَ الْغَفُورُ الرَّحِيمُ
“และเขา (มูซา) ได้เข้าไปในเมือง ขณะที่ชาวเมืองกำลังพักผ่อน เขาได้เห็นชายสองคนต่อสู้กันอยู่ในนั้น คนหนึ่งมาจากพวกพ้องของเขา และอีกคนหนึ่งมาจากฝ่าย (ที่เป็น) ศัตรูของเขา ดังนั้น คนที่มาจากพวกพ้องของเขาได้ร้องขอความช่วยเหลือ เพื่อให้ปราบฝ่ายที่เป็นศัตรูของเขา มูซาได้ต่อยเขาแล้วได้ฆ่าเขา
เขากล่าวว่า “นี่มันเป็นการกระทำของชัยฏอน แท้จริงมันเป็นศัตรูที่ทำให้หลงผิดอย่างแจ้งชัด”
เขากล่าวว่า “ข้าแต่พระเจ้าของข้าพระองค์ แท้จริงข้าพระองค์ได้อธรรมต่อตนเอง ดังนั้นขอพระองค์ทรงอภัยให้แก่ข้าพระองค์ด้วย
”แล้วพระองค์ก็ได้อภัยให้เขา แท้จริงพระองค์เป็นผู้ทรงอภัย ผู้ทรงเมตตาเสมอ”
( 16 ,15 กอซอร)
♦ เราทราบกันดีในเรื่องราวของท่านนบียูนุส อะลัยฮิสลาม ขณะที่ท่านนบีถูกส่งมายังกลุ่มชนหนึ่งเพื่อเรียกร้องไปสู่อัลลอฮฺ แต่กลับถูกปฏิเสธและไม่ยอมเชื่อฟัง ซึ่งท่านนบียูนุสถึงกับโกรธและเกิดโทสะต่อพวกเขาเหล่านั้นอย่างมาก ท่านจึงหนีและละทิ้งภาระกิจด้วยความโกรธ โดยไม่ได้รับอนุญาตจากพระเจ้าแต่อย่างใด
แน่นอนท่านนบียูนุสคิดว่าอัลลอฮฺทรงไม่ทำให้ฉันนั้นคับแค้นใดๆต่อการกระทำครั้งนี้ ท่านนบียูนุสโดยสารเรือ เกิดเหตุการณ์คนบนเรือเลยให้ท่านนบีกระโดดลงทะเล พระองค์ทรงให้ท่านนบียูนุส(อะลัยฮิสสลาม)ถูกจับโยนลงไปในทะเล และอยู่ในท้องปลาวาฬ จากนั้นท่านนบียูนูสจึงสำนึกความผิดของตัวเองที่กระทำในการละทิ้งการดะวะฮฺ คำวิงวอนของท่านนบียูนุส (อะลัยฮิสสลาม)เป็นถ้อยคำที่ยิ่งใหญ่และสวยงามยิ่ง และเป็นสื่ออย่างหนึ่งที่นำไปสู่การตอบรับดุอาอ์
وَذَا النُّونِ إِذ ذَّهَبَ مُغَاضِباً فَظَنَّ أَن لَّن نَّقْدِرَ عَلَيْهِ فَنَادَى فِي الظُّلُمَاتِ أَن لَّا إِلَهَ إِلَّا أَنتَ سُبْحَانَكَ إِنِّي كُنتُ مِنَ الظَّالِمِينَ
“และจงรำลึกถึงเรื่องราวของซันนูน (นบียูนุส) เมื่อเขาจากไปด้วยความโกรธพรรคพวกของเขา แล้วเขาคิดว่าเราจะไม่ทำให้เขาได้รับความลำบาก แล้วเขาก็ร้องเรียนท่ามกลางความมืดทึบทะมึนว่า
ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากพระองค์ท่าน มหาบริสุทธิ์แห่งพระองค์ท่าน แท้จริงข้าพระองค์เป็นผู้หนึ่งในหมู่ผู้อธรรมทั้งหลาย”
(อัลอันบิยาอฺ 87)
สำหรับท่านนบียูนุสในสภาพนั้นเอง มันเป็นหนทางสู่ความปลอดภัย และเป็นสื่อสู่การรอดพ้น
จากท่านสะอัด บิน อบีวักกอศ (รอฏิยัลลอฮุอันฮุ) เล่าว่า ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะสัลลัม กล่าวว่า
دَعْوَةُ ذِي النُّونِ إِذْ دَعَا وَهُوَ فِي بَطْنِ الحُوتِ:لاَ إِلَهَ إِلاَّ أَنْتَ سُبْحَانَكَ إِنِّي كُنْتُ مِنَ الظَّالِمِينَ، فَإِنَّهُ لَمْ يَدْعُ بِهَا رَجُلٌ مُسْلِمٌ فِي شَيْءٍ قَطُّ إِلاَّ اسْتَجَابَ اللَّهُ لَهُ » رواه الترمذي
* ลาอิลาฮะ อิลลา อันตะซุบฮานะกะอินนี กุนตูมินัซฺซอลีมีน
คำวิงวอนขอของซุนนูน(นบียูนุส) ขณะที่ท่านอยู่ในท้องปลาใหญ่ คือ:
"ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากพระองค์ มหาบริสุทธิ์แด่พระองค์ แท้จริงข้าพระองค์อยู่ในหมู่ผู้อธรรม”
แท้จริงไม่มีมุสลิมคนใดที่วิงวอนเช่นนี้ นอกเสียจากอัลลอฮฺจะทรงตอบรับคำขอของเขา"
♦ เรื่องราวของชาวสะบะอฺซึ่งมีกษัตริย์เป็นสตรี นางนั้นยอมรับต่อความผิดจากสิ่งที่นางเคารพบูชาดวงอาทิตย์ เคารพสิ่งอื่นนอกจากอัลลอฮฺ และนางได้กลับเนื้อกลับตัว ขอลุแก่โทษต่อพระองค์
قِيلَ لَهَا ادْخُلِي الصَّرْحَ فَلَمَّا رَأَتْهُ حَسِبَتْهُ لُجَّةً وَكَشَفَتْ عَن سَاقَيْهَا قَالَ إِنَّهُ صَرْحٌ مُّمَرَّدٌ مِّن قَوَارِيرَ قَالَتْ رَبِّ إِنِّي ظَلَمْتُ نَفْسِي وَأَسْلَمْتُ مَعَ سُلَيْمَانَ لِلَّهِ رَبِّ الْعَالَمِينَ.
ได้มีเสียงกล่าวแก่นางว่า “โปรดเข้าไปในวังเถิด”
ครั้นเมื่อนางเห็นมันนางคิดว่า มันเป็นสระที่เป็นห้วงน้ำ และนางได้เลิกหน้าแข็งของนาง
เขา (สุลัยมาน) กล่าวว่า “มันเป็นวังทำให้ราบเรียบด้วยกระจก”
นางได้กล่าวว่า “ข้าแต่พระเจ้าของฉัน แท้จริงฉันได้อธรรมแก่ตัวฉันเอง และฉันขอนอบน้อมปฏิบัติตามสุลัยมาน เพื่ออัลลอฮ์พระเจ้าแห่งสากลโลก”
( 44 นัมลฺ)
ดังกล่าวนี้แหละที่พี่น้องมุสลิมทุกคน จำเป็นต้องเร่งรีบขออภัยโทษและสารภาพความผิดของตัวเองต่อ อัลลอฮฺตะอาลา สิ่งใดที่เราฝ่าฝืน สิ่งใดที่พลาดพลั้งกระทำโดยไม่ได้ตั้งใจ เราจะต้องยอมรับในการกระทำของเรา หากสิ่งใดที่เราฝ่าฝืนต่อพระองค์ ก่อนที่เราจะจากโลกนี้ไป แน่นอนว่า การเสียใจหลังจากวิญญาณออกจากร่างไปแล้วนั้นมันไม่ยังประโยนช์อะไรเลยสำหรับตัวของเรา อัลลอฮ์ทรงบอกสภาพของคนตกนรกว่า พวกเขานั้นไม่ยอมรับความผิดในขณะที่เขายังมีชีวิตอยู่บนโลกนี้
อัลลอฮฺทรงกล่าวว่า
فَاعْتَرَفُوا بِذَنبِهِمْ فَسُحْقاً لِّأَصْحَابِ السَّعِيرِ
“พวกเขายอมสารภาพในความผิดของพวกเขา แต่มันห่างไกลไปเสียแล้วสำหรับชาวนรก”
( 11 อัลมุลกฺ)
قَالُوا رَبَّنَا أَمَتَّنَا اثْنَتَيْنِ وَأَحْيَيْتَنَا اثْنَتَيْنِ فَاعْتَرَفْنَا بِذُنُوبِنَا فَهَلْ إِلَى خُرُوجٍ مِّن سَبِيلٍ.
“พวกเขากล่าวว่า ข้าแต่พระเจ้าของเรา พระองค์ท่านได้ทรงทำให้เราตายสองครั้ง และพระองค์ท่านได้ทรงทำให้เรามีชีวิตสองครั้ง ดังนั้นเราขอสารภาพต่อความผิดทั้งหลายของเรา ดังนั้นจะมีทางออก(แก่เรา)ไหม “
(ฆอฟิร 11 )
وَقَالَ الَّذِينَ اسْتُضْعِفُوا لِلَّذِينَ اسْتَكْبَرُوا بَلْ مَكْرُ اللَّيْلِ وَالنَّهَارِ إِذْ تَأْمُرُونَنَا أَن نَّكْفُرَ بِاللَّهِ وَنَجْعَلَ لَهُ أَندَاداً وَأَسَرُّوا النَّدَامَةَ لَمَّا رَأَوُا الْعَذَابَ وَجَعَلْنَا الأَغْلالَ فِي أَعْنَاقِ الَّذِينَ كَفَرُوا هَلْ يُجْزَوْنَ إِلاَّ مَا كَانُوا يَعْمَلُونَ
“บรรดาผู้อ่อนแอ (ลูกน้อง) กล่าวแก่บรรดาผู้หยิ่งยะโส (หัวหน้า) ว่า “มิใช่เช่นนั้นดอก ! แต่มันเป็นแผนการทั้งกลางคืนและกลางวัน เมื่อพวกท่านใช้ให้พวกเราปฏิเสธศรัทธาต่ออัลลอฮฺ และให้เราตั้งภาคีคู่เคียงกับพระองค์”
และพวกเขาจะซ่อนความสำนึกผิดเมื่อพวกเขาได้เห็นการลงโทษ และเราได้คล้องพันธนาการที่คอของบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธา พวกเขาจะไม่ได้รับการตอบแทนใด ๆ นอกจากที่พวกเขาได้กระทำไว้ “
(สะบะฮฺ33)
มันจะมีประโยชน์สำหรับพวกท่านอีกหรือ การที่พวกท่านนั้นสารภาพความผิดหลังจากที่ท่านนั้นเข้าไปในขุมนรก ช่างโง่เขลาเสียจริงๆ
ช่างเป็นเรื่องน่าแปลกสำหรับบรรดาผู้ที่ปฏิเสธ พวกเขาไม่ยอมรับต่อความผิดจนกระทั่งพวกเขาถูกไล่ต้อนไปที่ทุ่งมะซัร ในวันแห่งการรวมตัวของมนุษย์ทั้งมวล สภาพอันน่าสะพึงกลัวในวันกียามะฮ์รอบตัวของพวกเขานั้นถูกล้อมไปด้วยบทลงโทษแต่พวกเขากลับสาบานว่า จะไม่กระทำความผิดอีก ด้วยความหวังเพื่อให้ตัวของพวกเขาได้รับความปลอดภัย เปล่าเลย นี่คือ ความหายนะ !
อัลลอฮฺ ตรัสว่า
ثُمَّ لَمْ تَكُن فِتْنَتُهُمْ إِلاَّ أَن قَالُواْ وَاللّهِ رَبِّنَا مَا كُنَّا مُشْرِكِينَ.
“แล้ว(ผลแห่ง)การทดสอบพวกเขาก็มิได้เป็นอย่างอื่น นอกจากพวกเขากล่าวว่า
พวกข้าพระองค์ขอสาบานต่ออัลลอฮ์ ผู้เป็นพระเจ้าของพวกข้าพระองค์ว่า พวกข้าพระองค์ไม่เคยเป็นผู้ให้มีภาคีขึ้น”
( 23 อัลอาม )
การกระทำบาปอยู่เป็นเนืองนิจ มันทำให้ตัวเขาไม่ยอมรับการสารภาพความผิด แน่นอนในวันนั้นอัลลอฮฺทรงปิดปากของเขา และให้อวัยวะได้พูดจากสิ่งที่เขากระทำความผิด
الْيَوْمَ نَخْتِمُ عَلَى أَفْوَاهِهِمْ وَتُكَلِّمُنَا أَيْدِيهِمْ وَتَشْهَدُ أَرْجُلُهُمْ بِمَا كَانُوا يَكْسِبُونَ
“วันนี้เราจะปิดผนึกปากของพวกเขา และมือของพวกเขาจะพูดแก่เรา
และเท้าของพวกเขาจะเป็นพยานตามที่พวกเขาได้ปฏิบัติไว้ “
( ยาซีร 65 )
จากอิบนุ อุมัร กล่าวว่า ฉันได้ยินท่านรอซูล ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม กล่าวว่า
«يُدْنَى الْمُؤْمِنُ يَوْمَ الْقِيَامَةِ مِنْ رَبِّهِ عَزَّ وَجَلَّ ، حَتَّى يَضَعَ عَلَيْهِ كَنَفَهُ ، فَيُقَرِّرُهُ بِذُنُوبِهِ ، فَيَقُولُ : هَلْ تَعْرِفُ ؟ فَيَقُولُ : أَيْ رَبِّ أَعْرِفُ ، قَالَ : فَإِنِّي قَدْ سَتَرْتُهَا عَلَيْكَ فِي الدُّنْيَا ، وَإِنِّي أَغْفِرُهَا لَكَ الْيَوْمَ ، فَيُعْطَىٰ صَحِيفَةَ حَسَنَاتِهِ ، وَأَمَّا الْكُفَّارُ وَالْمُنَافِقُونَ ، فَيُنَادٰى بِهِمْ عَلَى رُءُوسِ الْخَلاَئِقِ هٰؤُلَاءِ الَّذِينَ كَذَبُوا عَلَى اللهِ»
“ในวันกิยามะฮฺ ผู้ศรัทธา(มุอ์มิน)จะเข้าใกล้อัลลอฮฺ พระองค์จะทรงปิดม่านกั้นของพระองค์ให้เขาและชี้แจงบาปที่เขาได้ทำมา
แล้วพระองค์จะตรัสว่า เจ้าทราบหรือเปล่า(ถึงบาปนี้บาปนั้น)?
บ่าวผู้นั้นจะตอบว่า โอ้พระผู้เป็นเจ้า ข้าพระองค์รับทราบ
พระองค์จะตรัสว่า ข้าได้ปกปิดบาปนั้นในโลกดุนยาและในวันนี้ข้าจะอภัยบาปนั้นแก่เจ้า แล้วบันทึกความดีก็จะถูกยื่นให้แก่เขา
ส่วนบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาและบรรดาผู้กลับกลอก (มุนาฟิก) พวกเขาจะถูกประจานต่อสรรพสิ่งทั้งมวลว่า พวกนี้คือพวกกล่าวเท็จ(ปฏิเสธศรัทธา)ต่ออัลลอฮฺ”
(บันทึกโดย อัลบุคอรีย์และมุสลิม)
จากท่านหญิงอาอีซะฮ์ กล่าวว่า ท่านนบีกล่าวว่า
فَإِنَّ الْعَبْدَ إِذَا اعْتَرَفَ بِذَنْبِهِ ثُمَّ تَابَ تَابَ اللَّهُ عَلَيْهِ
“แท้จริงหากบ่าวคนหนึ่งเขานั้น ยอมรับความผิดของเขาด้วยการขออภัยโทษ อัลลอฮฺทรงรับการขออภัยของเขา”
ท่านอบูบักร์ ได้ยอมรับความผิดในขณะกล่าว ท่านนบีว่า จงสอนแก่ฉันบทดุอาที่ฉันจะขอในละหมาดของฉัน ท่านนบีบอกว่า ท่านจงกล่าวว่า
(اللَّهُمَّ إِنِّي ظَلَمْتُ نَفْسِي ظُلْمًا كَثِيرًا، وَلا يَغْفِرُ الذُّنُوبَ إِلاَّ أَنْتَ، فَاغْفِرْ لِي مَغْفِرَةً مِنْ عِنْدِكَ وَارْحَمْنِي، إِنَّك أَنْتَ الْغَفُورُ الرَّحِيمُ)
“โอ้อัลลอฮฺ แท้จริง ฉันได้อธรรมตัวเอง ด้วยการอธรรมที่มากมาย และไม่มีใครอภัยโทษจากความผิดเว้นแต่พระองค์เท่านั้น
ขอพระองค์ทรงอภัยโทษแก่ฉัยด้วยเถิด และทรงเมตตา แท้จริงพระองค์คือผู้ทรงอภัยโทษและทรงเมตตายิ่ง”
จากท่าน อาลี บิน อาบี ตอเล็บ แท้จริงท่านนบี กล่าวว่า
إِنَّ اللَّهَ لَيَعْجَبُ إِلَى الْعَبْدِ إِذَا قَالَ: لا إِلَهَ إِلاَّ أَنْتَ، إِنِّي قَدْ ظَلَمْتُ نَفْسِي، فَاغْفِرْ لِي ذُنُوبِي، إِنَّهُ لا يَغْفِرُ الذُّنُوبَ إِلاَّ أَنْتَ، قَالَ: عَبْدِي عَرَفَ أَنَّ لَهُ رَبًّا يَغْفِرُ وَيُعَاقِبُ
“อัลลอฮฺทรงประหลาดใจต่อบ่าวของพระองค์ เมื่อเขากล่าวว่า ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากพระองค์ แท้จริง ฉันนั้นได้อธรรมต่อตัวของฉันเอง ฉันขออภัยโทษต่อบาปของเขา แน่นอนไม่มีใครให้อภัยจากบาปของเขาเว้นแต่พระองค์เท่านั้น
พระองค์ทรงกล่าวว่า บ่าวของฉัน เขายอมรับและรู้ว่าพระองค์นั้นจะทรงให้อภัยโทษและพระองค์คือผู้ลงโทษ
ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้กล่าวไว้ความว่า
“ผู้ใดอ่านดุอาอ์ สัยยิดุลอิสติฆฟาร(แม่บทหรือผู้นำแห่งการกล่าวขออภัยโทษ)นี้ ในเวลากลางวัน(ช่วงเช้า)เปี่ยมด้วยศรัทธา แล้วเขาได้เสียชีวิตลงก่อนถึงเวลาเย็น เขาจะเป็นหนึ่งในบรรดาชาวสวรรค์
และผู้ใดอ่านดุอาอ์นี้ในเวลากลางคืน(ช่วงเย็น)เปี่ยมด้วยศรัทธา แล้วเขาได้เสียชีวิตลงก่อนถึงเวลาเช้า เขาจะเป็นหนึ่งในบรรดาชาวสวรรค์เช่นเดียวกัน”
(เศาะฮีหฺ อัล-บุคอรีย์ อัน-นะสาอีย์ อบู ดาวูด, อัต-ติรมิซีย์)
ตัวบทดุอาอ์
اَللَّهُمَّ أَنْتَ رَبِّي، لاَ إِلَهَ إِلاَّ أَنْتَ، خَلَقْتَنِي وَأَنَا عَبْدُكَ وَأَنَا عَلَى عَهْدِكَ وَوَعْدِكَ مَا اسْتَطَعْتُ، أَعُوْذُ بِكَ مِنْ شَرِّ مَا صَنَعْتُ، أَبُوْءُ لَكَ بِنِعْمَتِكَ عَلَيَّ، وَأَبُوْءُ بِذَنْبِي فَاغْفِرْلِي فَإِنَّهُ لاَ يَغْفِرُ الذُّنُوْبَ إِلاَّ أَنْتَ
“โอ้อัลลอฮฺ พระองค์คือพระผู้อภิบาลของฉัน ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากพระองค์ พระองค์ได้ทรงสร้างฉันและฉันคือบ่าวของพระองค์ ตัวฉันกับสัญญาแห่งผลตอบแทนที่ดีและสัญญาแห่งการลงโทษของพระองค์นั้น (ฉันทำได้และฉันจะทำ)ตราบเท่าที่ฉันมีความสามารถ
ฉันขอความคุ้มครองต่อพระองค์จากความชั่วร้ายที่ฉันได้กระทำไว้ ฉันกลับไปหาพระองค์ด้วยการยอมรับในความโปรดปรานของพระองค์ที่มีต่อตัวฉัน และฉันขอกลับไปหาพระองค์ด้วยการยอมรับในความผิดบาปของฉัน
ดังนั้น ขอได้ประทานอภัยแก่ฉันเถิด เพราะแท้จริงไม่มีผู้ใดสามารถประทานอภัยในบาปต่างๆ ได้นอกจากพระองค์เท่านั้น”