ใคร ? คือผู้คู่ควรกับสวรรค์
  จำนวนคนเข้าชม  2679


ใคร ? คือผู้คู่ควรกับสวรรค์

 

โดย... .ยาซิร กรีมี

 

          สถานีโทรทัศน์ดาวเทียมแห่งหนึ่ง ได้แพร่ภาพการสนทนาระหว่างศิลปินนักแสดงที่มาจากต่างศาสนา ต่างความเชื่อถือ และต่างความคิด ภายใต้รายการที่ชื่อว่าเปิดอกคุยกันนี่เป็นรายการที่ทำให้ข้าพเจ้าต้องหยุด และพิจารณาชม ด้วยกับคำถามของพิธีกรที่ตั้งคำถามกับผู้เข้าร่วมสนทนาที่ว่าใครกันแน่ ที่จะได้เข้าสวรรค์และผู้เข้าร่วมสนทนาบางคนต่างก็ตอบคำถามแบบกว้างๆ และบางคนก็ตอบคำถามด้วยความละเอียดรอบคอบ เช่น

 

     · นักแสดงชาวคริสต์คนหนึ่งได้ตอบคำถามนี้ว่าใครก็ตามที่มอบความรักให้กับพระเจ้าและมนุษย์ เขาก็สมควรได้เข้าสวรรค์ ถึงแม้ว่าพื้นฐานการศรัทธาของเขาจะแตกต่างกันในเรื่องของการยึดถือพระเจ้า

 

     · พิธีกรก็ตั้งคำถามต่อไปว่า : ถึงแม้ว่าบุคคลนั้นจะเป็นพวกนอกศาสนา หรือไม่มีศาสนาก็ตามกระนั้นหรือ?

 

     · นักแสดงชาวคริสเตียนผู้นั้น ตอบว่า : ใช่ครับ! ที่ท่านได้ยินนะถูกแล้ว ถึงแม้ว่าเขาผู้นั้นจะเป็นพวกนอกศาสนา ไม่มีศาสนา หรือไม่นับถืออะไรเลยก็ตาม แล้วเขาก็ยกตัวอย่างมาให้เห็น เช่น มหาตมะ คานธี อดีตผู้นำอินเดีย เป็นต้น

 

     · พิธีกรก็ซักต่อไปว่า : เมื่อท่านมั่นใจขนาดนี้แล้ว ด้วยเหตุใด? ศาสนาของท่านจึงทุ่มเทพยายามในการเผยแพร่ของพวกมิชชันนารี ตามสถานพยาบาลต่างๆ และเปิดโรงเรียนในแหล่งที่ ความเจริญเข้าไปไม่ถึง เพื่อโน้มน้าวพวกเขาให้เข้ารับแนวทางของท่าน (คริสต์) ในเมื่อ พวกท่านมั่นใจว่าใครก็ตามที่มอบความรักที่แท้จริงให้กับพระเจ้าและเพื่อนมนุษย์ เขาจะได้รับสวรรค์เป็นสิ่งตอบแทน ไม่ว่าเขาผู้นั้นจะเป็นมะซีอีย์ (คริสเตียน) หรือยะฮูดีย์ (ยิว) หรือมุสลิมหรือแม้กระทั่งจะเป็นพวกที่ไม่มีศาสนาก็ตาม เขาจะได้รับสวรรค์ หากเขามีคุณสมบัติได้อย่างครบถ้วน

    · ศิลปินผู้นั้น ก็ไม่สามารถตอบคำถามนี้ได้อย่างเป็นที่น่าพอใจ และหาข้อมูลได้อย่างครบถ้วน

 

     ส่วนศิลปิน (ชาวคริสต์) อีกท่านหนึ่งได้ตอบคำถามด้วยความสุขุมชัดเจนดีกว่าคนแรกในคำเดียวกันที่ว่าใครกันแน่ จะได้เข้าสวรรค์?”

     เขาตอบว่า : บุคคลใดที่ศรัทธาต่ออัล-มะซี๊ฮฺ (อีซา อะลัยฮิสสลาม) ด้วยใจจริง และบริสุทธิ์ใจ เขาจะได้รับสวนสวรรค์ และผู้ที่ปฏิเสธดังกล่าวก็จะไม่ได้เข้าสวรรค์

     มีผู้ร่วมเสวนาในครั้งนั้น ถามขึ้นมาว่า : ที่ท่านพูดมานั้น มีหลักฐานในคัมภีร์ของท่านบ่งบอกไว้ชัดเจนหรือไม่?

     ศิลปินผู้นั้น ตอบว่า : เงื่อนไขอันนี้เป็นข้อกำหนด (บัญญัติ) หรือกฎที่ทางสำนักคริสตจักรวาลของเราเป็นผู้กำหนดขึ้นมา และสิ่งใดก็ตามที่ทางสำนักคริสตจักรกำหนดขึ้นมานั้น สิ่งนั้นถือเป็นข้อปฏิบัติ และเป็นความจริง (ไม่ว่าจะเป็นเรื่องศาสนา การเมืองหรืออะไรก็ตาม)

          แล้วพิธีกรจึงถามเสริมต่อไปว่า : แต่ว่าสำนักคริสตจักรเมื่อสมัยก่อนมีการแยกแยะระหว่างเรื่องศาสนากับการเมือง โดยมอบพิธีการทางศาสนา โดยเฉพาะวิธีการไถ่บาปให้กับศาสนา ส่วนทางการเมือง และชีวิตประจำวันมอบให้กับนักการปกครอง หรือกษัตริย์เป็นผู้ดูแล ปกครองโดยยึดเอาประมวลกฎหมาย ที่มีอยู่ในมหาคัมภีร์เป็นหลัก พอผ่านไปสักระยะหนึ่งก็ไปไม่รอด เกิดความเห็นไม่ตรงกัน เนื่องจากชาว คริสเตียนไม่พอใจต่อการมีอำนาจในทุกๆ อย่างของฝ่ายคริสตจักร (ฝ่ายศาสนา) จนนำไปสู่การแยกศาสนาออกจากการเมืองอย่างชัดเจน ซึ่งระบบแบบนี้ถูกเรียกกันในภายหลังว่า อิมานียะฮฺ (ลัทธิที่แยกจากการเมืองออกจากเรื่องราวและกิจการศาสนา) แล้วเขาก็ไม่สามารถหาคำตอบที่ชัดเจนและครบถ้วนมาได้

 

          ส่วนทางด้านผู้เข้าร่วมสนทนาที่เป็นมุสลิมได้กล่าวว่า ในอัลกุรอานได้ระบุว่า อัลมะซี๊ฮฺ (อีซา อะลัยฮิสสลาม) ได้กล่าวกับสานุศิษย์ว่า ใครที่ตั้งภาคีจะไม่ได้เข้าสวรรค์ ดังในซูเราะฮฺ อัลมาอิดะฮฺ อายะฮฺที่ ว่า

          “และอัล-มะซี๊ฮฺได้กล่าวว่า วงศ์วานอิสรออีลเอ๋ยจงเคารพ อิบาดะฮฺต่ออัลลอฮฺ ผู้เป็นพระเจ้าของฉัน และเป็นพระเจ้าของพวกท่านเถิด แท้จริง ผู้ใดให้มีภาคีขึ้นแก่อัลลอฮฺ แน่นอน อัลลอฮฺจะทรงให้สวรรค์เป็นที่ต้องห้ามแก่เขาและที่อยู่ของเขานั้น คือ นรก และสำหรับบรรดาผู้อธรรมนั้น ย่อมไม่มีผู้ช่วยเหลือใดๆ

(อัลมาอิดะฮฺ 5 : 72)

          ด้วยความมีมารยาทของผู้ร่วมสนทนาที่เป็นมุสลิม จึงมิได้เอ่ยอายะฮฺในตอนต้น ด้วยความเกรงใจและให้เกียรติว่าจะเป็นการกล่าวหาพวกเขาว่า เป็นกุฟรฺ เพราะว่าความในตอนต้นอายะฮฺนี้มีอยู่ว่า

          “แท้จริง บรรดาผู้ที่กล่าวว่า อัลลอฮฺ คือ อัล-มะซี๊ฮฺ บุตรของ มัรยัมนั้นได้ตกเป็นผู้ปฏิเสธศรัทธาแล้ว และอัล-มะซี๊ฮฺ ได้กล่าวว่า วงศ์วานอิสรออีลเอ๋ย จงเคารพอิบาดะฮฺต่ออัลลอฮฺผู้เป็นพระเจ้าของฉัน และเป็นพระเจ้าของพวกท่านเถิด แท้จริง ผู้ใดให้มีภาคีขึ้นแก่อัลลอฮฺ แน่นอน อัลลอฮฺจะทรงให้สวรรค์เป็นที่ต้องห้ามแก่เขา และที่อยู่ของเขานั้น คือ นรก และสำหรับบรรดาผู้อธรรมนั้น ย่อมไม่มีผู้ช่วยเหลือใดๆ

          ด้วยกับอายะฮฺทั้งหมด เป็นการพอเพียงแล้วที่จะตอบโต้ชาวคริสต์ในคำกล่าวอ้างของพวกเขาที่ว่าจะไม่มีใครได้เข้าสวรรค์ นอกจากบรรดาผู้ที่ศรัทธามั่นว่า อัล-มะซี๊ฮฺนั้น เป็นพระเจ้าอายะฮฺนี้ได้บ่งชัดว่า หลักศรัทธาแบบนี้เป็นกุฟรฺแน่นอน และผู้ใดศรัทธาของเขาเป็นแบบนี้จะไม่ได้เข้าสวรรค์เป็นอันขาด ตราบใดที่อูฐยังเข้ารูเข็มไม่ได้ และแน่นอนที่อยู่อันถาวรของเขา ก็คือ ไฟนรกอันร้อนแรง 

 

     และเมื่อข้าพเจ้ารับชมรายการนี้และรับฟังอยู่ตลอด จึงจุดประกายให้ข้าพเจ้าจับปากกาขึ้นเขียนบทความภายใต้หัวข้อที่ว่า

 

ใครกันแน่ คือผู้ที่คู่ควรกับสวรรค์?”

 

          ท่านผู้ศรัทธา เป็นธรรมดาของมนุษย์ไม่ว่าจะนับถือศาสนาใด หลักศรัทธาแบบไหน หรือแนวทางของแต่ละคนเป็นอย่างไร ทุกคนต่างก็พากันอ้างพวกเขาเป็นผู้ที่เหมาะสมที่สุดกว่าแนวทางใดๆ หรือศาสนาใดๆ ที่จะได้เข้าสวรรค์แต่เพียงผู้เดียว และพวกเขาเช่นกันสมควรที่สุดในการจะได้รางวัลชิ้นนี้ (สวรรค์) ส่วนกลุ่มอื่น นอกจากพวกเขาแล้ว ชนเหล่านั้น คือ ชาวนรก แต่ทว่าคำกล่าวอ้างของพวกนั้น แท้ที่จริงแล้วเป็นเพียงความหวังลมๆ แล้งๆ เป็นการทึกทักเอาไปเอง

          ความจริงแล้ว อัลกุรอานในซูเราะฮฺ อัล-บะกอเราะฮฺ อายะฮฺที่ 111-113 ได้บรรยายถึงความเพ้อฝันและข้อเท็จจริงในเรื่องดังกล่าว ดังที่อัลลอฮฺได้ตรัสว่า

 

     “และพวกเขากล่าวว่า จะไม่มีใครเข้าสวรรค์เลย นอกจาก ผู้ที่เป็นยิวหรือคริสเตียนเท่านั้น นั่นคือความเพ้อฝันของพวกเขา

     จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) ว่าพวกท่านจงนำหลักฐานของพวกท่านมา ถ้าพวกท่านเป็นผู้พูดจริง

     หาใช่เช่นนั้นไม่ ผู้ใดที่มอบใบหน้าของเขาให้แก่อัลลอฮฺ และขณะเดียวกัน เขาก็เป็นผู้กระทำความดีแล้วไซร้ เขาจะได้รับรางวัลของเขา ที่พระเจ้าของเขา และไม่มีความกลัวใดๆ แก่พวกเขา และทั้งพวกเขาก็จะไม่เสียใจ

     และชาวยิวกล่าวว่า ชาวคริสต์นั้นมิได้ตั้งอยู่บนสิ่งใด ทั้งๆ ที่เขาเหล่านั้นอ่านคัมภีร์ กันอยู่ ในทำนองเดียวกัน บรรดาผู้ที่ไม่รู้ก็ได้กล่าวเช่นเดียวกับคำกล่าวของพวกเขา

     ดังนั้น ในวันกิยามะฮฺ อัลลอฮฺจะทรงตัดสินระหว่างพวกเขาในสิ่งที่พวกเขาขัดแย้งกัน

 

          ยะฮูดี (ยิว) เป็นชนชาติที่หลงตนเอง สำคัญตนผิดคิดเอาเองว่า พวกเขานั้นเป็นเผ่าพันธุ์ที่อัลลอฮฺทรงเลือกสรร เป็นที่รักยิ่ง ที่พระองค์ปฏิเสธการเป็นนบีของอีซา บุตร มัรยัม พยายามปฏิเสธและสร้างกลอุบายต่างๆ นานา และพยายามที่จะตามฆ่าและจับตรึงไม้กางเขน พวกเขามีมุมมองที่ว่า ชาวคริสต์นั้นมิได้ตั้งอยู่บนความจริงอันใดเลย (ศาสนาที่ถูกต้อง)

          ในทางตรงกันข้าม ในมุมมองของชาวคริสต์ที่มีต่อชาวยิว ก็มิได้แตกต่างกันเลย กล่าวคือ พวกยิวก็มิได้ตั้งอยู่บนศาสนาอันถูกต้องเช่นกัน และยังมองต่ออีกว่า ชาวยิวนั้นเป็นศัตรูต่ออัลมะซี๊ฮฺ ดังนั้น จะเห็นได้ว่า ทุกๆ ฝ่ายต่างมองว่า ตนเองนั้นเป็นฝ่ายที่ถูกต้อง เช่น 

ยะฮูดี กล่าวว่าจะไม่มีใครได้เข้าสวรรค์นอกจากชาวยิวเท่านั้น” 

คริสต์ก็เช่นกัน กล่าวว่าไม่มีใครได้เข้าสวรรค์นอกจากชาวคริสต์เท่านั้น

 

          อัลกุรอาน อัลลอฮฺได้กล่าวถึงความเขลาเบาปัญญา ในคำพูดของพวกเขา (ยิวและคริสต์) พระองค์ได้ลบล้างคำกล่าวอ้างของเขา และยังท้าทายของพวกเขาให้นำเอาหลักฐานมาเพียงอายะฮฺ หากพวกเขานำมาได้ในสิ่งที่พวกเขาได้ต่างพากันกล่าวอ้าง

 

     “นั่นคือ ความเพ้อฝันของพวกเขา (มุฮัมมัด) จงกล่าวเถิดว่า พวกท่านจงนำหลักฐานของพวกท่านมา ถ้าพวกท่านเป็นผู้พูดจริง

 

          ดังนั้น สวรรค์มิได้จะได้มาด้วยความเพ้อฝันลมๆ แล้ง หรือพูดเพ้อเจ้อ หรือการเชิญชวนแบบไม่ถูกต้อง แต่สวรรค์นั้นผู้ที่จะได้รับจะต้องได้รับความเมตตา และความประเสริฐของอัลลอฮฺที่มีต่อมุอฺมิน ผู้ศรัทธาด้วย

 

     “หาใช่เช่นนั้นไม่ ผู้ใดที่มอบใบหน้าของเขาให้แก่อัลลอฮฺ และขณะเดียวกัน เขาก็เป็นผู้กระทำความดีแล้วไซร้ เขาจะรับรางวัลของเขา ที่พระเจ้าของเขา และไม่มีความกลัวใดๆ แก่พวกเขา และทั้งพวกเขาก็จะไม่เสียใจ

 

          ด้วยเหตุนี้ อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ได้ทรงใช้ให้บรรดานักเผยแพร่ให้ชักชวนในทุกๆ ครั้งที่ทำการเชิญชวนไปสู่แนวทางที่จะได้รับชัยชนะ (สวรรค์)

ในซูเราะฮฺ อัล-บะกอเราะฮฺ อายะฮฺที่ 136-137 ว่า

 

     “พวกเจ้าจงกล่าวเถิดว่า ได้ศรัทธาต่ออัลลอฮฺ และสิ่งที่ถูกประทานลงมาแก่อิบรอฮีม และอิสมาอีล และอิสฮาก และยะอฺกูบ และบรรดาวงศ์วานเหล่านั้น และสิ่งที่มูซา และอีซาได้รับ และสิ่งที่บรรดานบีได้รับจากพระเจ้าของพวกเขา พวกเขามิได้แบ่งแยกระหว่างท่านหนึ่งท่านใดจากเขาเหล่านั้น และพวกเราจะเป็น ผู้สวามิภักดิ์ต่อพระองค์เท่านั้น

     แล้วหากพวกเขาศรัทธาอย่างที่พวกเจ้าศรัทธาแล้ว แน่นอนพวกเขาก็ย่อมได้รับข้อแนะนำที่ถูกต้อง และหากพวกเขาผินหลังให้ แน่นอนพวกเขาย่อมอยู่ในความแตกแยกกัน แล้วอัลลอฮ์ก็จะทรงให้เจ้าพอเพียงแก่พวกเขา และพระองค์นั้นเป็นผู้ทรงไว้ซึ่งการได้ยิน ทรงไว้ซึ่งความรอบรู้

 

          แต่ทางด้านยะฮูดี ซึ่งต่างก็พร้อมใจกันที่จะปฏิเสธการเป็นนบีของท่านร่อซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม และขัดขวางในทุกรูปแบบ แม้นว่าจะมีการบ่งบอกการเป็นนบีในคัมภีร์ของพวกเขา แต่ด้วยความทนงตนว่าพวกเขาเป็นเผ่าพันธุ์ที่ประเสริฐสุด จึงทำการบิดเบือนและเปลี่ยนแปลงเรื่องราวที่ได้ระบุในคัมภีร์ และพยายามที่จะทำให้มุสลิมนั้น หันกลับไปสู่การกุฟรฺ

 

อัลกุรอานมีอายะฮฺมากมายที่ระบุความต้องการอันนี้ ในซูเราะฮฺอัล-บะกอเราะฮฺ อายะฮฺที่ 109 ว่า

 

     “อะฮฺลุลกิตาบมากมายนั้นชอบ หากพวกเขาจะสามารถทำให้พวกเจ้ากลับเป็นผู้ปฏิเสธศรัทธาอีก ทั้งนี้ เพราะความอิจฉาริษยาที่มาจากตัวของพวกเขาเอง หลังจากความจริงได้ประจักษ์แก่พวกเขา

     ดังนั้น พวกเจ้าจงให้อภัย และเบือนหน้าเสีย จนกว่าอัลลอฮฺจะประทานคำสั่งของพระองค์มา แท้จริง อัลลอฮฺนั้น เดชานุภาพเหนือทุกสิ่ง

(อาละอิมรอน 3 : 69)

 

     “กลุ่มหนึ่งจากผู้ได้รับคัมภีร์นั้นชอบ หากพวกเขาจะทำให้พวกเจ้าหลงผิด และพวกเขาจะไม่ทำให้ใครหลงผิด นอกจากตัวพวกเขาเอง แต่พวกเขาไม่รู้

(อัล-มาอิดะฮฺ 5 : 59)

 

     “จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) ว่า โอ้บรรดาผู้ได้รับคัมภีร์ทั้งหลาย พวกท่านมิได้ตำหนิติเตียน และปฏิเสธพวกเขา (เพราะอื่นใด) นอกจากว่า พวกเราศรัทธาต่ออัลลอฮฺ และสิ่งที่ถูกประทานลงทาแก่เรา และสิ่งที่ถูกประทานลงมาก่อนแล้วเท่านั้น และแท้จริงส่วนมากของพวกท่านนั้นเป็นผู้ละเมิด

 

          ท่านพี่น้องที่เคารพ เรื่องของสวรรค์นี้ มิใช่เรื่อแค่การเรียกร้องเชิญชวนหรือความฝันกันเพียงอย่างเดียว แต่มันเป็นเรื่องของการอีมานที่แท้จริงต่ออัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ต่อบรรดามลาอิกะฮฺ ต่อบรรดาคัมภีร์ ต่อวันฟื้นคืนชีพ ต่อกำหนดสภาวะ (ทั้งดีและชั่ว) เราจะไม่ศรัทธาแบบแยกส่วน ในการศรัทธาต่อ อัมบิยาอฺ เมื่อมนุษย์เรามีอีมานที่ครบถ้วนสมบูรณ์แบบนี้ อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ก็จะตอบแทนผู้ทำคุณความดีด้วยกับความดีงาม ส่วนผู้ประกอบกรรมชั่วก็จะได้รับการลงโทษและความต่ำต้อย พระองค์คือ ผู้ทรงไว้ซึ่งความยุติธรรม ผู้ทรงรอบรู้ในทุกสิ่งอย่าง

 

          อัลกุรอานในซูเราะฮฺอันนิซาอฺ อายะฮฺที่ 123-125 พระองค์ได้ทรงเตือนบรรดามุสลิมว่า อย่าได้มีความหวัง หรือเพ้อฝันในเรื่องของสวรรค์ โดยไม่ปฏิบัติการงานที่ดี (อามัลที่ซอและฮฺ) เยี่ยงเช่นบรรดา นะศอรอ และยะฮูดี โดยที่พระองค์ตรัสว่า

 

     “มิใช่ความเพ้อฝันของพวกเจ้า และมิใช่ความเพ้อฝันของผู้ที่ได้รับคัมภีร์ ผู้ใดที่กระทำชั่ว เขาก็ถูกตอบแทนด้วยความชั่วนั้น และเขาจะไม่พบผู้คุ้มครอง

      และผู้ใดกระทำในส่วนที่เป็นสิ่งที่ดีงามทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นเพศชายหรือหญิงก็ตาม ในฐานะที่เขาเป็นผู้ศรัทธาแล้วไซร้ ชนเหล่านี้จะได้เข้าสวรรค์และพวกเขาจะไม่ถูกอธรรม แม้เท่ารูเล็กๆ ที่อยู่บนหลังเมล็ดอินทผลัม

     และผู้ใดเล่า จะมีศาสนาดียิ่งไปกว่าผู้ที่มอบใบหน้าของเขาให้แก่อัลลอฮฺ และขณะเดียวกันเขาก็เป็นผู้กระทำความดี และปฏิบัติตามแนวทางของอิบรอฮีม ผู้ใฝ่หาความจริง และอัลลอฮฺได้ถือเอาอิบรอฮีมเป็นสหาย

 

           ดังนั้น อีมานจึงมิใช่เรื่องของการเพ้อฝัน หรือความหวังเพียงอย่างเดียว โดยปราศจากการกระทำ (อามัล) เพราะอีมานที่แท้จริงคือการที่หัวใจนอบน้อมยอมรับ และแสดงออกด้วยการกระทำที่สัตย์จริงเหมือนกับที่หัวใจยอมรับ ดังนั้น จึงเป็นที่ยอมรับกันว่า การงานที่ซอและฮฺนั้น ย่อมมาจากหัวใจที่มีอีมานที่แท้จริง

 

 

 

จากนิตยสารรายเดือน อัต-เตาฮีด ญุมาดัล-อูลา 1427

พิมพ์และเผยแพร่โดย กลุ่มอันซอริสซุนนะฮฺ อัล-มุฮัมมะดียะฮฺ ไคโร อียิปต์

ที่มา : อนุสรณ์งานประจำปี โรงเรียนมุสลิมวิทยาคาร 17 มกราคม 2552