สิทธิของอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา
อ.อับดุลฆอนีย์ บุญมาเลิศ
สิทธิข้อนี้เป็นข้อที่สำคัญยิ่งกว่าข้ออื่นๆ เพราะเป็นสิทธิของอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ซึ่งเป็น ผู้ทรงสร้างที่ยิ่งใหญ่ เป็นผู้ทรงครอบครอง และดำเนินงานทั้งหมด อันเป็นสิทธิที่ชัดเจน ที่ทรงมีชีวิตยั่งยืนทั้งชั้นฟ้าต่างๆ ตลอดจนผืนดินที่ดำรงอยู่ได้
พระองค์ทรงสร้างทุกสิ่ง แล้วทรงกำหนดลิขิตด้วยความรอบรู้อันลึกซึ้งของพระองค์ สิทธิของอัลลอฮฺที่พระองค์ได้ทรงให้ท่านเกิดมาโดยที่ไม่มีแบบ หรือตัวตนมาก่อนแม้แต่น้อย
ที่จะพูดถึงสิทธิของอัลลอฮฺที่ทรงกรุณาเลี้ยงดูท่านด้วยความโปรดปราน นับตั้งแต่ท่านอยู่ในครรภ์ของมารดาในความมืดมิดถึงสามชั้น ซึ่งไม่มีใครผู้ใดสามารถนำอาหารไปให้ หรือสิ่งที่จะทำให้ร่างกายเจริญเติบโต ตลอดจนชีวิตของท่าน พระองค์ได้ทรงทำให้มีน้ำนมแก่ท่านเต็มทั้งสองเต้า และทรงนำทางให้ท่านสองครั้ง และได้ทรงให้ท่านมีบิดาและมารดา ได้ทรงให้ระยะเวลาและให้ความสมบูรณ์แก่ท่าน ได้ทรงให้ความดีงามต่างๆ ตลอดจนสติปัญญา ความเข้าใจและความพร้อมแก่ท่านเพื่อรองรับผลประโยชน์ ดังที่พระองค์ได้ตรัสไว้ในซูเราะฮฺ อันนะฮ์ลฺ อายะฮฺที่ 78 ว่า
“และอัลลอฮฺทรงให้พวกเจ้าออกมาจากครรภ์ของมารดาของพวกเจ้า โดยที่พวกเจ้าไม่รู้อะไรมาก่อนเลย และพระองค์ทรงทำให้พวกเจ้าได้ยิน และมองเห็นและมีหัวใจ (สำหรับนึกและคิด) เพื่อพวกเจ้าจะได้ขอบคุณ”
ดังนั้น หากว่าพระองค์ทรงปิดกั้นการหยิบยื่นของพระองค์ แม้สักเพียงชั่วพริบตาเดียว ท่านก็จะต้องล่มสลาย หากพระองค์ห้ามความเมตตาของพระองค์แม้เพียงสักครู่เดียว ท่านก็จะไม่มีชีวิตอยู่ ฉะนั้น ที่กล่าวมานี้เป็นการหยิบยื่นความเมตตาของอัลลอฮฺที่ทรงมีต่อท่าน จึงทำให้สิทธิของพระองค์ ที่มีต่อท่านนั้นเป็นสิทธิที่สำคัญยิ่งใหญ่มาก เพราะเป็นสิทธิที่ได้ประทานให้แก่ท่านครบสมบูรณ์ และเต็มไปด้วยการหยิบยื่น โดยที่พระองค์มิได้ร้องขอปัจจัย หรืออาหารจากท่านเลย ดังที่พระองค์ที่ทรงกล่าวไว้ในซูเราะฮฺ ฏอฮา อายะฮฺที่ 132 ว่า
“เรามิได้ขอปัจจัยยังชีพจากเจ้า เราต่างหากเป็นผู้ที่ให้ปัจจัยยังชีพแก่เจ้า
และบั้นปลายนั้น เป็นของผู้ที่มีความยำเกรง”
ดังนั้น ความจริงแล้วที่พระองค์ทรงประสงค์จากท่านนั้น มีอยู่สิ่งเดียวเท่านั้น และยังเป็นผลดีแก่ตัวของท่านด้วยอีก คือที่พระองค์ทรงประสงค์จากท่าน ได้แก่การที่ท่านจะต้องเคารพสักการะพระองค์เพียงผู้เดียว โดยไม่มีภาคีใดๆ ต่อพระองค์ทั้งสิ้น ดังที่พระองค์ได้ตรัสไว้ในซูเราะฮฺ อัซซาริย๊าต อายะฮที่ 56 – 58 ว่า
“และข้ามิได้สร้างญิน และมนุษย์มาเพื่ออื่นใด เว้นแต่เพื่อให้พวกเขาเคารพภักดีต่อข้าเท่านั้น ข้าไม่ต้องการปัจจัยยังชีพจากพวกเขา และก็มิต้องการให้พวกเขามาให้อาหารแก่ข้า แท้จริง อัลลอฮฺ คือ ผู้ประทานปัจจัยยังชีพอันมากมาย ผู้ทรงพลัง ผู้ทรงมั่นคง”
พระองค์ทรงมีความประสงค์จากท่านในการที่ท่านจะต้องเป็นบ่าวของพระองค์อย่างครบถ้วนในความหมายของคำว่า “เป็นบ่าว” คือ การที่ให้ท่านเป็นเช่นเดียวกับที่พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าของท่านใน ทุกความหมายของคำว่า “พระเจ้า” ท่านเป็นบ่าวที่ต่ำต้อยของพระองค์ นอบน้อมถ่อมตน เป็นผู้ปฏิบัติตาม ออกห่างไกลจากข้อห้ามของพระองค์ โดยมีความเชื่อมั่นในคำบอกกล่าวของพระองค์ เพราะว่าท่านนั้นจะเห็นความโปรดปรานของพระองค์ หรือในการที่ท่านจะตอบสนองความโปรดปรานนี้ด้วยกับการศรัทธาต่อพระองค์
แม้นว่ามีใครสักคนหนึ่งที่ท่านได้รับบุญคุณของเขาสักอย่างหนึ่งแน่นอน ท่านก็คงละอายที่ท่านจะแสดงออกอย่างโจ่งแจ้ง โดยการทำมิดีมิร้าย หรือต่อต้านเขา ดังนั้น อย่างไรเล่า ! กับพระผู้เป็นเจ้า ผู้ทรงมีพระคุณต่อท่านอย่างล้นพ้น ที่ท่านได้รับมาโดยตลอด และในทุกครั้งที่ท่านพ้นภัยอันตราย ก็เพราะด้วย พระเมตตาของพระองค์ ดังที่พระองค์ได้ตรัสไว้ ในซูเราะฮฺ อันนะฮ์ลฺ อายะฮฺที่ 53 ว่า
“และไม่มีความโปรดปรานใดๆ ที่พวกเจ้าได้รับ ดังนั้น มันย่อมมาจากอัลลอฮฺ
ครั้นเมื่อความทุกข์ร้อนมาประสบกับพวกเจ้า พวกเจ้าก็จะคร่ำครวญขอต่อพระองค์”
แท้จริง สิทธิข้อนี้ อัลลอฮฺได้ทรงให้เป็นหน้าที่เฉพาะของพระองค์เอง เพื่อเป็นความสะดวกง่ายดายแก่ผู้ที่พระองค์ได้เอื้ออำนวยให้แก่เขา เพราะพระองค์มิได้ทรงให้มันยากลำบากแก่ท่านแต่อย่างใด ดังที่พระองค์ได้ตรัสไว้ในซูเราะฮฺ อัลฮัจญ์ อายะฮฺที่ 78 ว่า
“และพวกเจ้าจงต่อสู้เพื่ออัลลอฮฺ ด้วยการต่อสู้เพื่อพระองค์อย่างแท้จริง พระองค์ทรงคัดเลือกพวกเจ้า และพระองค์มิได้ทรงทำให้เป็นการยากลำบากแก่พวกเจ้า ในเรื่องของศาสนา ศาสนา (ที่ไม่ลำบาก) คือ ศาสนาของอิบรอฮีม บรรพบุรุษของพวกเจ้า
พระองค์ทรงเรียกชื่อของพวกเจ้า ว่า “มุสลิมีน” ในคัมภีร์ก่อนๆ และในอัลกุรอาน เพื่อผู้เป็นร่อซูลจะได้เป็นพยานแก่พวกเจ้า และจะได้เป็นพยานแก่มนุษย์โดยทั่วไป
ดังนั้นพวกเจ้าจงจ่ายซะกาต และจงยึดมั่นต่ออัลลอฮฺ พระองค์เป็นผู้ทรงคุ้มครองพวกเจ้า และพระองค์ คือ ผู้ทรงคุ้มครองที่ดีเลิศ และเป็นผู้ทรงช่วยเหลือที่ดีเยี่ยม”
แท้จริง มันคือหลักศรัทธาที่เป็นตัวอย่าง เป็นความเชื่อมั่นต่อสัจธรรม และเป็นการกระทำที่ดี มีผลตอบแทนเป็นหลักศรัทธาที่มีจุดยืนได้แก่ ความรัก และการให้ความยิ่งใหญ่ ทำให้หัวใจเบิกบาน ทำให้สภาพการณ์ดีขึ้น โดยบ่าวนั้นจะกระทำการละหมาดทุกเวลาตามความสามารถของเขา ดังที่พระองค์ได้ตรัสไว้ในซูเราะฮฺอัตตะฆอบุน อายะฮฺที่ 16
“ดังนั้นพวกเจ้าทั้งหลาย จงยำเกรงต่ออัลลอฮฺเถิด เท่าที่พวกเจ้าสามารถจะกระทำได้”
และท่านร่อซูลุลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ได้กล่าวแก่ อิมรอน บิน ฮุศอยนฺ ซึ่งเขากำลังป่วยอยู่ว่า
“ท่านจงทำการละหมาดโดยการยืน หากท่านไม่สามารถก็ให้นั่ง หากท่านไม่สามารถให้นอนตะแคงข้าง”
(บันทึกโดย อิมาม อัลบุคอรีย์)
การถือศีลอดเพียงเดือนเดียวในรอบปี ดังที่ระบุอยู่ในซูเราะฮฺ อัลบะกอเราะฮฺ อายะฮฺที่ 185
“และใครที่ป่วยหรือเดินทาง ก็ให้นับวันอื่นๆ แทน”
♦ ส่วนใครที่ไม่สามารถถือศีลอดได้ตลอดไป ก็ให้เขาจ่ายเป็นอาหารแก่คนยากจนหนึ่งคนแทนใน แต่ละวัน
♦ การทำฮัจญ์ที่บัยติลลฮิลฮะรอม ครั้งหนึ่งในชีวิตสำหรับผู้ที่มีความสามารถ...
นี่คือพื้นฐานแห่งสิทธิของอัลลอฮฺ ส่วนอื่นๆ ก็อาจจะถึงขั้นจำเป็นหากมีเหตุเกิดขึ้น เช่น การญิฮาดในหนทางของอัลลอฮฺ หรือเมื่อมีเหตุเกิดขึ้น ทำให้ต้องรีบทำการช่วยเหลือผู้ถูกกดขี่ข่มเหง ฯลฯ
พี่น้องทั้งหลาย จงพิจารณาในสิทธิข้อนี้ ซึ่งเป็นการกระทำที่ง่ายๆ เล็กน้อยเท่านั้น แต่ผลตอบแทนนั้นมีมากมาย เมื่อท่านใดกระทำแล้ว ท่านก็จะมีความสุขทั้งในโลกนี้และโลกหน้า และจะรอดพ้นจากไฟนรก ได้เข้าสู่สวนสวรรค์ ดังที่พระองค์ได้ตรัสไว้ในซูเราะฮฺ อาละอิมรอน อายะฮฺที่ 185 ว่า
“ดังนั้น ใครที่ถูกทำให้ห่างไกลจากไฟนรก และถูกให้ได้เข้าสวรรค์ แน่นอน เขาก็ได้มีชัยชนะแล้ว
และชิวิตความเป็นอยู่แห่งโลกนี้นั้น มิใช่อะไรอื่น นอกจากเป็นสิ่งอำนวยประโยชน์แห่งการหลอกลวงเท่านั้น”
ที่มา : อนุสรณ์งานประจำปี โรงเรียนมุสลิมวิทยาคาร 17 มกราคม 2552