อย่างไรที่เรียกว่าศรัทธา
  จำนวนคนเข้าชม  3019


อย่างไรที่เรียกว่าศรัทธาต่ออัลลอฮฺ

 

อาจารย์ อับดุลสลาม เพชรทองคำ

 

         พระเจ้าของเรา คือ อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา เราอีมานต่อพระองค์ เราศรัทธาต่อพระองค์ว่า ทรงเป็นพระเจ้าของเรา

         ดังนั้น เราควรทราบว่า เมื่อเรากล่าวว่า เราศรัทธาต่ออัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา การศรัทธานั้นจะต้องประกอบไปด้วย 2 ส่วน

ส่วนที่หนึ่ง คือ การศรัทธาในการมีอยู่จริงของอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา

ส่วนที่สอง คือ การศรัทธาต่อเตาฮีดของอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา

         สำหรับส่วนที่หนึ่ง การศรัทธาในการมีอยู่จริงของอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา นั้น ถือเป็นการศรัทธาในอิลมุลฆ็อยบฺ การศรัทธาในสิ่งเร้นลับอันดับแรก และยิ่งใหญ่ที่สุด เพราะเป็นเรื่องที่พ้นญาณวิสัยของมนุษย์ที่จะเห็นอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ด้วยตา ซึ่งพระองค์ก็ทรงยืนยันไว้ในอัลกุรอานว่า ในโลกดุนยานี้ เราไม่สามารถมองเห็นพระองค์ได้

 

ในอัลกุรอาน ซูเราะฮฺ อัล อะอฺร็อฟ ส่วนกลางของอายะฮฺ 143 ที่อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ตรัสว่า

         “นบีมูซาได้กล่าวกับอัลลอฮฺว่า โอ้ พระเจ้าของข้าพระองค์ โปรดให้ข้าพระองค์เห็นพระองค์ด้วยเถิด โดยที่ข้าพระองค์จะได้มองดูพระองค์

         พระองค์ตรัสว่า เจ้าจะเห็นข้าไม่ได้เป็นอันขาด

(อัลอะอฺร๊อฟ 7 : 143)

แต่ในอาคิเราะฮฺนั้น อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา จะทรงทำให้บรรดาผู้ศรัทธามองเห็นพระองค์ได้

 

ในอัลกุรอาน ซูเราะฮฺ อัลกิยามะฮฺ อายะฮฺที่ 22-23 อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ตรัสว่า

ในวัน (กิยามะฮฺ) นั้น หลายๆ ใบหน้า (ของผู้ศรัทธา) จะเบิกบาน (พวกเขา) จ้องมองไปยัง พระเจ้าของเขา

(อัลกิยามะฮฺ 75 : 22-23)

 

          แต่ถึงแม้ว่าในโลกดุนยานี้ เราไม่สามารถมองเห็นอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ได้ แต่เราสามารถรับรู้ถึงการมีอยู่จริงของพระองค์ได้ และเรามีความเชื่อมั่นอย่างแน่วแน่ พร้อมทั้งศรัทธาว่า พระองค์ทรงมี อยู่จริง ไม่ใช่เรื่องของความเชื่ออย่างงมงาย แต่สามารถหาหลักฐานมายืนยันได้

 

         ซึ่งในที่นี้ จะขอยกหลักฐานที่ท่านอิมาม ชัยคฺ มุฮัมมัด อิบนุ ศอและฮฺ อัลอุษัยมีน (อุละมาอฺร่วมสมัยในยุคของเรา) ได้อธิบายหลักฐานไว้ 4 ทางด้วยกัน คือ หลักฐานทางธรรมชาติ หลักฐานทางด้านสติปัญญา หลักฐานทางด้านบทบัญญัติศาสนา และหลักฐานจากสิ่งที่เราสัมผัสได้

 

หลักฐานแรก คือ หลักฐานทางธรรมชาติ 

 

          หมายถึง สัญชาตญาณเดิม หรือความรู้สึกนึกคิดที่ติดตัวมนุษย์ทุกๆ คนมาตั้งแต่ก่อนเกิดว่ามีศรัทธาต่ออัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา อยู่แล้ว และพระองค์ได้ทรงให้มนุษย์ทุกคนได้พูดยืนยันว่า ... พระองค์ทรงเป็นพระเจ้า ... ก่อนที่มนุษย์จะเกิดมา

 

ในซูเราะฮฺ อัลอะอฺร็อฟ อายะฮฺที่ 172 อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ตรัสว่า

          “และจงรำลึกถึง ขณะที่พระเจ้าของเจ้าได้เอาเชื้อสายของมนุษย์จากลูกหลานของอาดัม ออกมาจากสันหลังของพวกเขา และพระองค์ทรงให้พวกเขายืนยันด้วยตัวของพวกเขาเอง โดยตอบคำถามที่พระองค์ทรงถามพวกเขาว่า ข้าไม่ใช่พระเจ้าของพวกเจ้าหรอกหรือ?

         พวกเขาตอบว่า ใช่ ข้าพระองค์ขอเป็นพยานยืนยันว่า พระองค์คือพระเจ้า เพราะถ้าหากพระองค์ไม่ทรงถามอย่างนั้น พวกเจ้าก็จะพูด (แก้ตัว) ในวัน กิยามะฮฺ ว่า แท้จริง ข้าพระองค์ไม่รู้เรื่องราวในเรื่องนี้เลย

(อัลอะอฺร็อฟ 7 : 172)

 

          ดังนั้น จะเห็นว่า เมื่อมนุษย์ประสบกับปัญหาอะไร จิตใจก็มักจะหันกลับไปขอให้พระเจ้าช่วยเสมอ แม้ว่าเขาจะไม่ใช่มุสลิม หรือแม้แต่ผู้ที่ไม่เชื่อในการมีอยู่จริงของพระเจ้าก็ตาม เมื่อเขาประสบปัญหาที่ร้ายแรง เขาก็มักจะวอนขอต่อสิ่งที่เขาเรียกว่า สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งแท้จริงก็คือพระเจ้า และนี่ก็คือ ความรู้สึกนึกคิดที่ติดตัวมนุษย์มาตั้งแต่ก่อนเกิด

 

หลักฐานที่สอง หลักฐานทางด้านสติปัญญา 

 

           เมื่อเรามองไปรอบๆ ตัวเรา เราจะเห็นสิ่งที่ถูกสร้างต่างๆ และเห็นปรากฏการณ์ต่างๆ มากมาย เรามองเห็นโต๊ะ เห็นเก้าอี้ สติปัญญาของเราบอกเราได้ทันทีว่า ต้องมีคนทำมันขึ้นมา ถ้ามีคนมาบอกว่าโต๊ะ เก้าอี้เกิดขึ้นมาเอง สติปัญญาของเราก็ต้องไม่ยอมรับแน่นอน เพราะเรารู้ได้ด้วยสติปัญญาของเราว่า อยู่ๆ มันจะเกิดขึ้นเองไม่ได้ สิ่งของอื่นๆ รอบตัวเราก็เช่นกัน ที่มีเทคโนโลยีขึ้นมาหน่อย เราก็สามารถรู้ได้ว่ามีคนสร้างมันขึ้นมา ถึงแม้เราจะไม่เห็นคนสร้าง ไม่เห็นตอนที่คนกำลังทำมันขึ้นมา แต่เราก็สามารถรู้ได้ว่ามีคนสร้างมัน จะเป็นเครื่องบิน จรวด ก็ต้องมีคนสร้าง คนผลิตขึ้นมา จะเกิดขึ้นมาเองไม่ได้ สติปัญญาของมนุษย์เราก็ยอมรับว่าต้องมีคนสร้างมันขึ้นมา

 

          ดังนั้น ตัวของมนุษย์เราก็ต้องมีผู้สร้างขึ้นมา ระบบสุริยะจักรวาล ก็ต้องมีผู้สร้างมันขึ้นมาเช่นกัน อยู่ๆ จะเกิดขึ้นมาเองก็ดูไม่มีเหตุผล ไม่กินกับสติปัญญาของเรา เมื่อต้องมีผู้สร้างสิ่งต่างๆ ขึ้นมา สร้างมนุษย์ สร้างจักรวาล เราจะพบว่า ไม่มีใครที่มีสติสัมปชัญญะสักคนเดียว อ้างตัวว่าเป็นผู้สร้างมนุษย์ สร้างจักรวาล สร้างสิ่งที่เราเรียกว่าธรรมชาติขึ้นมา จะมีก็แต่เพียงอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา เท่านั้น ที่ทรงอ้างว่า พระองค์เป็นผู้ทรงสร้างทุกสิ่งทุกอย่าง 

 

         ซึ่งหลักฐานในอัลกุรอาน เช่น ในซูเราะฮฺ อัฏฏูร อายะฮฺที่ 35-36 ที่อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ทรงยืนยันว่า พระองค์เองเป็นผู้ทรงสร้างมนุษย์ขึ้นมา สร้างมนุษย์ให้เป็นมนุษย์ สร้างระบบสุริยะจักรวาล สร้างปรากฏการณ์ต่างๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อการดำรงชีวิตของสรรพสิ่งต่างๆ แต่มนุษย์บางส่วนก็ไม่ยอมรับ ไม่ยอมเชื่อ อยู่ๆ มีนักวิทยาศาสตร์มาบอกว่า มนุษย์เกิดมาจากวิวัฒนาการของลิง ก็กลับเชื่อ นี่ก็ยังไม่เคยได้ยินข่าวเลยว่า ในยุคนี้จะมีลิง ที่มีวิวัฒนาการกลายเป็นมนุษย์อีก คิดไปคิดมาแล้ว ลิงเกิดมาจากอะไร? มีวิวัฒนาการมาจากอะไร? ช้าง ม้า วัว ควายล่ะ มาจากอะไร? แล้วก็อย่างอื่นๆ อีกล่ะ เกิดมาจากอะไร? นี่แหละ การไม่ยอมรับในการมีอยู่จริงของอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ทำให้เกิดคำถามที่ตอบไม่ได้

 

         นักวิทยาศาสตร์ดูจะเชื่ออย่างจริงๆ จังๆ ว่า จักรวาลนี้เริ่มต้นจากการระเบิดครั้งยิ่งใหญ่ของพลังงานและแสงสว่างที่เรียกกันว่าทฤษฎีบิ๊กแบง พอเกิดระเบิดปุ๊บ สิ่งต่างๆ ก็เกิดขึ้น ระบบสุริยะจักรวาลก็เกิดขึ้น ถ้าเป็นอย่างนั้น แล้วพลังงานมาจากไหน? แล้วอะไรมาทำให้เกิดการระเบิดครั้งใหญ่? ก็ไม่มีคำตอบ ไม่มีคำอธิบายสำหรับคำถามนี้อีกเช่นกัน

 

           ความซับซ้อนของระบบสุริยะจักรวาล แบบแผนการโคจรที่เป็นระบบระเบียบ ทำให้เกิดปรากฏการณ์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นน้ำขึ้น-น้ำลง เกิดกลางวัน กลางคืน เกิดลม เกิดฝน สิ่งต่างๆ ที่เรามองเห็นอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ทำให้คิดได้ด้วยสติปัญญาของเราว่าจะต้องมีผู้ออกแบบ มีผู้สร้างมันขึ้นมา ไม่ใช่แค่การสร้างเท่านั้น แต่ยังควบคุมดูแลให้ดำรงอยู่ และดำเนินไปอย่างเรียบร้อย ไม่มีการปะทะกัน ไม่มีการชนกัน เป็นระบบระเบียบอย่างนี้มาชั่วนาตาปีและมันก็จะเป็นไปอย่างนี้ จนกว่าผู้ทรงสร้างมันขึ้นมา จะทรงประสงค์ให้มันพินาศลง

 

           แล้วยังภายในตัวของมนุษย์เอง มีความซับซ้อนมากมาย มีระบบต่างๆ มากมายภายในร่างกายของเรา ที่มันทำให้เราสามารถดำรงชีพอยู่ได้ หลักฐานในตัวมนุษย์ทำให้เชื่อว่าต้องมีผู้สร้างขึ้นมา อยู่ๆ ลิง จะวิวัฒนาการมาเป็นคนที่มีกลไกซับซ้อนมากมาย มีระบบต่างๆ มากมายภายในร่างกาย ย่อมเป็นไปไม่ได้แน่นอน ตามที่สติปัญญาเราคิดได้ ถ้าไม่มีอคติ ก็ย่อมคิดได้เช่นกัน

 

         ดังนั้น ข้อคิดเพียงเล็กน้อยที่ยกมาข้างต้น ก็สามารถชี้ให้เห็นถึงการมีอยู่จริงของอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ผู้ทรงเป็นพระเจ้าแห่งสากลโลก

 

หลักฐานข้อที่สาม คือ หลักฐานทางด้านบทบัญญัติศาสนา

 

          นั่นก็คือ หลักฐานจากบรรดาคัมภีร์ทั้งหมด ที่อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ได้ประทานมายังบรรดานบีของพระองค์ ซึ่งทั้งหมดต่างระบุถึงการมีอยู่จริงของพระองค์ทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นคัมภีร์เตารอต ซึ่งประทานมายังท่านนบีมูซา อะลัยฮฺสลาม และคัมภีร์อินญีล ซึ่งประทานมายังท่านนบีอีซา อะลัยฮฺสลาม ก็ระบุถึงการมีอยู่จริงของอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา และแน่นอนในอัลกุรอาน ซึ่งเป็นคัมภีร์ เป็นบทบัญญัติศาสนาที่พระองค์ได้ประทานมายังท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมก็เช่นกัน อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ได้ทรงย้ำเตือนอยู่หลายที่ หลายอายะฮฺถึงการมีอยู่จริงของพระองค์

 

           หลักฐานอายะฮฺหนึ่งในอัลกุรอาน ที่ตอกย้ำให้เราเห็นถึงการมีอยู่จริงของพระองค์ และพระองค์เป็นผู้ทรงสร้างมนุษย์ขึ้นมา และทรงสร้างโลก สร้างจักรวาล สร้างสรรพสิ่งต่างๆ ขึ้นมา พระองค์ทรงมีคำถาม ถามมนุษย์ในซูเราะฮฺ อัลวากิอะฮฺ อายะฮฺที่ 58-59 อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ตรัสว่า

พวกเจ้าเห็น (น้ำอสุจิ) ที่พวกเจ้าหลั่งออกมาแล้วไม่ใช่หรือ?

พวกเจ้าสร้างมันขึ้นมา หรือว่าเราเป็นผู้สร้างมันขึ้นมาเองเล่า?”

(อัลวากิอะฮฺ 56 : 58-59)

           พระองค์ทรงถามมนุษย์ว่า น้ำอสุจิที่อยู่ในตัวของมนุษย์เพศชายนั้น ใครเป็นผู้สร้างมันขึ้นมา มนุษย์เป็นผู้สร้างมันขึ้นมาเอง หรือว่าอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา เป็นผู้ทรงสร้างมันขึ้นมา 

          มีคำตอบให้เลือก 2 ข้อ เท่านั้น ถ้าเราตอบว่า มนุษย์เป็นผู้สร้างขึ้นมาเอง ก็จะเห็นว่าเป็นคำตอบที่ผิด เพราะมันไม่จริง เนื่องจากสิ่งที่เราเห็นๆ กันอยู่ว่า มนุษย์ไม่สามารถสร้างน้ำอสุจิในตัวของมนุษย์ขึ้นมาเองได้ ถึงแม้ว่ามันจะอยู่ในตัวของมนุษย์เองก็ตาม ดังนั้น คำตอบก็ต้องเป็นอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ที่เป็นผู้สร้างน้ำอสุจิขึ้นมาในร่างกายของมนุษย์เพศชาย โดยผ่านกระบวนการภายในร่างกาย ที่พระองค์ทรงสร้างขึ้นมาตามที่พระองค์ทรงประสงค์

 

           เมื่อพระองค์ทรงยืนยันว่า พระองค์เป็นผู้ทรงสร้างมนุษย์ขึ้นมา พระองค์ก็ทรงบอกถึงขั้นตอนของการสร้างมนุษย์คนแรก ไว้ในอัลกุรอาน ขอยกหลักฐานในซูเราะฮฺ ศ็อด ความจริงมีอยู่ในหลายซูเราะฮฺ แต่ตรงนี้จะขอยกซูเราะฮฺ ศ็อด อายะฮฺที่ 71-72 อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ตรัสว่า

           “มนุษยชาติทั้งหลาย จงยำเกรงพระเจ้าของพวกเจ้า ที่ได้บังเกิดพวกเจ้ามาจากชีวิตหนึ่ง และได้ทรงบังเกิดจากชีวิตนั้น ซึ่งคู่ครองของเขาและได้ทรงให้แพร่สะพัดไปจากทั้งสองนั้น ซึ่งบรรดาชาย และบรรดาหญิงจำนวนมากมาย

           และจงยำเกรงอัลลอฮฺที่พวกเจ้าต่างวิงวอนขอกันจากพระองค์ และพึงรักษาเครือญาติ แท้จริง อัลลอฮฺทรงสอดส่องดูพวกเจ้าอยู่เสมอ

(อันนิซาอฺ 4 : 1)

          นี่ก็แค่หลักฐานเพียงเล็กน้อย จากบทบัญญัติศาสนาเท่านั้นที่ยกมาแสดงให้เห็นหลักฐานการกำเนิดขึ้นมาของมนุษย์ ดังนั้น เมื่ออัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ทรงเป็นผู้ทรงสร้างมนุษย์ขึ้นมา ก็ย่อมแสดงว่า พระองค์ทรงมีอยู่จริง

 

หลักฐานข้อที่สี่ คือ หลักฐานจากสิ่งที่เราสัมผัสได้ 

 

           ซึ่งหลักฐานในเรื่องนี้ ท่านชัยคฺ อัลอุษัยมีน บอกไว้มีอยู่สองทางด้วยกัน

           ทางที่หนึ่ง คือ การที่เราจะได้ยินได้ฟังอยู่เสมอๆ ว่า เมื่อเวลาที่มีผู้วิงวอนขอในเรื่องต่างๆ ขอให้ช่วยเหลือในเรื่องของการตกทุกข์ได้ยากต่างๆ แล้วพวกเขาก็รู้สึกได้ถึงการตอบรับคำวิงวอนขอนั้น ดังกล่าวนี้แหละ ที่เป็นสิ่งยืนยันอย่างเด็ดขาดถึงการมีอยู่จริงของอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ในอัลกุรอาน ซูเราะฮฺอัลอัมบิยาอฺ อายะฮฺที่ 76 อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ตรัสว่า

          “และจงรำลึกถึงเรื่องราวของนู๊ฮฺ เมื่อเขาได้วิงวอนก่อนหน้านี้ (ต่ออัลลอฮฺ) แล้วเราได้ตอบรับการวิงวอนขอของเขา และเราได้ช่วยให้เขาและพรรคพวกของเขารอดพ้นจากความทุกข์ระทมอันใหญ่หลวง

(อัลอัมบิยาอฺ 21 : 76)

 

         หรืออย่างในอัลฮะดีษก็มีบอกไว้ เช่นในบันทึกของอิมามอัลบุคอรีย์ จากรายงานของท่านอนัส อิบนิ มาลิก ร่อฎิยัลลอฮุอันฮุ เล่าว่า

         แท้จริง มีชายอาหรับทะเลทรายคนหนึ่ง ได้เข้ามัสญิดในวันศุกร์ ขณะที่ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม กำลังอ่านคุฏบะฮฺ เขาผู้นั้นได้กล่าวว่า "โอ้ ท่านร่อซูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ทรัพย์สินเสียหายหมดแล้ว (พืชสวนไร่นา) และลูกหลานก็หิวโหย ดังนั้น ท่านจงขอวิงวอนต่ออัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ให้แก่เราด้วยเถิด"

           ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ก็ได้ยกมือทั้งสองของท่านขึ้นแล้ววิงวอน คือ ขอดุอาอฺต่ออัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา หลังจากนั้น เมฆก็ปั่นป่วนแล้วรวมตัวกันมีขนาดเท่าภูเขา ยังไม่ทันที่ท่านร่อซูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม จะลงจากมิมบัรฉัน (คือ ท่านอนัส อิบนิ มาลิก ผู้รายงานฮะดิษ) ได้เห็นฝนไหลพรูที่เคราของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม

          ครั้นเมื่อถึงอีกศุกร์หนึ่ง ก็มีคนลุกขึ้นกล่าวว่า โอ้ ท่านร่อซูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม บ้านช่องพังหมดแล้ว ทรัพย์สิน (พืชสวน ไร่นา) จมน้ำหมดแล้ว ดังนั้น ท่านช่วยวิงวอนให้แก่เราด้วยเถิด

          ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม จึงได้ยกมือทั้งสองของท่านขึ้น แล้วก็วิงวอนว่า "โอ้ อัลลอฮฺ ขอทรงให้ (ฝนตก) รอบๆ เรา อย่าได้ (ตก) บนพื้นที่ของเรา หลังจากนั้น ไม่ว่าท่านนบี จะชี้ไปทางไหน ฝนทางนั้นก็หยุดตก

 

           นั่นก็แสดงให้เห็นถึงการตอบรับคำวิงวอน หรือการขอดุอาอฺที่ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ทรงขอต่ออัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา และพระองค์ทรงตอบรับคำวิงวอนขอของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ซึ่งเรื่องของการตอบรับคำวิงวอนขอของผู้ที่ขอก็ยังคงเป็นเรื่องที่ประจักษ์ได้ ผมเชื่อว่า เราต้องเคยรู้สึกเช่นนี้บ้างเหมือนกัน ที่เมื่อเวลาเราขอดุอาอฺอะไร อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ได้ประทานให้ตามที่เราขอ แต่เรื่องอย่างนี้ย่อมจะเกิดแก่ผู้ที่พึ่งพิงอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ด้วยความจริงใจ และปฏิบัติตามเงื่อนไขต่างๆ ของการขอดุอาอฺอย่างครบถ้วน

 

          ทางที่สอง ที่ท่านชัยคฺ อัลอุษัยมีน ยกมาเป็นหลักฐานในเรื่องนี้ก็คือ สัญญาณต่างๆ ของบรรดานบี ที่เราเรียกว่า อัลมั๊วะอฺญิซาตที่มีผู้คนได้เคยพบเห็น เคยได้ยินได้ฟัง ย่อมเป็นหลักฐานขั้นเด็ดขาดที่บ่งถึงการมีผู้ส่งบรรดานบี บรรดาร่อซูลมา เพราะเรื่องของมั๊วะญิซาต เป็นเรื่องที่เกินความสามารถของมนุษย์ที่จะกระทำได้ แต่อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ทรงประสงค์ให้เกิดขึ้น เพื่อเป็นการสนับสนุน และช่วยเหลือบรรดาร่อซูลของพระองค์

 

          ♣ ท่านชัยค์ได้ยกตัวอย่างในเรื่องมั๊วะอฺญิซาต เช่น มั๊วะอฺญิซาตของท่านนบีมูซา อะลัยฮิสลาม ขณะที่อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ทรงสั่งท่านนบีมูซา ให้เอาไม้เท้าตีไปที่ทะเล เมื่อท่านตีลงไป ทันใด ทะเลก็แยกออกเป็นทางอยู่ในระหว่างน้ำทะเลที่แยกออกเป็นสองฟาก มีลักษณะใหญ่โตคล้ายภูเขา

ในอัลกุรอานซูเราะฮฺ อัชชุอะรออฺ อายะฮฺที่ 63 อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ตรัสว่า

          “ดังนั้น เราได้มีวะฮีย์แก่มูซาว่า จงตีทะเลด้วยไม้เท้าของเจ้า แล้วทะเลก็ได้แยกออก แต่ละทางที่แยกออกนั้นเสมือนกับภูเขาลูกใหญ่ๆ

(อัชชุอะรออฺ 26 : 63)

 

          ♣ ตัวอย่างที่สอง ในเรื่องมั๊วะอฺญิซาต ท่านนบีอีซา อะลัยฮิสลาม โยที่ท่านได้ทำให้คนตายหลายๆ คน ฟื้นคืนชีพขึ้นมา ในอัลกุรอาน ซูเราะฮฺ อาละอิมรอน อายะฮฺที่ 49 อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ตรัสว่า

และฉัน (อีซา) ได้ทำให้คนตายหลายคน ฟื้นคืนชีพขึ้นมาด้วยอนุมัติของอัลลอฮฺ

(อาละอิมรอน 3 : 49)

 

          ♣ ตัวอย่างที่สาม เป็นของท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ขณะที่พวกกุเรซ ขอให้ท่าน นบีแสดงอภินิหารสักอย่างหนึ่งให้พวกเขาดู ท่านนบีจึงได้ชี้ไปที่ดวงจันทร์ ทันใดนั้น ดวงจันทร์ก็ได้แยกออกเป็นสองส่วน ด้วยอนุมัติของอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ผู้คนทั้งหลายก็มองเห็นด้วย ในอัลกุรอาน ซูเราะฮฺ อัลก่อมัร อายะฮฺที่ 1-2 อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ตรัสว่า

         “ดวงจันทร์ได้แยกออกเมื่อใกล้วันกิยามะฮฺ และหากพวกเขาเหล่านั้น (ที่เป็นผู้ปฏิเสธศรัทธา) ได้เห็นมั๊วะอฺญิซาต พวกเขาก็ผินหลังให้ และกล่าวว่านั่นเป็นมายากลที่มีมาก่อนแล้ว

(อัลก่อมัร 54 : 1-2)

     ดังกล่าวข้างต้นนั่นก็คือ องค์ประกอบในส่วนที่หนึ่งของการศรัทธาต่ออัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา

 

      สำหรับองค์ประกอบในส่วนที่สองของการศรัทธาต่ออัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ก็คือ การมอบเตาฮีดแด่พระองค์

          เรื่องของเตาฮีด คือ เรื่องของการมอบเอกภาพหรือมอบความเป็นพระเจ้าเพียงหนึ่งเดียวแด่อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ซึ่งอุละมาอฺอะฮฺลุซซุนนะฮฺ วัลญะมาอะฮฺส่วนใหญ่ จะแบ่งเตาฮีดออกเป็นสามด้าน เป็นการแบ่งเพื่อให้ง่ายต่อการเรียนรู้ และทำความเข้าใจเท่านั้น ไม่ได้แบ่งโดยมีวัตถุประสงค์อื่นใดทั้งสิ้นเป็นการแบ่งเพื่อให้เราได้ทำความเข้าใจได้อย่างง่ายๆ โดยเนื้อหาที่นำมาจัดประเภทนั้น ก็เป็นเรื่องที่นำมาจากตัวบทอัลกุรอานทั้งสิ้นไม่ใช่เรื่องที่คิดกันขึ้นมาเอง

 

          เตาฮีดด้านที่หนึ่ง เตาฮีด อัรรุบูบียะฮฺ คือ การมอบเอกภาพแด่อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ในด้านที่เป็นพระเจ้า หรือด้านที่เป็นร็อบผู้ทรงสร้างทุกสิ่งทุกอย่าง เมื่อทรงสร้างทุกสิ่งทุกอย่างแล้ว

♦ พระองค์ก็ทรงเป็นเจ้าของ เป็นผู้ทรงครอบครองทุกสิ่งทุกอย่างที่พระองค์ทรงสร้างด้วย

♦ และยังเป็นผู้ทรงดูแลควบคุมทุกสิ่งทุกอย่าง บริหารโลกและจักรวาล ชั้นฟ้าทั้งหลาย และแผ่นดิน และสิ่งที่อยู่ระหว่างชั้นฟ้าทั้งหลาย และแผ่นดินด้วย

♦ ทรงเป็นพระเจ้าแห่งสากลโลก ผู้ทรงกรุณาปราณีต่อทุกๆ สรรพสิ่งบนโลกนี้

♦ เป็นพระเจ้าผู้ทรงเมตตาต่อบรรดามุสลิม มุอฺมินทั้งหมด

♦ เป็นพระเจ้าผู้ทรงสิทธิ์ มีอำนาจแต่เพียงพระองค์เดียว ทั้งในโลกดุนยานี้ และในวันแห่งการพิพากษา วันแห่งการตอบแทนในโลกอาคิเราะฮฺ

♦ เป็นผู้ประทานปัจจัยยังชีพ ผู้ทรงให้ชีวิต และทรงให้ตาย ผู้ทรงให้คุณและโทษ ผู้ทรงเดชานุภาพเหนือทุกสิ่งทุกอย่าง โดยไม่มีผู้ใดหรือสิ่งใดมามีส่วนร่วมในกิจการทั้งหมดของพระองค์เลย

 

           เตาฮีดด้านที่สอง เตาฮีด อัลอุลูฮียะฮฺ คือ การมอบเอกภาพแด่อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ในเรื่องที่เราต้องมอบการเคารพอิบาดะฮฺทั้งหมด แด่พระองค์เพียงองค์เดียวเท่านั้น ทั้งในที่ลับและในที่เปิดเผย ทั้งที่อยู่ในจิตใจ และการกระทำ โดยเราต้องไม่นำสิ่งหนึ่งสิ่งใด หรือคนหนึ่งคนใดมาทำการเคารพ มาทำการ อิบาดะฮฺ มาขอให้ช่วยเหลือในฐานะพระเจ้าร่วมกับอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา อย่างเด็ดขาด เราต้องมอบความเป็นพระเจ้าที่เป็นอิลาฮฺองค์เดียวแด่อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา เท่านั้น

          ความหมายของคำว่าร็อบกับอิลาฮฺที่เราแปลว่าพระเจ้านั้น ความหมายจะต่างกันตรงที่ว่าร็อบคือ พระเจ้าที่เป็นผู้ทรงสร้าง ผู้ทรงอภิบาลดูแล ทรงคุ้มครอง ผู้ทรงประทานปัจจัยยังชีพ เป็นพระเจ้าเพียงองค์เดียวเท่านั้น ไม่มีใคร และไม่มีสิ่งใดสามารถเป็นร็อบได้

          แต่อิลาฮฺหมายถึง พระเจ้าที่ถูกนำมาเคารพอิบาดะฮฺ พระเจ้าที่ถูกนำมาไหว้วอน ถูกนำมาร้องขอให้ช่วยเหลือ ยกตัวอย่างเช่น หากมีใครไปนำรูปปั้นมาเคารพกราบไหว้ว่าเป็นพระเจ้า รูปปั้นนั้นก็คืออิลาฮฺหรือหากมีใครไปไหว้วอนขอความช่วยเหลือจากต้นไม้ต้นหนึ่งให้ช่วยเหลือ ให้พ้นจากความทุกข์ยากต่างๆ ก็แสดงว่า ต้นไม้ต้นนั้นก็คือ อิลาฮฺ ไปวิงวอนขอจากกุบู๊ร ขอจากวิญญาณของคนดีที่เสียชีวิตไปแล้ว สิ่งต่างๆ เหล่านี้ก็คืออิลาฮฺ

          ดังนั้น เตาฮีด อัลอุลูฮียะฮฺ คือ การที่เราต้องมอบความเป็นอิลาฮฺแด่อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอา เพียงองค์เดียวเท่านั้น เราต้องไม่นำสิ่งถูกสร้างอื่นใดทั้งสิ้น มาเป็นอิลาฮฺร่วมกับอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา อย่างเด็ดขาด เพราะถือเป็นการตั้งภาคี เป็นการทำชิริกต่ออัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา อันเป็นเรื่องที่ร้ายแรงที่สุด

 

          เตาฮีดด้านที่สาม เตาฮีด อัลอัสมาอฺ วัศศิฟาต คือ การมอบเอกภาพ หรือมอบความเป็นหนึ่งเดียวในเรื่องของพระนามอันงดงาม และคุณลักษณะอันสูงส่งแด่อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา เป็นการเชื่อมั่นและศรัทธาอย่างแน่วแน่มั่นคงต่อบรรดาพระนาม และบรรดาคุณลักษณะของอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ตามที่ถูกระบุไว้ในอัลกุรอาน และอัลฮะดิษเท่านั้น นั่นก็หมายความว่า การที่เราจะเข้าใจว่าอะไรเป็น พระนาม และคุณลักษณะต่างๆ ของอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา นั้น เราต้องให้อัลกุรอานระบุว่าอะไรเป็นพระนาม อะไรเป็นคุณลักษณะของพระองค์ จะใช้วิธีการอื่นไม่ได้ ต้องให้ตัวบทในอัลกุรอาน และอัลฮะดิษระบุไว้เท่านั้น โดยเราจะต้องมีหลักยึดว่า จะต้องไม่มีการปฏิเสธใดๆ ต่อพระนาม และคุณลักษณะของพระองค์ตามที่ถูกระบุไว้ และจะต้องไม่มีการเบี่ยงเบนในความหมาย ไม่มีการตีความ และต้องไม่นำไปเปรียบเทียบกับลักษณะของมัคลูก็อต หรือสิ่งที่ถูกสร้างทั้งหมดของอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ด้วย ถือเป็นพระนาม และคุณลักษณะอันสมบูรณ์ทุกประการ โดยไม่มีข้อบกพร่องใดๆ ทั้งสิ้น สิ่งที่เราต้องยึดไว้ให้มั่น เกี่ยวกับเรื่องของเตาฮีดประเภทนี้ก็คือ อายะฮฺของอัลกุรอานในซูเราะฮฺ อัชชูรอ อายะฮฺที่ 11 อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ตรัสว่า

ไม่มีสิ่งใด (ทั้งสิ้น) เสมอเหมือนพระองค์ (อย่างเด็ดขาด)”

(อัชชูรออฺ 42 : 11)

 

          เพราะเมื่อเราระลึกได้อยู่เสมอว่า ไม่มีสิ่งใดเสมอเหมือนพระองค์ เราก็จะไม่เอาสติปัญญาของเรา หรือเอาความคิดของเราที่มีอยู่อย่างจำกัด ไปยุ่งเกี่ยวกับบรรดาพระนาม และคุณลักษณะของอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา อย่างเด็ดขาด มันจะทำให้เราไม่ทำการเบี่ยงเบนในความหมายของพระนาม และคุณลักษณะของพระองค์ ทำให้เราไม่ตีความในพระนามและคุณลักษณะของพระองค์ ทำให้เราไม่นำเอา พระนาม และคุณลักษณะของพระองค์ ไปเปรียบเทียบกับลักษณะของมัคลูก็อต หรือสิ่งที่ถูกสร้างทั้งหมดของอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา อย่างเด็ดขาด

          เมื่ออัลออฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ได้ทรงยืนยันอย่างชัดเจนว่า พระองค์ทรงมีพระหัตถ์ หรือมีมือ เช่น ในอัลกุรอาน ซูเราะฮฺ อัซซุมัร อายะฮฺที่ 67 พระองค์ตรัสว่า

           “และพวกเขาไม่ได้ให้ความยิ่งใหญ่แด่อัลลอฮฺ อันพึงมีต่อพระองค์อย่างแท้จริง และแผ่นดินนี้ทั้งหมด เป็นเพียงกำพระหัตถ์หนึ่งของพระองค์และชั้นฟ้าทั้งหลายจะม้วนกลิ้งด้วยพระหัตถ์ขวาของพระองค์ มหาบริสุทธิ์ยิ่งแด่พระองค์ และพระองค์ทรงสูงส่งเหนือจากบรรดาสิ่งที่พวกตั้งภาคี

(อัซซุมัร 39 : 67)

          บรรดาสะลัฟฯ ได้อธิบายอายะฮฺนี้ว่า หมายถึง ในวันกิยามะฮฺ แผ่นดินนี้จะเป็นเพียงกำมือหนึ่งของพระองค์ อีกทั้งแผ่นดิน และชั้นฟ้าทั้งหมด ล้วนอยู่ในกำมือขวาของพระองค์ และทรงม้วนแผ่นดิน และชั้นฟ้าทั้งหมดด้วยมือขวาของพระองค์

 

          นี่คือสิ่งที่อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ทรงยืนยันคุณลักษณะของพระองค์ในเรื่องที่ว่า ทรงมีมือ เพียงแต่เราไม่ทราบว่าทรงมีมืออย่างไร? และเราไม่ต้องไปจินตนาการว่ามีลักษณะเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ เพราะสิ่งที่เราต้องระลึกก็คือ พระองค์ไม่ทรงเหมือนสิ่งใดทั้งสิ้น ขอให้เราเชื่อมั่น และศรัทธาไปตามนั้นว่าพระองค์ทรงมีมือ แต่มีในลักษณะใดเราไม่ทราบ และไม่ต้องไปตีความว่า มือ หมายถึง อำนาจ ไม่ต้องไปตีความว่า มือ หมายถึง ความโปรดปราน หรือหมายถึง ความประเสริฐ ตีความหมายในลักษณะอย่างนี้ไม่ได้โดยเด็ดขาด ถือเป็นการบินเบือน หรือเบี่ยงเบนในพระนาม และคุณลักษณะของอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา เป็นความผิดที่ร้ายแรงถึงขั้นทำให้ตกมุรตัด ออกนอกศาสนาได้

ถ้าหากเราไปได้ยิน ได้ฟังใครพูดในลักษณะที่ตีความอย่างนี้ ก็ขอให้ทราบเถิดว่า มันเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้องตามหลักอะกีดะฮฺ หรือหลักการเชื่อมั่นของชาวอะฮฺลุซซุนนะฮฺ วัลญะมาอะฮฺ ถือเป็นเรื่องของความหลงผิดซึ่งในเรื่องนี้ รวมถึงบรรดาพระนาม และบรรดาคุณลักษณะอื่นๆ ก็เช่นเดียวกัน เราไม่ต้องไปตีความ ไม่ต้องไปเบี่ยงเบนความหมาย เมื่ออัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ทรงบอกว่า พระองค์ทรงพูด ทรงเห็น ก็ให้เชื่อมั่นไปตามนั้นว่า พระองค์ทรงพูด ทรงเห็น แต่พูดอย่างไร? เห็นอย่างไร? เราไม่สามารถทราบได้ ดังนั้น ไม่ต้องนำไปเปรียบเทียบให้เกิดความเหมือน หรือความคล้ายคลึงกับมนุษย์อย่างเด็ดขาด

 

           ทั้งหมดข้างต้นก็คือ ส่วนหนึ่งในเรื่องขององค์ประกอบของการศรัทธาต่ออัลลอฮฺ ซุบฮานะฮู วะตะอาลา ที่บรรดาอุละมาอฺได้เน้นย้ำให้เราได้มีหลักการศรัทธาที่ถูกต้อง เพราะหากเรามีหลักการศรัทธาที่เบี่ยงเบนไปจากความถูกต้อง มันจะมีผลให้เราต้องประสบกับความขาดทุนในวันกิยามะฮฺ ได้รับความทรมานในโลกอาคิเราะฮฺ ดังนั้น จึงเป็นหน้าที่ของเรา ที่ต้องแสวงหาความรู้ที่ถูกต้อง และนำความรู้นั้นมาปลูกฝังการศรัทธาที่ถูกต้องให้เกิดอยู่ในหัวใจของเรา พร้อมทั้งนำความรู้ และการศรัทธาที่อยู่ในหัวใจนั้นมาปฏิบัติให้เกิดผล

           จงดูแล ปกป้องตัวเรา ลูกหลานของเรา ครอบครัวของเรา สังคมมุสลิมของเรา ให้มีหลักอะกีดะฮฺที่ถูกต้อง มีหลักศรัทธาที่ถูกต้อง เพื่อเราจะได้รับความผาสุกทั้งในโลกดุนยา และโลกอาคิเราะฮฺ