ฟิตนะฮฺอันยิ่งใหญ่
โดย อ. มาลิก โยธาสมุทร
ผู้เป็นบ่าวของอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ทั้งหลาย จงเกรงกลัวอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา เถิด พึงรู้เถิดว่าโลกดุนยานี้คือโลกแห่งการทดสอบ เป็นสนามแห่งการต่อสู้และการอดทนอดกลั้น ความขัดแย้งกันระหว่างความจริงกับความเท็จนั้นจะยังคงมีอยู่ต่อไป นับตั้งแต่ท่านนบีอาดัม อะลัยฮิสสลาม ลงมาสู่โลก และจะยังคงเป็นเช่นนั้นอยู่ต่อไปตราบเท่าที่อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ทรงประสงค์ ดังนั้น ความเท็จจึงเป็นสิ่งที่ชัยฏอนและพลพรรคของมันอันได้แก่ ชัยฏอนที่เป็นมนุษย์และญินกำลังส่งเสริม สนับสนุน เกื้อกูลและรับใช้ โดยใช้สื่อต่างๆ เพื่อเป็นการโฆษณาชวนเชื่อ หลอกลวงผู้คน
ดังที่อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ตรัสความว่า
“และเจ้าจงยั่วยวน ล่อลวงผู้ที่เจ้าสามารถทำให้เขาหลงใหลด้วยเสียงของเจ้า
และชักชวนพวกเขาให้เห็นพ้องไปด้วยกับเจ้า ด้วยม้าของเจ้าและเท้าของเจ้า
และจงร่วมกับพวกเขาทั้งในทรัพย์สินและลูกหลาน และจงให้สัญญากับพวกเขา
และชัยฏอนนั้นมิได้ให้สัญญาใดๆ แก่พวกเขา นอกจากเป็นเพียงการหลอกลวงเท่านั้น”
(อัลอิสรออฺ 17 : 64)
ดังนั้น ชัยฏอนจึงเรียกร้องเชิญชวนไปสู่ความเท็จด้วย แผนการกลลวงเล่ห์กระเท่ห์ เพทุบาย ตบตา เรียกร้องพลพรรคของมันเพื่อให้เห็นดีเห็นงาม เห็นชอบไปกับสิ่งที่เลว ว่าเป็นสิ่งที่ดี เกลียดชังสิ่งที่ดี หลอกลวงผู้คนจำนวนมากว่าจะได้รับโชคดีโดยพลัน ด้วยแรงกระตุ้นจากสิ่งเร้าไม่ว่าจะเป็นตัณหาราคะ ทรัพย์สินเงินทอง ตำแหน่งฐานะ ตลอดจนชื่อเสียงเกียรติยศแห่งโลกดุนยา ที่พร้อมจะแลกกับการเพิกเฉยละเลยต่อผลสุดท้ายบั้นปลายของชีวิตอันเป็นจุดจบที่ไม่อาจเลี่ยงได้พ้น
สำหรับความจริงนั้น บรรดาผู้ที่เป็นร่อซูล และบรรดาผู้ที่ติดตามท่านเหล่านั้น อันได้แก่ บรรดา อุละมาอฺและคนดีๆ ได้ให้ความกระจ่างแก่ผู้คนเพื่อเปิดเผยให้ได้รู้ได้เห็น และให้พวกเขาได้เข้าใจในสิ่งที่ถูกต้อง พวกเขาได้เสียสละและต่อสู้ในหนทางของพระองค์ ดังนั้น พวกเขาจึงนำพาผู้ที่อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ทรงประสงค์ (ด้วยน้ำมือของพวกเขา) จากบรรดาผู้ที่มีสายตา มีสติปัญญาจนสามารถแยกแยะได้ระหว่างคุณและโทษ และผลบั้นปลายท้ายสุด ทำให้สามารถมองเห็นผู้ที่ออกมาต่อสู้กับอารมณ์ใฝ่ต่ำและชัยฏอน ผู้ที่ต่อสู้กับกุฟฟ๊ารและมุนาฟิกีนได้อย่างชัดเจน
ดังนั้น พวกเขาจึงได้ใกล้ชิดกับอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ด้วยการญิฮาดในหนทางของพระองค์ และยืนหยัดอยู่ในศาสนาของพระองค์ ขณะที่คลื่นแห่งฟิตนะฮฺกำลังถาโถมกระหน่ำเข้าใส่ตัวเขา และความชั่วร้ายของบรรดากุฟฟ๊ารกำลังพัดกระหน่ำเข้าหาเขาอย่างรุนแรงในทุกรูปแบบและวิธีการจากทุกทิศทุกทาง
อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ตรัสความว่า
“เช่นนั้นแหละ และหากอัลลอฮฺทรงประสงค์ พระองค์จะทรงตอบแทนการลงโทษพวกเขาอย่างแน่นอน (โดยที่พวกเจ้าไม่ต้องลงมือ เช่น ให้เกิดแผ่นดินสูบ หรือให้ความตายประสบแก่พวกเขา) แต่ทว่า เพื่อที่พระองค์จะทรงทดสอบบางคนในหมู่พวกเจ้ากับอีกบางคน”
(มุฮัมมัด 47 : 4)
ผู้เป็นบ่าวของอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ทั้งหลาย ทุกวันนี้เรากำลังอยู่ในสมรภูมิแห่งการทดสอบ (ฟิตัน) อันยิ่งใหญ่ ฟิตนะฮฺที่เสมือนกับการแบ่งแยกระหว่างกลางคืนกับความมืดมิด ซึ่งยากเหลือเกินที่จะตัดขาดแยกแยะให้ออกจากกันได้ ฟิตนะฮฺนั้นมีหลายรูปแบบหลายชนิด ดังนั้น
♦ ทรัพย์สมบัติก็เป็นฟิตนะฮฺ ซึ่งกำลังไหลบ่าท่วมท้นล้นมือผู้คนในทุกวันนี้
♦ ลูกหลานก็เป็นฟิตนะฮฺ เพราะพวกเขามีการกระทำอันเป็นการฝ่าฝืนอยู่มากมาย
♦ การปะปนมั่วสุมอยู่กับความชั่วร้ายที่มาจากพวกกุฟฟ๊ารและมุนาฟิกีน ก็นับว่าเป็นฟิตนะฮฺซึ่งมีอยู่เต็มบ้านเต็มเมืองของมุสลิม
♦ สตรีก็นับว่าเป็นฟิตนะฮฺที่อันตรายและร้ายแรงในปัจจุบัน ฟิตนะฮฺที่มาจากพวกนางกำลังเพิ่มมากขึ้น
♦ การเรียกร้องไปสู่ความเท็จและการปฏิเสธความจริง ก็นับว่าเป็นฟิตนะฮฺที่เป็นอันตรายใหญ่หลวงในปัจจุบัน ที่ความเลวร้ายได้แพร่สะพัดออกไปหลากหลายรูปแบบและวิธีการ
ปัจจุบันโลกของเรากำลังอยู่ในยุคของโลกาภิวัฒน์ อันเนื่องมาจากความเจริญก้าวหน้าของเทคโนโลยี ความสะดวกรวดเร็วของสื่อสารมวลชน ดังนั้น จะพูดหรือจะทำอย่างไรกันดีกับการโกหกมดเท็จ ความชั่วช้า ลามกที่แพร่ระบาดผ่านทางสื่อต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นวิทยุ โทรทัศน์หรืออินเตอร์เน็ตที่เข้าถึงประชาชนได้อย่างรวดเร็ว ฉับไวและเป็นหนทางที่ใกล้ที่สุด เสียงแห่งความโป้ปดมดเท็จกำลังแพร่ระบาดกระจายไปทั่ว แต่ขณะเดียวกันเสียงแห่งความจริงกลับแผ่วเบาและถูกปิดบังปิดกั้น
จะเห็นได้ว่าในโลกเราทุกวันนี้ส่วนมากแล้ว เรามักไม่ค่อยได้ยินเสียงแห่งความจริงกันเลย นอกจากการบ่อนทำลาย การก่อกวน การแทรกแซงความจริงและการเผยแพร่ความเท็จ ส่วนมากของวิทยุและสื่อสารมวลชนเหล่านี้มีการจัดรายการที่ผสมปนเปกันระหว่างความจริงกับความเท็จ จนกระทั่งความจริงต้องจืดจาง ถูกลืมเลือนหายไป ดังนั้น รายการเกี่ยวกับอัลกุรอานและอัลฮะดิษ ตลอดจนเรื่องราวของศาสนามักจะมีมาสลับกับเพลงและดนตรี ฯลฯ ซึ่งเป็นการทำให้เรื่องของบทบัญญัติศาสนาเป็นเพียงสิ่งประกอบ มิใช่เป็นเรื่องหลัก แม้ว่ารายการที่จัดขึ้นนั้นจะอ้างว่าเพื่อเป็นการรับใช้บรรดาพี่น้องมุสลิมก็ตาม
ฉะนั้น จะพบได้ว่า มีการปฏิเสธสิ่งที่อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ทรงอนุมัติและอนุมัติในสิ่งที่อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ทรงห้าม ดังเช่นการมีภรรยามากกว่าหนึ่งคนแต่ไม่เกินสี่คนสำหรับผู้ที่มีความสามารถ และการปฏิเสธการแต่งงานในผู้สูงอายุที่ภรรยาเสียชีวิตไปแล้ว ฯลฯ
ในขณะที่รายการวิทยุส่วนมากมีแต่เรื่องบันเทิง ไร้สาระ แทบทุกบ้านได้ยินได้ฟังเรื่องดังกล่าวด้วยความเศร้าสลดใจ แทบทุกบ้านไม่รอดพ้นเรื่องดังกล่าวไปได้ เว้นแต่ผู้ที่อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ทรงประสงค์เท่านั้น
ทั้งผู้ใหญ่และเด็กต่างก็ได้ยินได้ฟังสื่อกันทั้งกลางคืนและกลางวัน โดยไม่มีการแยกแยะว่าอะไรคือความจริงอะไรคือความเท็จ อะไรคือสิ่งที่เป็นประโยชน์ อะไรคือสิ่งที่เป็นโทษ เป็นพิษเป็นภัย
♦ ในด้านสื่อมวลชนและการประชาสัมพันธ์ ไม่ว่าจะเป็นหนังสือพิมพ์ หรือนิตยสาร น้อยมากที่จะเชื่อถือได้ เพราะส่วนมากมักจะมีการบิดเบือน เบี่ยงเบนเพิ่มมากขึ้น จากรายวันเป็นรายสัปดาห์และรายเดือน ทำให้หลายคนไม่ได้อ่านคัมภีร์ของอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา และหนังสือที่เป็นประโยชน์
♦ ในด้านนิตยสารและหนังสือพิมพ์ ตลอดจนหนังสือที่บิดเบือนต่างๆ มีการเผยแพร่แนวความคิดที่บ่อนทำลายและหลงผิด ตลอดจนหลักเชื่อมั่นที่ชั่วร้าย และคำชี้ขาดปัญหาที่ผิดๆ มีการมอมเมาเหล่าสตรี ด้วยการนำแฟชั่น การแต่งกายโชว์เครื่องประดับหวือหวา ทั้งๆ ที่ศาสนาให้คลุมศีรษะ คลุมหัวใจให้สงบเสงี่ยม มิใช่เพื่อการอวดโฉม เพื่อให้ผู้คนตื่นตาตื่นใจ ฯลฯล
สิ่งที่เลวร้ายเหล่านี้ไปถึงมือผู้คนได้สะดวกง่ายดายและรวดเร็ว โดยที่ผู้อ่านไม่ได้แยกระหว่างความจริงกับความเท็จ ความถูกกับความผิด แต่พวกเขากลับอ้างว่าเป็นหนังสือที่ดีกว่าหนังสือของสะละฟุซซอลิฮฺ ที่บรรดาอุละมาอฺอิสลามได้เขียนหรือแต่งขึ้นเสียอีก! และอ้างว่าช่วยนำผู้คนไปสู่หนทางอันเที่ยงตรงโดยให้ชื่อต่างๆ กัน เช่นว่า “เมื่อความจริงปรากฏ!” จึงอยากถามกลับไปว่า “นี่ละหรือคือความจริง ?” หรือเป็นการโกหกมดเท็จ ลวงโลกและอัดแน่นไปด้วยการนิฟ๊ากและอิศยานกันแน่ !
พวกเขาพูดถึงหนังสือที่ดีๆ มีประโยชน์ว่า เป็นเพียงหนังสือเก่าๆ ไร้ค่า ไร้ประโยชน์ แต่สำหรับหนังสือที่อยู่ในมือพวกเขานั้นเป็นหนังสือที่ทันสมัยที่เขียนขึ้นโดยนักคิดนักเขียนหัวก้าวหน้า เป็นผู้มีอารยธรรมเป็นนักวิชาการร่วมสมัย และเป็นปัญญาชน !
อัลออฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ตรัสถามพวกเขาไว้ในอัลกุรอานความว่า
“หรือแม้ว่าบรรดาบรรพบุรุษของพวกเขาจะไม่รู้อะไรเลย และไม่ได้รับการชี้นำสู่หนทางอันเที่ยงตรงมาก่อนกระนั้นหรือ?”
(อัลมาอิดะฮฺ 5 : 104)
ผู้เป็นบ่าวของอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ทั้งหลาย เมื่อเราหันมาพูดเรื่องการเรียนการสอนศาสนา เราก็จะพบว่าอยู่ในสภาพที่เลวร้ายยิ่งกว่าการโฆษณา ประชาสัมพันธ์ที่กล่าวมาแล้วเสียอีก เพราะการเรียนการสอนได้ย้ายจากมัสยิดไปยังโรงเรียนที่มีการจัดระบบ จากระดับอนุบาลไปจนถึงมหาวิทยาลัย และย้ายจากการเรียนศาสนาไปเป็นเรื่องของดุนยาเท่านั้น หรือไม่ก็เรียนในสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์ต่อศาสนาและไม่เป็นประโยชน์ต่อโลกดุนยา จนกระทั่งลูกหลานมุสลิมเติบโตขึ้นมาโดยไม่รู้เรื่องศาสนาเลย
จะพบได้ว่าผู้ที่จบจากมหาวิทยาลัยไม่สามารถอ่านอายะฮฺจากอัลกุรอานได้ถูกต้อง ชั่วโมงเรียนศาสนามีน้อยมาก หนังสือแบบเรียนมีไม่เพียงพอ และครูส่วนมากมีความรู้เกี่ยวกับศาสนาน้อยมาก ไม่เข้าใจนักเรียนดีพอ และในหมู่พวกเขาก็มีคนที่ไม่สนใจศาสนา ดังนั้น จึงเป็นแบบอย่างที่เลวแก่นักเรียนของตน ทำเป็นเพิกเฉยต่อวิชาความรู้ด้านศาสนา ไม่ให้ความสำคัญต่อการสอน เมื่อนักเรียนสำเร็จออกมาก็ไม่รู้ศาสนา เคยชินอยู่กับการไม่สนใจใยดีต่อศาสนาจนเติบโตเป็นผู้ใหญ่
ผู้เป็นบ่าวของอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ทั้งหลาย นี่คือสภาพของมุสลิมในปัจจุบันที่มีอยู่ทั่วไปในโลกนี้ และกำลังเผยแพร่สิ่งชั่วร้าย ด้วยการศึกษาหาความรู้ในวิชาที่ไม่เป็นประโยชน์ ข้าพเจ้าไม่ได้หมายความถึงประเทศนั้นประเทศนี้เป็นการเฉพาะ แต่จะบอกว่านี่คือสภาพของมุสลิมส่วนใหญ่ ในแทบทุกแห่งในแทบทุกประเทศในปัจจุบัน มีประเทศมุสลิมบางประเทศ มีการปฏิเสธอิสลามอย่างโจ่งแจ้งรุนแรง จนกระทั่งศาสนาอิสลามกลายเป็นสิ่งแปลกประหลาด ท่ามกลางมุสลิมในประเทศของตน ไม่มีอะไรเหลือนอกจากชื่อ ไม่มีอะไรเหลือจากอัลกุรอาน นอกจากเพียงลายลักษณ์อักษร ฯลฯ ดังกล่าว นับเป็นฟิตนะฮฺที่ใหญ่หลวงยิ่งนัก และไม่มีทางออกใดๆ เหลืออีกแล้วนอกจากกกลับไปหากิตาบุลลอฮฺและซุนนะฮฺของท่าน ร่อซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม เท่านั้น
อัลกุรอานนั้น มีคุณลักษณะดังต่อไปนี้ คือ
“ความเท็จจากข้างหน้าและจากข้างหลังจะไม่คืบคลานเข้าไปสู่อัลกุรอานได้
เป็นการประทานลงมาจากพระผู้ทรงปรีชาญาณ ผู้ทรงได้รับการสรรเสริญ”
(ฟุศศิลัต 41 : 42)
ผู้เป็นบ่าวของอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ทั้งหลาย จงเกรงกลัวอัลลอฮฺเถิด
อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ตรัสความว่า
“เจ้าทั้งสองจงออกไปจากสวนสวรรค์กันทั้งหมด โดยที่บางคนในหมู่พวกเจ้าต่างเป็นศัตรูซึ่งกันและกัน ครั้นเมื่อมีคำแนะนำจากข้ามายังพวกเจ้าแล้ว
ดังนั้น ผู้ใดทำตามคำแนะนำของข้า เขาก็จะไม่หลงผิด และจะไม่ประสบกับความยากลำบากคับแค้น และผู้ใดผินหลังให้กับการรำลึกถึงข้า ดังนั้น เขาจะประสบกับชีวิตที่คับแค้น และเราจะให้เขาฟื้นคืนชีพขึ้นมาในวันกิยามะฮฺในสภาพของคนตาบอด
เขากล่าวว่า ข้าแต่พระเจ้าของข้าพระองค์ ทำไมพระองค์ทรงให้ข้าพระองค์ฟื้นคืนชีพขึ้นมาในสภาพเป็นคนตาบอด ทั้งๆ ที่ข้าพระองค์เคยเป็นคนตาดี (มองเห็น) มาก่อน
พระองค์ตรัสว่า เช่นนั้นแหละ เมื่อบรรดาอายาตของเราได้มายังเจ้า เจ้าก็ทำเป็นลืม และในทำนองเดียวกันที่วันนี้เจ้าจะถูกลืม และเช่นเดียวกัน เราจะตอบแทนผู้ที่ล่วงละเมิดขอบเขต และไม่ศรัทธาต่อบรรดาอายาตแห่งพระเจ้าของเขา
และแน่นอน การลงโทษในอาคิเราะฮฺนั้นแสนสาหัส และยาวนานยิ่งนัก”
(ฏอฮา 20 : 123 – 127)
ที่มา : วารสารสายสัมพันธ์