Care your Skin with Antioxidant.
  จำนวนคนเข้าชม  4243

Care your skin with Antioxidant.

     

     สำหรับหนุ่มๆผู้ที่รักแสงแดดและสายลม ต้องเตียมตัวให้พร้อมต่อรังสียูวี เพราะการรับรังสียูวีมากเกินไปนั้น นอกจากจะทำใหผิวหมองคล้ำ ยังเป็นสาเหตุที่ทำให้เซลล์ผลิตเม็ดสีที่เรียกว่า "Melanocyte" เกิดการเปลี่ยนแปลง นำมาซึ่ง"โรคมะเร็งผิวหนัง" หรือที่เรียกกันว่า "Melanoma" ในเวลาต่อมา

        นพ.นิโคลัส เพอริโคน แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนัง ได้กล่าวไว้ว่า 90% ของการเสื่อมสภาพผิวเกิดจากการที่ผิวของคุณสัมผัสกับแสงแดดมากเกินไป ซึ่งในสหรัฐอเมริกามีผู้ป่วยด้วยโรคดังกล่าวกว่า 7 แสนคน และมีแนวโน้มว่าจะมีผู้ป่วยเพิ่มขึ้นทุกปี

        หากคุณอยู่ในแสงแดดนานประมาณ 30-45 นาที แสงแดดจะทำลาย 80% ของวิตามินที่ร่างกายสะสมไว้ เขาแนะนำคนไข้ให้รับประทานวิตามินซี 500 มิลลิกรัม วิตามินอี 400 IU และโคเอนไซน์ คิว 10 ประมาณ 30 มิลลิกรัม ซึ่งสารอาหารที่กล่าวมาทั้ง 3 ชนิด เป็นส่วนหนึ่งของสารต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidant) ที่ช่วยฟื้นฟูผิวที่เสื่อมสภาพให้กลับมาดูสดใส มีสุขภาพดีทั้งยังต่อต้านและยับยั้งการเกิดโรคมะเร็งผิวหนังได้อีกด้วย

        นอกจากนั้นเรายังสามารถพบ สารต้านอนุมูลอิสระ ได้จากสารอาหารแหล่งอื่นๆอีกมากมาย เช่น

  •  สารสกัดจากเมล็ดองุ่น ช่วยป้องกันและเสริมสร้างความแข็งแรงของเนื้อเยื่อและโครงสร้างของผิวหนังที่เรียกว่า Connective tissue ทำให้ผิวดูสดใส
  • ชาเขียว ประกอบด้วยสารต้านอนุมูลอิสระประเภทฟลาโวนอยด์ สามารถลดอัตราการเป็นมะเร็งของอวัยวะต่างๆ
  • สารสกัดจากเปลือกสนฝรั่งเศส ช่วยแก้ปัญหาเรื่องการควบคุมการทำงานของกระบวนการสร้างเม็ดสีในร่างกายให้อยู่ในสภาวะสมดุล ไม่ผลิตเม็ดสีออกมาผิดปกติจนทำให้เกิดฝ้า, กระ
  • เบต้าแคโรทีน เปรียบได้กับวิตามิน A ในอีกรูปแบบหนึ่ง มีส่วนช่วยให้ผิวหนังต้านทานต่อแสงแดดได้นานยิ่งขึ้น พบมากในผักใบเขียว มะละกอสุก มะเขือเทศ เป็นต้น
  • สารสกัดโปรตีนจากปลาทะเล เป็นแหล่งของโปรตีนที่ร่างกายจะนำไปใช้เสริมสร้าง คอลลาเจน และอิลาสติน เพื่อช่วยโอบอุ้มความชุ่มชื้นและคืนความยืดหยุ่นให้ผิว

        เมื่อรู้อย่างนี้แล้ว อย่าลืมรับประทานอาหารที่มีส่วนผสมของ สารต้านอนุมูลอิสระสะสมเอาไว้ก่อนน่าจะดี เวลาออกไปตะลุยซ่าท้าแดดที่ไหน จะได้สบายใจไปกว่าครึ่ง และนอกจากจะช่วยลดความเสี่ยงจากการเป็นโรคมะเร็งผิวหนังแล้ว ยังสามารถป้องกันโรคหัวใจ และอัลไซเมอร์ได้อีกด้วย

"กันไว้ดีกว่าแก้" ก็ไม่เห็นจะน่าเสียหายตรงไหนหล่ะ