ผู้ที่มนุษย์ทั้งหลายปลอดภัย
โดย อำพน นะมิ
คำสอนจากหะดิษ
จากท่านอบีฮุรอยเราะฮฺ ร่อฎิยัลลอฮุอันฮุ กล่าวว่า
“มุสลิมที่สมบูรณ์นั้นคือผู้ที่มุสลิมทั้งหลายปลอดภัยจากลิ้นและมือของเขา
และผู้ศรัทธาที่สมบูรณ์นั้นคือผู้ที่เลือดเนื้อและทรัพย์สินของเพื่อนมนุษย์ปลอดภัยจากการกระทำของเขา”
มุสลิม คือ ผู้ที่มนุษย์ทั้งหลายปลอดภัยจากลิ้นและมือของเขา ประโยคนี้มิได้สื่อความหมายถึงการแสดงออกซึ่งแก่นแท้ของอิสลามตามความหมายทางทฤษฎี หรือหมายรวมทั้งทฤษฎีและปฏิบัติของอิสลาม แต่หมายถึงส่วนหนึ่งของอิสลามเท่านั้น นั่นก็คือ ส่วนของการปฏิบัติ โดยการปกป้องภัยอันตรายให้เพื่อนมนุษย์ด้วยกัน อีกทั้งเป็นส่วนย่อยที่ใช้เป็นปรอทวัดค่าความเป็นมุสลิมแท้กับมุสลิมเทียม ที่ปากว่าตาขยิบ ปากกับใจไม่ตรงกัน (มุนาฟิก)
ประหนึ่งท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม จะกล่าวว่า : เมื่อท่านทั้งหลายเห็นคนที่ปกป้องมุสลิมให้ปลอดภัยจากลิ้นและมือของเขา จงทราบเถิดว่าเขาผู้นั้นเป็นมุสลิมแท้ หากท่านทั้งหลายเห็นคนใดเสาะหาภัยอันตราย ซุบซิบนินทา ใส่ร้ายป้ายสี ด่าทอ หรือโดยการทำร้ายร่างกายด้วยวิธีใดก็ตาม เช่น ฆ่าข่มขืน ฯลฯ สิ่งต่าๆ ที่เป็นภัยดังกล่าวนั้น ไม่มีความเกี่ยวข้องกับอิสลามเลยแม้แต่น้อย แม้ว่าผู้ที่กระทำการชั่วร้าย ดังกล่าวจะอ้างตนว่าเป็นมุสลิมก็ตาม
ดังโองการจากอัลกุรอาน
“แท้จริง บรรดาผู้ชอบที่จะให้เรื่องบัดสีแพร่หลายไปในหมู่ผู้ศรัทธานั้น
พวกเขาจะได้รับการลงโทษอย่างเจ็บปวด ทั้งในโลกนี้และโลกหน้า”
(อันนูร : 19)
“และบรรดาผู้กล่าวร้ายแก่บรรดาผู้ศรัทธาชายและบรรดาผู้ศรัทธาหญิง ในสิ่งที่พวกเขามิได้กระทำ
แน่นอนพวกเขาได้แบกการกล่าวร้าย และบาปอันชัดแจ้งไว้”
(อัลอะห์ซาบ : 58)
โองการเหล่านี้สนับสนุนความหมายของหะดิษนี้ อีกนัยหนึ่งอิสลามในคำกล่าวของนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม มิได้หมายถึงรากฐานของการศรัทธา แต่หมายความรวมของกฎเกณฑ์ที่จำเป็น อาจกล่าวได้ว่าไม่ใช่มุสลิมแท้ หากมุสลิมทั้งหลายมิได้รับความปลอดภัยจากเขา
ศาสนาอิสลามแบ่งเป็น 2 ภาค คือ ภาคพิธีกรรมและภาคสังคม เขาจะเป็นมุสลิมที่สมบูรณ์ไม่ได้หากยังไม่ได้หลอมรวมทั้ง 2 ภาคเข้าด้วยกัน
อย่างไรก็ตาม การให้ความปลอดภัยแก่มุสลิมนั้นมิใช่เป็นบทสรุปของศาสนา หากแต่เป็นเพียงส่วนหนึ่งที่จำเป็นต้องมีและจะไม่สมบูรณ์ถ้าไม่มีสิ่งนี้ ประการหนึ่งเราจะกล่าวว่า “ไม่ใช่มนุษย์ถ้าไม่มีศีรษะ” หรือ “ไม่มีความบันเทิงในโลกนี้ ถ้าไม่มีดวงตาที่มองเห็น” หมายความว่า มนุษย์ไม่อาจขาดศีรษะและ ดวงตา แต่ไม่ได้หมายความว่า เมื่อมีศีรษะแล้วไม่จำเป็นต้องมีหัวใจ หรืออวัยวะอื่นๆ ที่สำคัญ หรือมีดวงตาแล้วไม่จำเป็นต้องมีหูไว้ฟังและมีจมูกไว้หายใจ เป็นต้น
ถ้าพิจารณาทางด้านภาษา จะพบความแตกต่างระหว่างประโยค กับประโยค หากหะดีษนี้สื่อความหมายถึงประโยคหลังก็จะหมายถึงอิสลามก็มีด้านสังคมแห่งความปลอดภัย แต่ถ้าหะดิษนี้สื่อความหมายถึงประโยคแรก จะหมายถึง การให้ความปลอดภัยนั้นจำเป็นในอิสลาม ตัวบทหะดีษจะบ่งบอกถึงการมีปฏิสัมพันธ์ที่ดีกับสิ่งที่ถูกสร้าง ไม่ต้องมีปฏิสัมพันธ์กับผู้สร้าง
หากมีผู้กล่าวว่ามีหะดีษของท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม “ไม่เรียกว่า ละหมาดถ้าไม่อ่านฟาติฮะห์” ในที่นี้มิได้หมายความว่า อนุญาตให้ละทิ้งกฎเกณฑ์ทั้งหมดของการละหมาด เช่น การปกปิดร่างกาย การผินหน้าไปทางกิบละฮฺ หรือละทิ้งการรุกั๊วะอฺ การสุญูด หากแต่ละกฎเกณฑ์ แต่ละเงื่อนไขนั้นจำเป็นต้องมีอยู่
อนึ่ง ทางด้านชะรีอะฮฺ (นิติบัญญัติอิสลาม) นั้นให้ความสำคัญอย่างมากกับเรื่องพิธีกรรมที่เกี่ยวเนื่องกับหลักศรัทธา ดังเช่น โองการจากอัลกุรอาน
“หากพวกเขาสำนึกผิด ละหมาดและบริจาคซะกาต ถือว่าพวกเจ้าเป็นพี่น้องทางศาสนา”
(อัตเตาบะห์ : 11)
อิสลามถือว่าความเป็นพี่น้องกันทางด้านศาสนาขึ้นอยู่กับการดำรงการละหมาด และการบริจาคซะกาต ไม่ใช่เป็นมุสลิมแต่เพียงกล่าวชะฮาดะฮฺที่ปลายลิ้นเท่านั้น
จากหะดิษของนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ข้างต้น จะพบว่าเป็นหะดีษที่มุ่งเน้นให้ประชาชาติของท่านมีความรัก ความสามัคคี เอื้ออาทรต่อกัน ไม่ทำร้ายกัน สนับสนุนให้ทำความดี ห่างไกลจากการประพฤติชั่ว คำกล่าวของท่านน่าจะทำให้มุสลิมได้ฉุกคิดและหันมามองมุสลิมด้วยสายตาที่สร้างสรรค์ เอื้อประโยชน์ต่อกัน เพราะการทำลายสังคมมุสลิมเท่ากับทำลายตนเอง มุสลิมจะเสื่อมศรัทธาในสายตาของชาวโลก
การฝ่าฝืนคำกล่าวของนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ด้วยการโพสต์ข้อความลงในเวบไซต์หรือสื่อใดก็ตามที่เสียดสี ด่าทอ นินทา เพื่อกล่าวร้าย ประจาน หรือเพื่อให้ผู้อื่นได้รับรู้ การกระทำเช่นนั้นเป็นการเพิ่มศรัทธากับผู้ถูกกล่าวหา และลดศรัทธา (อีหม่าน) ของผู้กล่าวหา ดังนั้น ใครก็ตามที่มือหรือปากของเขายังให้ร้ายป้ายสีผู้อื่น ความเป็นมุสลิมของเขาก็ยังคงอยู่แต่ไม่สมบูรณ์ เพราะอิสลามครอบคลุมทั้งภาคพิธีกรรมและภาคสังคม แม้ว่าเขาจะปฏิบัติศาสนกิจอย่างเคร่งครัด แต่บกพร่องทางภาคสังคมเขาก็มิอาจเป็นมุสลิมที่แท้ได้
ที่มา : วารสารมุสลิม กทม.