การรำลึกถึงอัลลอฮฺเป็นลักษณะของมุตตะกีน
มนุษย์ทุกคนอยากจะมีชีวิตอยู่ในโลกนี้อย่างสุขสบาย ราบรื่น ไม่อยากจะให้มีความขุ่นหมองใดๆ เข้ามารบกวนแม้แต่น้อย แต่ชีวิตของมนุษย์นั้นมีหลายแง่หลายมุม เพราะการใช้ชีวิตประจำวันของแต่ละคนนั้นจะเริ่มจากตัวของเขาเอง เขาจะต้องอยู่กับครอบครัว จะต้องมีเพื่อนบ้าน จะต้องคบค้าสมาคมกับผู้อื่นแต่มีสิ่งสำคัญที่เป็นจุดยอดของความสำคัญก็คือ ครอบครัวของเรา
ความจริงการดูแลเอาใจใส่ของครอบครัวของเราก็ดี การแสวงหาทรัพย์สินและรักษามันไว้นั้น บัญญัติศาสนาถือเป็นหน้าที่อันสำคัญที่สุดที่มุสลิมทุกคนจะต้องปฏิบัติ แต่ก็มิได้หมายความว่าให้ทุ่มเทเวลาทั้งหมดให้แก่การดูแลครอบครัวและทรัพย์สิน หากแต่บัญญัติศาสนาใช้ให้เราแบ่งเวลาไว้ศึกษาด้วย เพราะความไม่รู้เรื่องของศาสนาใช้ให้เราแบ่งเวลาไว้ศึกษาด้วย เพราะความไม่รู้เรื่องของศาสนานั้นย่อมทำให้ การดูแลครอบครัวและทรัพย์สินไม่อยู่ในแนวทางที่ถูกต้อง ดังเป็นที่ประจักษ์กันดีอยู่แล้วในสังคมมนุษย์ยุคปัจจุบันนี้
อัลกุรอาน ได้แจ้งให้เราได้ทราบถึงลักษณะของผู้ศรัทธาอีมานว่า เมื่อเขากระทำสิ่งที่น่ารังเกียจที่ไม่ชอบธรรมหรือกระทำความผิดใดๆ ก็ตาม คือ ได้กระทำหรือปฏิบัติสิ่งใดซึ่งทำให้อัลลอฮฺทรงกริ้วแล้ว เขาก็รำลึกถึงพระองค์ รำลึกถึงสัญญาของพระองค์และคำเตือนของพระองค์ ที่จะลงโทษแก่ผู้ฝ่าฝืนบัญญัติของพระองค์ แล้วเขาขออภัยโทษต่อพระองค์ทันทีในความผิดที่เขาได้กระทำเอาไว้โดยไม่ดื้อรั้นที่จะกระทำความชั่วซ้ำแล้วซ้ำอีก
อนึ่ง เมื่อเราเห็นคนหนึ่งคนใดกระทำการฝ่าฝืนหรือความผิดอยู่เป็นประจำ โดยที่เขาพึงพอใจในการกระทำความผิดอยู่เป็นประจำ และว่าเป็นการกระทำที่ถูกต้องเหมาะสมแล้วและภูมิใจว่าตนกระทำไปด้วยความรับผิดชอบ โดยไม่นำพาต่อการทักท้วงและการตักเตือนของผู้อื่นแล้ว แน่นอนการกระทำของเขาดังกล่าวนั้นย่อมเป็นสิ่งที่ยืนยันและชี้ให้เห็นว่าเขาไม่มีความศรัทธาและไม่มีความเชื่อมั่นต่ออัลลอฮฺด้วยความจริงใจ
เพราะลักษณะของผู้มีความยำเกรงต่ออัลลอฮฺ คือ “อัลมุตตะกีน” นั้น เขาจะดำเนินชีวิตอยู่ในกรอบของศาสนา มีการละหมาดที่ถูกต้อง บริจาคซะกาตโดยมิได้หวังการตอบแทนหรือการขอบอกขอบใจจากผู้ใด บุคคลประเภทนี้เมื่อเขาได้กระทำการผิดพลาดใดๆ จะด้วยสาเหตุใดก็ตาม เขาจะสำนึกผิดกลับเนื้อกลับตัวโดยฉับพลัน
ดังที่อัลลอฮฺตะอาลาได้กล่าวชมเชย และจะตอบแทนความดีให้แก่เขาในอัลกุรอานในอายะฮฺที่ว่า
“และบรรดาผู้ที่เมื่อพวกเขากระทำสิ่งที่ชั่วช้า หรืออธรรมแก่ตัวของพวกเขาเอง พวกเขาก็รำลึกถึงอัลลอฮฺและขออภัยโทษในความผิดของพวกเขา แล้วใครเล่าจะอภัยโทษในความผิดต่างๆ นอกจากอัลลอฮฺ และพวกเขาไม่ดื้อรั้นกระทำในสิ่งที่พวกเขาได้กระทำมาแล้วทั้งๆ ที่พวกเขาก็รู้อยู่แก่ตัวเอง
ชนเหล่านี้แหละ การตอบแทนของพวกเขา ก็คือ การอภัยโทษจากพระเจ้าของเขา และสวนสวรรค์หลากหลาย มีแม่น้ำหลายสายไหลผ่านภายใต้มัน โดยพวกเขาจะพำนักอยู่ในนั้นตลอดกาล และรางวัลของบรรดาผู้กระทำเช่นนั้นช่าง ดีเลิศแท้”
อีกลักษณะหนึ่งของมุอฺมินผู้ศรัทธาก็คือ การรักษาสัญญาที่ได้ให้ไว้แก่ผู้อื่น เพราะเขาตระหนักดีว่า การผิดสัญญานั้นเป็นลักษณะหนึ่งของพวกมุนาฟิกีน และบุคคลจำพวกนี้จะได้รับโทษหนักที่สุด คือ อยู่ในนรกชั้นต่ำสุด ดังที่อัลลอฮฺตะอาลา ทรงแจ้งให้เราทราบแล้วในอายะฮฺที่ว่า 4:145
“แท้จริงพวกมุนาฟิกีนนั้นอยู่ในนรกชั้นต่ำสุด และเจ้าจะไม่เห็นผู้ช่วยเหลือใดๆ แก่พวกเขา”
การที่อัลลอฮฺตะอาลาทรงกำหนดโทษอย่างหนักแก่ผู้ไม่รักษาสัญญานี้ก็เพราะว่า การทำสัญญาหรือการทำข้อตกลงต่อกันนั้น เป็นสิ่งที่มีบทบาทมากในสังคมมนุษย์ การทำสัญญาหรือข้อตกลงระหว่างกันนั้นเป็นการประกันความสงบสุขและจะทำให้มนุษย์อยู่ร่วมกันโดยสันติ ซึ่งการรักษาคำมั่นสัญญาหรือข้อตกลงนั้น สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของอัลลอฮฺตะอาลา ที่ให้ศาสนามาเพื่อให้มนุษย์อยู่ร่วมกันอย่างสันติและสงบสุข แต่ถ้าสัญญาหรือข้อตกลงนั้นถูกละเลยหรือไม่นำพากันแล้ว ก็ย่อมจะนำมาซึ่งความยุ่งยากและความปั่นป่วนของมนุษย์เอง
ด้วยเหตุนี้การผิดสัญญาหรือข้อตกลงจึงเป็นลักษณะหนึ่งของ พวกมุนาฟิก ซึ่งโทษของมันก็เป็นที่รับทราบกันแล้วทั้งในอัลกุรอานและวจนะของท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม
อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ทรงกล่าวไว้ในอายะฮฺที่ว่า
“โอ้บรรดาผู้ศรัทธาเอ๋ย ! พวกเจ้าจงยำเกรงอัลลอฮฺเถิด และจงให้แต่ละชีวิตพิจารณาสิ่งที่เตรียมไว้สำหรับวันพรุ่ง
พวกเจ้าจงยำเกรงอัลลอฮฺเถิด แท้จริงอัลลอฮฺนั้นทรงตระหนักดีถึงสิ่งที่พวกเจ้ากระทำ
และพวกเจ้าอย่าเป็นเช่นบรรดาผู้ลืมอัลลอฮฺ แล้วพระองค์ก็จะให้พวกเขาลืมตัวของพวกเขาเอง ชนเหล่านั้นแหละพวกเขาคือ ผู้ฝ่าฝืน”
เรื่องของการลืมอัลลอฮฺ และการลืมตัวเองนั้น ผู้ที่มีบทบาทสำคัญและเป็นเจ้ากี้เจ้าการในเรื่องนี้ก็คือ ชัยฏอนมารร้าย ศัตรูตัวสำคัญของมนุษย์ หน้าที่ประจำของมันที่มีต่อมนุษย์เป็นประจำทุกวันเวลาก็คือ การเสี้ยมสอน การขัดขวางมิให้กระทำความดี ล่อลวง การกระซิบกระซาบ การชี้แนะไปสู่การกระทำความชั่ว
แต่ถ้ามนุษย์ที่มีความนึกคิดและไม่ลืมอัลลอฮ์แล้ว เมื่อเขาประสบกับสิ่งต่างๆ เหล่านั้นเขาจะไม่หลงกล เขาจะสลัดความคิดผิดๆ หรือการล่อลวงที่เจ้าชัยฏอนมากระซิบกระซาบนั้นออกไปโดยสิ้นเชิง และจะไม่ใยดีต่อมัน เพราะเขาตระหนักดีว่ามันนั้นคือศัตรูของเขา ที่พวกมันเรียกร้องไปสู่ความชั่ว ความเลวทราม พวกมันมีแต่ความประสงค์ร้ายที่จะเรียกร้องเชิญชวนไปอยู่ในแนวร่วมของมัน
ดังนั้น ไม่ว่านักเชิญชวนชั้นเลวๆ หรือชัยฏอนมารร้าย หรืออารมณ์ร้ายที่เกิดขึ้นชั่วครั้งชั่วคราวก็ดี เหล่านี้ทั้งหมดล้วนแต่เป็นศัตรูกับชีวิตมุสลิมทั้งสิ้น เป็นแผนร้ายของชัยฏอนและเป็นสิ่งชี้นำให้มนุษย์คอยแต่ทำความชั่วอยู่ร่ำไป
ด้วยเหตุนี้อัลลอฮฺตะอาลาจึงได้กำชับไว้ในคัมภีร์ของพระองค์ในอายะฮฺที่ว่า
“แท้จริง ชัยฏอนนั้นเป็นศัตรูของพวกเจ้า ดังนั้น พวกเจ้าจงเอามันเป็นศัตรู
แท้จริง มันเรียกร้องพวกของมัน เพื่อให้พวกเขาเป็นชาวนรก”
และอีกอายะฮฺหนึ่งที่ว่า
“ชัยฏอนนั้นมันจะขู่พวกเจ้าให้กลัวความยากจน และจะใช้พวกเจ้าให้กระทำความชั่ว
และอัลลอฮฺนั้นทรงสัญญาแก่พวกเจ้าไว้ซึ่งการอภัยโทษ และความกรุณามาจากพระองค์
และอัลลอฮฺนั้นเป็นผู้ทรงไพบูลย์ ผู้ทรงรอบรู้”
ดังนั้น มนุษย์จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีการผูกพันอยู่กับอัลลอฮฺตะอาลาเสมอ คือ จะต้องรำลึกนึกถึงพระองค์อยู่เป็นประจำทุกอิริยาบถ ซึ่งเราก็ได้ทราบกันดีแล้วถึงการรำลึกถึงพระองค์ตั้งแต่ตื่นนอนจนกระทั่งจะเข้านอน แต่ถ้าเขาลืมพระองค์เล่า เจ้าชัยฏอนก็จะถือโอกาสเข้ามากระซิบกระซาบกับเขา และมันจะใช้ความพยายามครั้งแล้วครั้งเล่า เพื่อให้เขาเข้าไปอยู่ในแนวร่วมของมัน
แต่ถ้าคราใดที่เขารำลึกถึงอัลลอฮ์ อยู่เสมอ กลัวว่าพระองค์ทรงรู้ ทรงเห็นการกระทำของเขาแล้ว เขาก็ระงับการกระทำที่เห็นว่าไม่ถูกต้อง ไม่ควรและไม่ดีงาม ในกรณีเช่นนี้ชัยฏอนก็หมดโอกาส มันจะละเหี่ยใจและกล่าวขึ้นด้วยความเสียใจว่า เขาผู้นี้ได้มีชัยชนะเหนือมันแล้ว
สำหรับผู้ที่มีการรลึกถึงอัลลอฮฺตะอาลาอยู่เสมอ และมีความยำเกรงต่อพระองค์ เขาจะรำลึกถึงดำรัสของอัลลอฮฺที่ได้ตรัสไว้ในอายะฮฺที่ว่า
“แท้จริงบรรดาผู้ยำเกรงนั้น เมื่อกลุ่มชัยฏอนประสบกับพวกเขา พวกเขาก็รำลึกขึ้นมาได้
แล้วทันใดนั้นพวกเขาก็มองเห็น(หมายถึงมองเห็นการยั่วยุของชัยฏอน และการหลีกเลี่ยงให้รอดพ้นไปได้)
และพี่น้องของพวกมันก็จะช่วยเหลือพวกมันในการหลงผิด แล้วพวกเขาก็จะไม่ลดละ”
มุอฺมินผู้มีสติปัญญานั้น เขาตระหนักดีว่าชัยฏอนไม่เคยลืมเขาเลย มันคอยที่จะชักจูงให้ทำความชั่วอยู่ร่ำไป เพื่อมันจะได้ปิดกั้นมิให้เขาเข้าถึงการฏออัต เชื่อฟังและปฏิบัติตามอัลลอฮ์และร่อซูลของพระองค์ มันจะชักชวนให้เขาหมกมุ่นอยู่ในความผิดและการกระทำบาป หากเขาเชื่อฟังยอมตกเป็นทาสของมันแล้ว เขาจะถูกประทับตราลงบนหัวใจของเขา แล้วเขาก็จะเป็นคนหนึ่งในหมู่ผู้หลงลืม
“หาใช่เช่นนั้นไม่ แต่สิ่งที่พวกเขากระทำไว้ (คือความผิดบาปต่างๆ) ได้ปกคลุมหัวใจของพวกเขาเสียแล้ว”
มุอฺมินผู้มีปัญญาเขาจะถือว่าชัยฏอนเป็นศัตรูตัวฉกาจของเขา เขาจะไม่เปิดโอกาสให้มันเข้ามาเบียบแทรกอยู่ในตัวของเขาได้ เขาจะคิดอยู่เสมอว่าอัลลอฮฺเท่านั้นเป็นผู้ทรงยิ่งใหญ่ พระองค์ทรงเห็นเขาอยู่ตลอดเวลา เขาจึงมีความละอายต่อพระองค์ เขาจะไม่กระทำใดโดยลำพัง เขาจะต้องกระทำโดยเปิดเผยเมื่อสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่ถูกต้อง เขาจะไม่ดื้อรั้นกระทำในสิ่งที่เขารู้ว่าเมื่อกระทำสิ่งนั้นลงไปจะเกิดความเดือดร้อน เพราะสิ่งนั้นๆ เป็นสิ่งไม่ถูกต้อง เพราะเขารำลึกอยู่เสมอในดำรัสของอัลลอฮ์ ตะอาลาในอายะฮฺที่ว่า
“และพระองค์ทรงอยู่พร้อมกับพวกเจ้า ไม่ว่าพวกเจ้าจะอยู่ ณ ที่ใดก็ตาม”
ที่มา : อัลอิศลาห์ สมาคม บางกอกน้อย