ความสำคัญของการศึกษา
  จำนวนคนเข้าชม  11164

 

ความสำคัญของการศึกษา

 

โดย อาจารย์ หะซัน เพชรทองคำ

 

          ท่านพี่น้องผู้ศรัทธาทั้งหลาย จงยำเกรงอัลลอฮฺ อย่างจริงจัง เพราะการยำเกรงและเชื่อฟังในบทบัญญัติของพระองค์นั้นเป็นเสบียงที่ดียิ่งสำหรับพวกท่าน ทั้งในดุนยาและอาคิเราะฮฺ

 

          ท่านพี่น้องผู้ศรัทธาทั้งหลาย จงยำเกรงอัลลอฮฺอย่างจริงจังและท่านทั้งหลาย จงกล่าวถ้อยคำที่ เที่ยงธรรมเถิด พระองค์จะทรงปรับปรุงการงานของพวกท่านให้ดีขึ้น และจะทรงอภัยโทษจากความผิดของพวกท่านให้กับท่าน ผู้ใดเชื่อฟังและปฏิบัติตามอัลลอฮฺ  และร่อซูล ของพระองค์แล้ว แน่นอนเขาจะได้รับความสำเร็จอันใหญ่หลวง

 

         ท่านพี่น้องผู้ศรัทธาทั้งหลายครับ อิสลามให้ความสำคัญกับการศึกษา เพราะการศึกษา ถือเป็นสิ่งที่ มีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับมนุษย์ทุกคน ในการดำเนินชีวิตในด้านต่างๆ นั้น จำเป็นต้องอาศัยวิชาความรู้ทั้งสิ้น อิสลามจึงได้ส่งเสริมและสนับสนุนให้มนุษย์นั้นศึกษาหาความรู้ ดังปรากฏในห้าอายะฮฺแรก ของ ซูเราะฮฺ อัลอะลัก ที่อัลลอฮฺ  ได้ตรัสว่า

 

จงอ่านด้วยพระนามแห่งพระผู้อภิบาลของเจ้า ผู้ทรงบังเกิด (พระองค์) ทรงบังเกิดมนุษย์จาก ก้อนเลือด

จงอ่านเถิด และพระผู้อภิบาลของเจ้านั้น ทรงใจบุญยิ่ง

ผู้ทรงสอนการใช้ปากกา ผู้ทรงสอนมนุษย์ในสิ่งที่เขาไม่รู้

 

          เราทุกท่านคงทราบกันดีว่า ซูเลาะฮฺ อัลอะลัก ในห้าอายะฮฺแรกนั้น ได้ถูกประทานลงมาเป็นครั้งแรกในขณะที่ท่านนบีมุฮัมมัด  ปลีกตัวจากผู้คนเข้าไปอยู่ในถ้ำ เพื่อเป็นการหลีกหนีจากการบูชาเจว็ด ที่ผู้คนทั้งหลายต่างให้การเคารพบูชา และเป็นการแสวงหาสัจธรรมในการค้นหาพระผู้เป็นเจ้าที่แท้จริงด้วย

   อัลลอฮฺ  จึงได้ทรงบัญชาใช้ให้ท่านญิบรีล นำวะฮีย์ลงมาสู่ท่าน 

   และท่านญิบรีล ได้กล่าวแก่ท่านนบีมุฮัมมัด  ว่าจงอ่านถึงสามครั้ง 

   แต่ทุกครั้งท่านนบีมุฮัมมัด  ก็ได้ตอบว่าฉันอ่าน ไม่เป็น” 

   สิ่งที่ท่านนบีมุฮัมมัด  ได้กล่าวนั้น เป็นความจริง (เพราะท่านไม่สามารถอ่านออกเขียนได้

   แต่ที่ท่านญิบรีล ได้บอกให้ท่านอ่านนั้น เป็นการบอกอย่างมีนัยว่า อิสลามไม่อนญาตให้มนุษย์อยู่ในสภาพของการไม่รู้หนังสืออย่างเด็ดขาด 

 

          ด้วยเหตุนี้ จะเห็นว่าทุกครั้งที่ท่านนบีมุฮัมมัด  ตอบว่าฉันอ่าน ไม่เป็นท่านญิบรีล จะกอดรัดตัวท่าน การกระทำของท่านญิบรีล ชี้ให้เห็นว่าในฐานะนบีของอัลลอฮฺ จำเป็นต้องเป็นต้นแบบและจุดประกายมนุษย์ให้หลุดพ้นจากการไม่รู้หนังสือ และหันมาให้ความสนใจ ต่อการอ่านและ การเรียนรู้ นี่คือ แก่นแท้ของความรู้ในทัศนะอิสลาม 

 

          อัลลอฮฺ  ได้ทรงสั่งย้ำถึงคำว่าจงอ่านไว้ถึงสองครั้งในซูเราะฮฺ อัลอะลัก ที่ถูกประทานลงมา เพื่อบอกให้มนุษย์ได้อ่าน (ศึกษา) จนกระทั่งถึงวันปรโลก (กิยามะฮฺ) จะมีศาสนาอื่นใดอีกหรือไม่ ? ที่รูปแบบของคัมภีร์ ทฤษฎี ปรัชญาและแนวคิด ได้กำชับให้มนุษย์ตระหนัก และให้ความสำคัญกับการอ่าน เหมือนดังที่ปรากฏในโองการแรกของอัลกุรอาน

 

          ท่านพี่น้องผู้ศรัทธาทั้งหลาย วิชาความรู้จึงเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับมุสลิมทุกคนควรจะต้องมี เพราะความรู้นี้เอง จะเป็นตัวแบ่งแยกมนุษย์ออกจากกัน ดังดำรัสของอัลลอฮฺ ที่ได้ตรัสไว้ในซูเราะฮฺ อัซซุมัร อายะฮฺที่ 9 ว่า

 

จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) บรรดาผู้รู้ และบรรดาผู้ไม่รู้จะเท่าเทียมกันหรือ?

แท้จริง บรรดาผู้มีสติปัญญาเท่านั้นที่จะใคร่ครวญ

 

          ในอายะฮฺนี้ อัลลอฮฺได้ทรงถามท่านนบีว่า ผู้ที่มีความรู้กับผู้ที่ไม่มีความรู้นั้น แตกต่างกันหรือไม่? และพระองค์ก็ได้ทรงเฉลยว่า ผู้ที่มีความรู้นั้น จะเป็นผู้ที่คิดใคร่ครวญในเรื่องต่างๆ ซึ่งเป็นการบอกกล่าวให้ทราบว่า ผู้ที่มีความรู้สามารถแยกแยะสิ่งต่างๆ ได้ดีกว่าผู้ที่ไม่มีความรู้ ดังนั้น ผู้ที่มีความรู้ความสามารถ และสามารถคิดใคร่ครวญได้นั้น จะต้องดีกว่าประเสริฐกว่า ผู้ที่ไม่มีความรู้อย่างแน่นอน

 

          การแสวงหาวิชาความรู้ จะทำให้ผู้ที่แสวงหาวิชาความรู้เป็นผู้ที่มีความรู้ที่ถูกต้องและชัดจริง อีกทั้งการแสวงหาความรู้ นอกจากผู้แสวงหาความรู้จะได้รับความรู้ แล้วยังได้รับคุณงามความดีจากการแสวงหาความรู้นั้นๆ อีกด้วย 

 

ดังมีรายงานจากท่านอบู ฮุรอยเราะฮฺ (ร่อฎิยัลลอฮุอันฮุ) ว่า ท่านร่อซูล  ได้กล่าวว่า

          “และผู้ใดที่แสวงหาเส้นทางเพื่อค้นหาวิชาความรู้ อัลลอฮฺก็จะอำนวยความสะดวกเส้นทางสู่สวรรค์แก่เขา เนื่องเพราะการแสวงหาความรู้

(บันทึกโดย อิมาม มุสลิม)

 

และอีกรายงานหนึ่งจากท่านอบู อัด-ดัรดาอฺ กล่าวว่า ท่านนบี  กล่าวว่า

 

           “ผู้ใดที่แสวงหาหนทางเพื่อให้ได้รับความรู้ อัลลอฮฺก็จะนำเขาไปสู่หนทางของสวนสวรรค์ และมลาอิกะฮฺจะกางปีกเพื่อแสดงความยินดีต่อผู้แสวงหาวิชาความรู้ และสำหรับผู้รู้นั้น จะมีผู้ขออภัยโทษให้แก่เขา ทั้งสิ่งที่อยู่ในชั้นฟ้าและที่อยู่ในแผ่นดิน แม้กระทั้งบรรดาฝูงปลาในท้องทะเล

          แท้จริง ความประเสริฐของผู้ที่มีความรู้ (อาลิม) เหนือผู้ที่เคารพภักดีเพียงอย่างเดียว (อาบิด) เปรียบเสมือนดวงจันทร์เต็มดวง ที่เหนือกว่าบรรดาหมู่ดาว

          แท้จริง บรรดาผู้ที่ความรู้ (อุละมาอฺ) พวกเขานั้นเป็นทายาทของบรรดานบี (อันบิยาอฺ) บรรดานบีไม่ได้ทิ้งมรดกไว้เป็นเงินดีนารหรือดิรฮัม แต่ทว่า ได้ทิ้งวิชาความรู้ไว้เป็นมรดก ดังนั้นผู้ใดที่ได้ครอบครองมันไว้ ถือว่าเขาได้ครอบครองส่วนที่ดีเลิศมากแล้ว

(บันทึก โดย อบู ดาวูด)

          ความรู้ในที่นี้ หมายถึง ความรู้ทั้งในเรื่องศาสนาและความรู้ในเรื่องทั่วๆ ไป เพราะจริงๆ แล้ว ความรู้ทั้ง 2 แขนงนี้ มีความจำเป็นสำหรับมนุษย์ในการใช้ชีวิต ดังมีรายงานจากท่าน อนัส อิบนุ มาลิก กล่าวว่า ท่านร่อซูล  กล่าวว่า

 

การศึกษาหาความรู้นั้น เป็นหน้าที่จำเป็นสำหรับมุสลิมทุกคน

(บันทึกโดย อิบนุ มาญะอฺ)

 

          มุสลิมทุกคน ต้องศึกษาหาความรู้ ไม่ว่าจะเป็นความรู้ในเรื่องของศาสนา หรือความรู้ทางโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การเรียนรู้ศึกษาเรื่องราวของศาสนา เพราะจุดประสงค์ของการดำเนินชีวิตของบรรดา ผู้ศรัทธานั้นก็คือ การภักดีต่ออัลลอฮฺ ดังที่พระองค์ได้ตรัสว่า

 

และข้ามิได้สร้างญิน และมนุษย์เพื่ออื่นใด เว้นแต่เพื่อเคารพภักดีต่อข้า

(อัซซาริย๊าต 51:56)

 

          ในขณะเดียวกัน เราก็จะต้องคำนึงถึงจุดประสงค์หลักอีกจุดประสงค์หนึ่งที่อัลลอฮฺทรงสร้างมนุษย์ ครั้งที่พระองค์ได้ตรัสแก่บรรดามลาอิกะฮฺ ในซูเราะฮฺ อัลบะเกาะเราะฮ อายะฮฺที่ 30 ว่า

 

และจงรำลึกถึง ขณะที่พระเจ้าของเจ้าได้ตรัสแก่มลาอิกะฮฺว่า แท้จริง ข้าจะให้มีผู้แทนคนหนึ่งบนหน้าแผ่นดิน

 

          หมายถึง หน้าที่หลักอีกหน้าที่หนึ่ง ที่อัลลอฮฺได้ทรงสร้างมนุษย์ขึ้นมา คือ เป็นตัวแทนของพระองค์จัดการทรัพย์สินบนพื้นแผ่นดิน ตามที่พระองค์ทรงบัญชา ดังนั้น การแสวงหาความรู้ทางศาสนานั้น จึงเป็นหน้าที่หลัก เพื่อนำพาให้เรานั้น สามารถผ่านพ้นการใช้ชีวิตในโลกดุนยาได้อย่างปลอดภัย ห่างไกลจากการทำผิดต่างๆ เพื่อป้องกันตนเองให้พ้นจากการลงโทษในวันอาคิเราะฮฺ

          เพราะเป้าหมายสูงสุดของมุสลิมทุกคนก็คือ การผ่านการทดสอบในโลกดุนยานี้อย่างง่ายดาย และใช้ชีวิตอย่างสุขสบาย อย่างถาวรในโลกอาคิเราะฮฺ ซึ่งสิ่งที่ได้กล่าวมานั้น จำเป็นอย่างยิ่งที่เราจะต้องเรียนรู้วิธีการในการใช้ชีวิต และหาแนวทางป้องกันตัว เพื่อให้เรานั้นไปถึงจุดมุ่งหมายสูงสุด

 

           ชัยคุลอิสลาม ท่านอิบนุ ตัยมียะฮฺ ร่อฮิมะฮุลลอฮฺ ได้กล่าวว่ามนุษย์มีความจำเป็นต่อวิชาความรู้ทางด้านศาสนา มากยิ่งกว่าที่พวกเขามีความจำเป็นในด้านอาหารและเครื่องดื่มเสียอีก

 

          ท่านพี่น้องผู้ศรัทธาทั้งหลาย ความรู้ที่ยังประโยชน์ คือ ความรู้ที่เราได้สอนเอาไว้ และมีผู้คนได้นำคำสอนของเราไปปฏิบัติใช้อยู่ตลอดเวลา ถึงแม้นว่าเรานั้น จะสิ้นชีวิตตายจากไปแล้วก็ตาม ความรู้ดังกล่าว ได้รับการยืนยันจากท่านนบี  แล้วว่า ผู้ที่ให้ความรู้ไว้นั้น จะได้รับผลบุญอยู่ตลอดเวลา ตราบใดที่ยังมีผู้คนนำความรู้นั้นไปปฏิบัติใช้ ดังฮะดิษของท่าน อบู ฮุรอยเราะฮฺ (ร่อฎิยัลลอฮุอันฮุ) ท่านนบี  กล่าวว่า

 

เมื่อลูกหลานของอาดัมได้เสียชีวิต การงานของเขาจะถูกตัดขาดลง ยกเว้นเพียงสามประการ

คือ การบริจาคทานที่ถาวร ความรู้ที่ยังประโยชน์ หรือบุตรที่ดีขอดุอาอฺให้กับเขา

(บันทึกโดย อิมาม มุสลิม)

 

          ท่านพี่น้องผู้ศรัทธาทั้งหลาย จากสิ่งที่ได้กล่าวมาทั้งหมดนี้ ไม่ว่าจะด้วยถ้อยคำในอัลกุรอานและฮะดิษ จะเห็นได้ว่า ศาสนาอิสลามได้ให้ความสำคัญกับการแสวงหาความรู้เป็นอย่างมาก หลายท่านคงเคย ได้ยินคำกล่าวที่ว่า

 “การศึกษาเริ่มขึ้นตั้งแต่อยู่ในเปล จนกระทั่งลงหลุม” 

         นั่นแสดงว่า การศึกษาหาความรู้ไม่ได้จำกัดเฉพาะผู้ใหญ่เท่านั้น แต่การศึกษาได้รวมไปถึงเด็กๆ ทั้งหลายด้วย และไม่ได้จำกัดว่า จะต้องเป็นช่วงเวลาใดเวลาหนึ่งแต่หมายถึงทุกๆ ช่วงเวลา คือ การแสวงหาความรู้ พ่อแม่ ผู้ปกครอง ควรจะต้องเป็นตัวอย่างที่ดี ทั้งในด้านความคิดและการกระทำ หากพ่อ แม่ ผู้ปกครองเดินตามแนวทางที่ถูกต้อง เด็กๆ ก็จะพลอยประพฤติดีตามไปด้วย ท่านร่อซูล ได้กล่าวไว้ว่า 

 

          “เด็กทุกคนเกิดมาอย่างบริสุทธิ์ (แต่) พ่อ แม่ ต่างหากที่จะทำให้พวกเขาเป็นยะฮูดีย์ (ยิว) นัสรอนีย์ (คริสต์) หรือมะญูซีย์ (บูชาไฟ)

(บันทึกโดย อิมาม อัลบุคอรีย์ และอิมาม มุสลิม)

 

          ท่านพี่น้องผู้ศรัทธาครับ ท่านนบีได้บอกเราไว้ถึงสัญญาณส่วนหนึ่งของวันสิ้นโลก คือ การที่ความรู้จะถูกเก็บไป และความโง่เขลาจะมีอย่างแพร่หลาย จากหะดิษของอับดุลลอฮฺ บิน อัมรฺ บิน อัลอ๊าศ (ร่อฎิยัลลอฮุอันฮุ) กล่าวว่า ท่านนบี  กล่าวว่า

 

          “แท้จริง อัลลอฮฺจะไม่เก็บความรู้ด้วยการถอดถอนออกจากมนุษย์ แต่ทว่า จะเก็บความรู้ด้วยการให้บรรดาผู้รู้เสียชีวิต จนกระทั่งไม่มีผู้รู้หลงเหลืออยู่ ผู้คนก็จะยึดเอาคนโง่เขลาเป็นผู้นำ แล้วพวกเขาถูกถามปัญหา พวกเขาเหล่านั้น ก็ออกคำวินิจฉัยโดยไม่มีความรู้ ตัวพวกเขาเองก็ผิดพลาดและทำให้ผู้อื่นผิดพลาดไปด้วย

(บันทึกโดย อิมาม อัลบุคอรีย์ และอิมามมุสลิม)

 

          ท่านนบี  ได้บอกให้พวกเราทราบว่า ในยุคสุดท้ายก่อนวันกิยามะฮฺ ผู้ที่ให้ความสนใจในการใฝ่หาความรู้จะน้อยลงและผู้ที่มีความรู้ก็จะตายจากไป และจะมีผู้แอบอ้างตนว่าเป็นผู้รู้มากมาย หากเราหรือลูกหลานของเราไม่มีความรู้ ไม่มีความสามารถที่จะแยกแยะในสิ่งที่ถูก สิ่งที่ผิดได้ ลูกหลานของเรา ก็จะตกเป็นเครื่องมือของคนที่ไม่รู้จริงได้ และเมื่อนั้นแหละ ก็จะนำมาซึ่งความพินาศบนหน้าแผ่นดิน

 

          สุดท้าย ก็อยากที่จะฝากถึงผู้ปกครองทุกท่านว่า หน้าที่ที่สำคัญของพวกท่านก็คือ การทำให้ลูกหลานของท่านนั้น มีความรู้ มีการศึกษา จะเป็นความรู้แขนงไหนก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นด้านศาสนาหรือสามัญ เพราะการศึกษาถือเป็นสิ่งที่มีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับมนุษย์ทุกคน ถือเป็นอะมานะฮฺสำหรับผู้ปกครอง ในการสนับสนุนให้เด็กๆ ลูกหลานมีการศึกษาหาความรู้ เพราะการมีความรู้ จะนำมาซึ่งการพิจารณาตรึกตรอง และเมื่อเขาเหล่านั้นเติบโตขึ้น เขาก็จะมีการพิจารณาตรึกตรองว่า สิ่งใดถูก สิ่งใดผิด สิ่งใดควรทำ และสิ่งใดไม่ควรทำ ซึ่งการสั่งสมความรู้ให้กับเขาตั้งแต่ในวัยเด็ก ก็เปรียบเสมือนการมอบอาวุธในการป้องกันตัวไว้ให้แก่พวกเขานั่นเอง

 

 

ที่มาอนุสรณ์งานประจำปีโรงเรียนมุสลิมวิทยาคาร ปี 2560”