เพราะไม่ผิดสัญญา..
อาลี กองเป็ง
ท่านพี่น้องร่วมศรัทธาที่รัก
ในยุคการปกครองของท่านค่อลีฟะฮ์อุมัร บินคอฏฏ็อบ ได้มีชายหนุ่มสองคนลากชาย คนหนึ่งซึ่งเป็นชาวอาหรับบะดาวีย์ (อาหรับ) ที่อาศัยตามชนบทที่ห่างไกลจากตัวเมือง มาหยุดต่อหน้าท่านค่อลีฟะฮ์
ท่านค่อลีฟะฮ์จึงเอ่ยถามว่า พวกเจ้ามีอะไรกันหรือ?
ชายหนุ่มสองคนกล่าวตอบท่านอุมัรว่า “โอ้ผู้นำแห่งบรรดามุอ์มิน ชายผู้นี้ได้ฆ่าบิดาของพวกเรา”
ท่านค่อลีฟะฮ์ อุมัร ก็หันไปถามชายบะดาวีย์ว่า ท่านสังหารบิดาของพวกเขาจริงหรือ?
ชายบะดาวีย์กล่าวตอบว่า “ครับ” ฉันได้ฆ่าบิดาของพวกเขาจริง
ท่านค่อลีฟะฮ์อุมัร ถามต่อไปว่า ท่านฆ่าบิดาของพวกเขาด้วยวิธีใด ?
ชายบะดาวีย์จึงเล่าเหตุการณ์ให้ท่านค่อลีฟะฮ์อุมัร ฟังว่า บิดาของชายสองคนนี้ได้นำอูฐของเขาเข้ามาเลี้ยงในไร่ของฉันและฉันก็ไล่เขาแต่เขาไม่ยอมเชื่อฟัง ฉันจึงหยิบก้อนหินขว้างไปโดนศีรษะของเขาเป็นเหตุให้เขาได้ตายไป
ท่านค่อลีฟะฮ์อุมัร กล่าวขึ้นว่า เป็นการยอมรับโดยมิต้องไต่สวนเลยการกิซอซ (ให้ตายตามกันไป) ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ฮุก่มของอัลลอฮ์ เที่ยงธรรม ไม่ปรารถนาการโต้ตอบเพื่อหาทางออกเลย
ในขณะเดียวกันท่านค่อลีฟะฮ์อุมัร ก็ไม่ได้ถามความเป็นอยู่ของชายบะดาวีย์ว่าเป็นอย่างไร มีครอบครัวไหม มาจากเผ่าหรือตระกูลใด ฐานะของครอบครัวเป็นอย่างไรบ้างไม่ว่าชนชั้นใด ยากดีมีจน จะอยู่ในสังคมชั้นสูงหรือสูงศักดิ์ในวงศ์ตระกูล มันไม่ให้ความสำคัญแก่ท่านอุมัรเลย เพราะฮุก่มของอัลลอฮ์ ต้องดำเนินตามการตัดสินของพระองค์ ถึงแม้ว่าลูกของท่านได้ฆ่าคน ท่านอุมัรก็ต้องตัดสินด้วย การกิซอซ เช่นเดียวกัน
ชายบะดาวีย์ กล่าวว่า โอ้ท่านอะมีรุ้ลมุอ์มิน ฉันขอต่อท่านสักอย่างหนึ่งได้ไหม ด้วยพระนามของอัลลอฮ์ ผู้สร้างชั้นฟ้าและพื้นดินขอให้ท่านให้โอกาสฉันกลับบ้านเพื่อกลับไปหาภรรยาและลูกๆ ของฉันเพื่อฉันจะได้อำลาพวกเขาและบอกความจริงแก่พวกเขาว่าพรุ่งนี้ฉันจะต้องถูกประหารตามการตัดสินของท่านและฉันก็จะกลับมา ขอสาบานต่ออัลลอฮ์ ว่าไม่มีใครอุปการะดูแลพวกเขาเลยเว้นแต่อัลลอฮ์ ต่อมาก็ฉันนี่แหละที่ต้องดูแลและอุปการะพวกเขา
ท่านอุมัรกล่าวว่า ใครเล่าจะค้ำประกันว่าท่านจะกลับมา !
ขณะนั้นเหล่าซอฮาบะฮ์ต่างนิ่งเงียบเพราะพวกเขาไม่รู้ว่าชายบะดาวีย์ผู้นี้คือใคร บ้านอยู่ที่ไหน เผ่าอะไร มันมิใช่การค้ำประกันเพียงสิบดินาร ที่ดิน หรืออูฐ แต่มันคืการค้ำประกันด้วยชีวิต แล้วจะมีใครเล่ากล้าขัดขืนท่านอุมัรในการดำเนินตามฮุก่มของศาสนา และใครเล่าจะขอความอุทธรณ์ให้แก่เขา เขาทั้งหลายจึงนิ่งและเงียบสงบ
ท่านอุมัร จึงเกิดความรู้สึกงุนงงและเกิดความสับสน ระหว่างนำชายบะดาวีย์ไปลงโทษโดยการประหารและปล่อยให้ภรรยาและลูกๆ ของเขาอดอาหารและ อดตายไปในที่สุด หรือจะให้โอกาสเขาไปอำลาครอบครัวโดยไม่มีใครค้ำประกันให้เลย ฉะนั้นเลือดของคนถูกฆ่าก็จะกลายสภาพเป็นเลือดที่ไร้ค่า
ท่านอุมัร นั่งก้มหน้าอยู่สักครู่หนึ่ง ท่านจึงหันหน้าไปหาลูกชายทั้งสองของผู้ถูกฆ่าและเอ่ยถามว่าท่านทั้งสองจะอภัยให้เขาได้ไหม?
ทั้งสองตอบโดยไม่รีรอ ว่าพวกเขาอภัยให้เขาไม่ได้หรอก“ใครที่ฆ่าพ่อของพวกเขาจะต้องถูกฆ่าเช่นเดียวกันโอ้ท่านอะมีรุ้ลมุอ์มินีน”
ขณะนั้นท่านฮะบูซัรริน อัลฆิฟารีย์ ซึ่งเป็นผู้อาวุโสและเป็นที่ยอมรับและถูกนับว่าเป็น ผู้มีสัจจะของเหล่าซอฮาบะฮ์ทั่วไปได้ยืนขึ้น
พร้อมกล่าวว่า“โอ้ท่านอะมีรุ้ลมุอ์มินีนฉันขอค้ำประกันและรับรองเขาเอง”
ท่านอุมัร กล่าวว่า ท่านผู้อาวุโสเขาฆ่าคนตาย
อะบูซัรริน ตอบว่า ใช่ ถึงเขาฆ่าคน
ท่านอุมัร กล่าวว่า ท่านรู้จักกับเขาดีกระนั้นหรือ?
ท่านอะบูซัรริน ตอบว่า ฉันไม่รู้จักเขาหรอก
ท่านอุมัร กล่าวว่า แล้วท่านจะค้ำประกันได้อย่างไรเล่า
อะบูชัรรีน ตอบว่า ฉันเห็นคุณสมบัติ ความเป็นมุอ์มินของเขาฉันมั่นใจว่าเขาจะไม่โกหก อินชาอัลลอฮ์
ท่านอุมัรกล่าวว่า โอ้ท่านอะบูซัรริน ท่านคิดหรือว่าเราจะปล่อยท่านและละเลยท่านไป หากเขาโกหกหลังจากสามวันไปแล้ว
อะบูชัรริน กล่าวว่า“อัลลอฮ์ คือ ผู้ถูกขอความช่วยเหลือโอ้ท่านอะมีรุ้ลมุอ์มินีน”
ท่านอุมัรจึงได้ทำสัญญากับชายบะดาวีย์โดยให้โอกาสเพียงสามวันเพื่อกลับไปอำลาครอบครัวคือภรรยาและลูกๆ
ชายบะดาวีย์จึงได้เดินทางกลับภูมิลำเนาของตัวเอง เมื่อกำหนดเวลานัดหมายมาถึงท่านอุมัร และประชาชนต่างมารวมตัวรอคอยจนเข้าสู่เวลาอัสริ เสียงเรียกร้องสู่การละหมาดดังขึ้นหลังจากละหมาดแล้วก็ยังไม่พบวี่แววของของชายบะดาวีย์เลย ท่านอะบูซัรริน นั่งในสภาพที่นิ่งเงียบอยู่ข้างหน้าท่านอุมัร
ท่านอุมัร กล่าวว่าชายบะดาวีย์อยู่ไหนเล่า โอ้ท่านอะบูซัรริน
คำตอบคือ“ฉันยังไม่ทราบเลยโอ้ท่านอะมีรุ้ลมุอ์มินีน”
ท่านอะบูซัรริน เงยหน้าสู่ท้องฟ้าสายตาจ้องมองดวงอาทิตย์มันเลื่อนต่ำลงทุกที รู้สึกว่าทำไมดวงอาทิตย์วันนี้โคจรไวกว่าปกติ
บรรดาซอฮาบะฮ์ทุกคนต่างนิ่งเงียบและทุกคนต่างอยู่ในสภาวะที่เงียบสงัด ทุกคนไม่ทราบว่าอะไรจะเกิดขึ้นต่อไป ฮุ่ก่มของอัลลอฮ์ มิอาจล้อเล่นได้เลย และอะไรจะเกิดขึ้นแก่ท่านอะบูซัรริน ซึ่งเป็นผู้ค้ำประกัน ขณะนั้นเองก่อนดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้า เพียงไม่กี่นาทีชายบะดาวีย์ก็ปรากฏตัวขึ้น
ท่านค่อลีฟะฮ์อุมัร บินคอฏฏ็อบ เปล่งเสียงว่า อัลลอฮุอักบัร
และในสถานที่นั้นก้องกังวาน ไปด้วยคำว่า อัลลอฮุอักบัร จากผู้คนที่มาร่วมชุมนุม
ท่านค่อลีฟะฮ์กล่าวแก่ชายบะดาวีย์ว่า หากเจ้าหลบอยู่ที่ชนบทของเจ้า พวกเราก็มิอาจพบเจ้าได้เพราะไม่รู้ว่าเจ้าพักอาศัยอยู่ ณ ที่ใด
ชายบะดาวีย์กล่าวแก่ท่านค่อลีฟะฮ์ว่า ขอสาบานต่ออัลลอฮ์ ไม่เกิดความกังวลจากท่านเลย แต่อัลลอฮ์ ผู้ทรงรู้ทั้งที่ลับและเปิดเผย ฉันอยู่นี่แล้ว ฉันทิ้งลูกๆ ของฉันไว้เหมือนลูกนกน้อยอยู่ในรังไม่มีน้ำและอาหาร แต่ฉันมาเพื่อถูกประหารในวันนี้ เพราะฉันกลัวว่าคำมั่นสัญญาจะสูญหายไปเพราะมนุษย์เป็นเหตุ
ท่านค่อลีฟะฮ์อุมัร กล่าวถามท่านอะบูซัรริน ว่าอะไรคือแรงจูงใจที่ทำให้ท่านค้ำประกันขายผู้นี้
ท่านอะบูซัรริน จึงกล่าวตอบว่า เพราะฉันกลัวในเรื่องความดีจะจางหายไปจากผู้คนนั้นเอง
“พวกเราอภัยให้เขาโอ้ท่านอะมีรุ้ลมุอ์มินีน เนื่องจากเขามีความสัจจะ รักษาสัญญาและพวกเราเกรงว่าคำว่า อภัย มันจางหายไปจากมนุษย์”
อัลลอฮุอักบัร เป็นเสียงที่ดังมาจากท่านค่อลีฟะฮ์อุมัร และน้ำตาของท่านไหลรินอาบแก้มเคราของท่านชุ่มไปด้วยน้ำตา
ท่านเอยว่า“ขอเอกองค์อัลลอฮ์ ทรงตอบแทนความดีแก่เจ้าทั้งสอง”
“และขออัลลอฮ์ ตอบแทนความดีแก่เจ้า โอ้ชายบะดาวีย์ในความมีสัจจะของเจ้า และการไม่บิดพลิ้วสัญญา”
นักรายงานกล่าวว่า
“ขอสาบานต่อผู้ซึ่งชีวิตของข้าพเจ้าอยู่ในพระหัตของพระองค์
ความจริงความผาสุกแห่งอีหม่าน และอิสลามได้ถูกฝังไปพร้อมกับผ้ากะฝั่นของท่านค่อลีฟะฮ์อุมัร”
วารสาร มุสลิม กทม.