ยามที่ชีวิตออกจากร่าง
โดย เชคอาลี อีซา ร่อฮิมะฮุลลอฮ์
ที่แน่นอนนั้น ทุกสิ่งที่ถูกสร้าง ย่อมมีกำหนดเวลาตายตัว ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์ ญิน มลาอิกะฮ์ สัตว์ พืช หรือสิ่งที่ไม่มีชีวิตก็ตาม นั่นย่อมเป็นความจริงอย่างไม่มีข้อโต้แย้ง ความจริงอันนี้เพียงอันเดียวก็เป็นการเพียงพอ ที่ผู้ได้ยินได้ฟังจะศรัทธา ในเรื่องนี้อัลลอฮ์ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ตรัสไว้ว่า
“สำหรับทุกๆ ประชาชาตินั้นมีกำหนดเวลา ฉะนั้น เมื่อถึงกำหนดเวลาของพวกเขาแล้ว
ก็ไม่อาจที่จะทำให้ล่าช้า หรือเร็วไปสักชั่วโมงหนึ่งได้”
(ยุนุส 10:49)
เมื่อถึงกำหนดเวลา มลาอิกะฮ์ผู้ทำหน้าที่ปลิดชีวิต จะปฏิบัติหน้าที่ตามพระบัญชาของอัลลอฮ์ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ในช่วงเวลา และสถานที่ที่กำหนดไว้
ขณะที่ชีวิตใกล้จะออกจากร่าง ซึ่งเป็นยามที่ผู้ใกล้ตายไม่มีโอกาสจะติดต่อกับคนที่กำลังมีชีวิต อยู่นั้น อัลลอฮ์จะทรงให้เขาเห็นมลาอิกะฮ์ ผู้ซึ่งได้รับมอบหมายให้มาปฏิบัติหน้าที่ เขาจะรู้ถึงชะตากรรมของเขา ก่อนสิ้นลมปราณ ฉะนั้น ความยิ้มแย้ม ความรู้สึกอบอุ่นใจ จะปรากฏอยู่บนใบหน้า พวกเขาเป็น คนดีมีศีลธรรม ในเรื่องนี้อัลลอฮ์ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ได้ตรัสไว้ว่า
“บรรดาผู้ซึ่งมลาอิกะฮ์ได้เอาชีวิตเขาเหล่านั้นซึ่งเป็นคนดี เหล่ามลาอิกะฮ์จะกล่าวแก่เขาเหล่านั้นว่า
สันติสุขจงมีแด่พวกท่าน เนื่องด้วยสิ่งที่พวกท่านได้กระทำมาก่อนเถิด”
(อันนะห์ลฺ 16:32)
แต่ถ้าหากผู้ใกล้จะตาย เป็นผู้ประพฤติชั่ว เป็นชาวนรก ใบหน้าของเขาก็จะหมองคล้ำ กล้ามเนื้อ จะสั่น กระตุก และหดหู่ อัลลอฮ์ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ตรัสไว้เกี่ยวกับบุคคลเหล่านี้ว่า
“และหากเจ้าจะได้เห็น ขณะที่บรรดาผู้อธรรมอยู่ในภาวะคับขันแห่งความตาย และมลาอิกะฮ์กำลังแบมือของพวกเขา (พลางกล่าวว่า) จงให้ชีวิตของท่านออกมา วันนี้พวกท่านจะได้รับการตอบแทน ซึ่งโทษแห่งการต่ำต้อย เนื่องจากที่พวกท่านกล่าวให้ร้ายแก่อัลลอฮ์ โดยปราศจากความจริง และเนื่องจากการที่พวกท่านแสดงยโสต่อบรรดาสัญญาณต่างๆ ของพระองค์”
(อัลอันอาม 6:93)
และอัลลอฮ์ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ได้ตรัสอีกว่า
“และหากเจ้าได้เห็นขณะที่มลาอิกะฮ์เอาวิญญาณของบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาอยู่นั้น พวกเขาจะตีใบหน้าของพวกเขา และหลังของพวกเขา และ (กล่าวว่า) พวกเจ้าจงลิ้มรสการลงโทษแห่งการเผาที่ลุกไหม้เสียเถิด”
(อัลอัมฟาล 8:50)
แท้จริง คน (ใกล้) ตายนั้น จะมีมลาอิกะฮ์มาหาเขา ถ้าหากคนนั้นเป็นคนดี มลาอิกะฮ์ก็จะกล่าวว่า “โอ้ชีวิตที่ดี ซึ่งเคยอยู่ในร่างกายที่ดีจงออกมาเสียเถิด ชีวิตที่ได้รับการสรรเสริญจงออกมาเสียเถิด และจงอิ่มเอิบเบิกบานต่อกลิ่นไอของสวรรค์ และต่อพระเจ้าผู้ไม่ทรงโกรธกริ้ว”
ท่านร่อซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า “ได้มีการเรียกร้องอยู่เช่นนั้น จนกระทั่งชีวิตออกมา แล้วได้ถูกนำขึ้นสู่ชั้นฟ้า และมี การขอให้เปิดชั้นฟ้าต้อนรับชีวิตนั้น”
โดยมีผู้ถามว่า “ชีวิตนี้เป็นใคร? ก็จะมีเสียงตอบว่า คนนั้น (ออกชื่อ)
เหล่ามลาอิกะฮ์ก็จะกล่าวว่า “ยินดีต้อนรับ ชีวิตที่ดี ซึ่งเคยอยู่ในร่างที่ดี ชีวิตที่ได้รับการสรรเสริญจงเข้ามาเถิด จงอิ่มเอิบเบิกบานต่อกลิ่นไอของสวรรค์ และต่อพระเจ้าผู้ทรงไม่โกรธกริ้ว ท่านร่อซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า มีการกล่าวต้อนรับชีวิตเช่นนั้น กระทั่งถึงชั้นฟ้าชั้นที่เจ็ด”
หากคนนั้นเป็นคนชั่ว มลาอิกะฮ์จะกล่าวว่า “โอ้ ชีวิตที่ชั่ว ซึ่งเคยอยู่ในร่างที่ชั่ว จงออกมาเสียเถิด ชีวิตที่ได้รับการตำหนิติเตียน จงออกมาเสียเถิด และจงได้รับการแจ้งข่าวเรื่องถ่านไฟอันร้อนแรง น้ำหนอง และอื่นๆ ที่เป็นทำนองเดียวกันนั้น เสียงเรียกคงดำเนินต่อไปจนกระทั่งชีวิตออกมา แล้วก็ได้ถูกนำสู่ชั้นฟ้า แล้วก็ได้มีการขอให้เปิดรับ
มีเสียงถามว่า คนนี้เป็นใคร? ตอบว่า คนนั้น (ออกชื่อ)
ขณะนั้นก็มีเสียงกล่าวว่า ไม่ยินดีต้อนรับชีวิตที่ชั่ว ซึ่งเคยอยู่ในร่างของคนชั่ว ชีวิตที่ชั่วช้าน่าตำหนินี้ จงกลับไปเถิด ประตูชั้นฟ้าไม่เปิดรับท่านหรอกและแล้วชีวิตนั้น ก็จะถูกส่งกลับไปสู่หลุมฝังศพอีกที”
(บันทึกโดย อิมามอะหมัด และอิบนุมาญะฮ์)
อัลก็อบร์ (หลุมฝังศพ)
การสอบสวน ความสุข และการลงโทษในหลุมฝังศพ
การฝังศพผู้ตายในหลุมนั้น เป็นระบบหนึ่งของการดำเนินชีวิต โดยที่อัลลอฮ์ ซุบฮานะฮูวะตะอา ได้ทรงส่งกาตัวหนึ่ง ซึ่งเป็นสัตว์ไม่มีสติปัญญา มาสอนมนุษย์ผู้มีปัญญาว่าจะทำการฝังศพเพื่อนมนุษย์ด้วยกันอย่างไร ทั้งนี้ขณะเกิดการตายครั้งแรกบนพื้นพิภพ
ดังระบุในอัลกุรอาน อายะฮ์ที่ 30-31 ซูเราะฮ์ อัลมาอิดะฮ์ ว่า
“ดังนั้น จิตของเขา (คือกอบีลผู้พี่) นั้นจึงได้ชักพาเข้าสู่เขา ซึ่งการเอาชีวิตน้องชายตน (ฮาบีล) แล้วเขาจึงได้ฆ่าน้องชายของเขา ดังนั้น เขาจึงกลายเป็นผู้หนึ่งในหมู่ผู้ที่ขาดทุน
แล้วอัลลอฮ์ก็ทรงส่งกาตัวหนึ่ง มาขุดคุ้ยดิน (เป็นเชิงแนะ) ให้เขาได้เห็นว่า ควรจัดการกลบศพน้องชายของเขาอย่างไร
เขาได้อุทานขึ้นว่า โอ้ ความพินาศของฉัน ฉันนี่จนปัญญานักหรือที่จะเลียนแบบกาตัวนี้ในการจัดฝังศพน้องชาย ดังนั้น เขาจึงกลายเป็นคนหนึ่งในหมู่ผู้ละอายแก่ใจตน”
“อัลก็อบร์ หลุมฝังศพ” นั้น ครอบคลุมคนตายทุกประเภท ไม่ว่าจะถูกเผาเป็นเถ้าถ่าน นกเหยี่ยวเฉี่ยวเอาไปรุมทึ้ง หรือจมน้ำแล้วปลามาแย่งกินเนื้อ ได้กินไปตัวละชิ้นสองชิ้น ตามแต่พระผู้เป็นเจ้าแห่งปวงบ่าวจะแบ่งสันปันส่วนให้ก็ตาม
พี่น้องมุสลิม ก็ต้องไม่ลืมว่า “ผู้ถูกฝัง” นั้น หลังจากถูกฝังไปไม่นาน เนื้อหนังมังสาก็ผุเปื่อย เข้าไปอยู่ในท้องของตัวหนอน เป็นจำนวนพัน จำนวนหมื่น กระดูกก็แทรกซึมเข้าไปในดิน กลายไปเป็นปุ๋ยให้ต้นหมากรากไม้เจริญเติบโตโดยเร็ว ออกดอกออกผลมาเป็นอาหารแก่มนุษย์คนอื่นๆ ที่กำลังรอคอยรอบของตัวที่จะมาถึง โดยที่เขาไม่รู้เลย
ปัญหาทั้งหมดนั้นเน้นหนักอยู่ที่ เราจะต้องเข้าใจอย่างดีว่า จำเป็นที่เราจะต้องไม่เปรียบเทียบงานของอัลลอฮ์ ด้วยมาตรวัดการดำเนินชีวิตของมนุษย์ ผู้ไร้สมรรถภาพ ผู้เสื่อมสลาย และเราจะต้องไม่เอาเรื่องนี้ให้เข้าอยู่ภายใต้ระบบแบบแผนที่พระองค์ได้ทรงวางไว้แก่สิ่งถูกสร้างทั้งหลาย
และเราจะต้องรำลึกเสมอว่า สิ่งที่กล่าวนี้เป็นงานของอัลลอฮ์ ข้อเท็จจริงของเรื่องนี้ไม่มีใครจะรู้ได้นอกจากอัลลอฮ์องค์เดียว และการมอบหมายโดยสิ้นเชิง ในเรื่องต่างๆ เหล่านี้แหละเป็นบันไดขั้นแรกของการก้าวไปสู่ความปลอดภัยในดุนยา (โลกนี้) และในอาคิเราะฮ์ (โลกหน้า) ด้วยการอนุมัติของอัลลอฮ์
จำเป็นที่จะต้องศรัทธาว่า สิ่งแรกที่ผู้ตายจะได้พบ ภายหลังได้ตายแล้ว ก็คือจะมีมลาอิกะฮ์สองท่านลงมาหาเขา โดยที่อัลลอฮ์ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ได้ทรงให้เขาสามารถได้ยิน ได้เห็น มีสติปัญญา และพูดได้ แม้ว่าจะไม่สามารถทำอะไรได้ตามความต้องการก็ตาม ดังกล่าวนั้น จะมีขึ้นโดยวิธีการและรูปการที่ไม่มีใครทราบได้ นอกจากผู้ทรงรู้ยิ่งในสิ่งเร้นลับ
มลาอิกะฮ์ทั้งสองจะเริ่มถามเขาเกี่ยวกับพระผู้เป็นเจ้า ศาสนา และนบีของเขา ส่วนความสุข หรือการลงโทษเขานั้น ขึ้นอยู่กับการตอบคำถามของเขา
มีฮะดิษมุตาวติร หลายฮะดิษ รายงานเรื่องนี้ไว้ เราขอนำมากล่าวเป็นบางส่วน เช่น รายงานจากท่านอุษมาน ว่า ท่านร่อซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม นั้น เมื่อท่านเสร็จสิ้นจากการฝังมัยยิตแล้ว ท่านยืนที่หลุมฝังศพของผู้ตายแล้วกล่าวว่า
“ท่านทั้งหลายจงขออภัยโทษให้แก่พี่น้องของพวกท่าน และจงพร้อมกับขอให้เขามั่นอยู่ในกะลิมะฮ์ชะฮาดะฮ์ เพราะขณะนี้เขา (มัยยิต) กำลังถูกสอบสวน”
(บันทึกโดย อิมามอบูดาวู๊ด อัลบัซซ๊าร อัตตาร่อกุฏนีย์ อัลบัยฮะกีย์ และอัลฮากิม)
รายงานจากท่านอนัส ว่า ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า
“หากไม่เกรงว่า พวกท่านจะไม่ฝังซึ่งกันและกันแล้ว ฉันก็จะวิงวอนขอให้อัลลอฮ์ ทรงให้พวกท่านได้ยินการลงโทษบนหลุมฝังศพเหมือนที่ฉันได้ยิน”
(บันทึกโดย อิมามอะหมัด มุสลิม และอันนะซาอีย์)
มีรายงานจากท่านอนัส ว่า ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า
“แท้จริง บ่าวนั้นเมื่อถูกฝังเรียบร้อยแล้ว พวกพ้องก็จะพากันกลับ ขณะเดินกลับ ผู้ตายจะได้ยินเสียงรองเท้าของคนเหล่านั้น เมื่อกลับไปหมดแล้ว มลาอิกะฮ์สองท่านก็จะมาหาเขา จับเขาลุกขึ้นนั่งแล้วถามเขาว่า เจ้าเห็นว่าชายคนนี้ มุฮัมมัดเป็นเช่นไร?
สำหรับมุอ์มิน ก็จะตอบว่า ฉันปฏิญาณว่า ท่านเป็นบ่าวของอัลลอฮ์ และเป็นร่อซูลของพระองค์ จากนั้นก็จะมีเสียงกล่าวแก่เขาว่า จงดูที่นั่งของเจ้าในไฟนรก แต่อัลลอฮ์ได้ทรงเปลี่ยนให้แก่เจ้า เป็นที่นั่งในสวนสวรรค์ ซึ่งเขามองเห็นทั้งสองอย่าง ท่านกอตาดะฮ์ กล่าวว่า มีการกล่าวกับเราว่า แล้วหลุมฝังศพก็ได้ถูกขยายให้กว้างออกไป
ส่วนกาเฟร หรือมุนาฟิกนั้น เมื่อถูกถามว่า เจ้าเห็นว่าชายคนนี้ มุฮัมมัดเป็นเช่นไร?
เขาก็จะตอบว่า ฉันไม่รู้ ฉันเคยว่า อย่างที่คนทั้งหลายเขาว่ากัน
จากนั้นก็จะมีเสียงกล่าวแก่เขาว่า เจ้าไม่รู้ เจ้าก็ไม่ปลอดภัย แล้วเขาก็ถูกตีด้วยค้อนเหล็กที่ข้างหู เขาจะตะโกนอย่างดังจนทุกสิ่งได้ยิน นอกจามนุษย์และญินเท่านั้นที่ไม่ได้ยิน”
(บันทึกโดย อิมามอัลบุคอรีย์ มุสลิม อะหมัด อบูดาวู๊ด และอันนะซาอีย์)
จากได้ที่กล่าวมาแล้ว ก็ย่อมเป็นที่ประจักษ์แก่ท่านแล้วว่า “ผู้ตาย” นั้น เขาจะรับรู้ได้ถึงความสุข และการลงโทษทรมาน หลังจากมลาอิกะฮ์สองท่านได้สอบสวนแล้ว
ไม่มีใครที่จะได้รับการยกเว้นจากการถามของสองมลาอิกะฮ์ นอกจากบรรดานบี บรรดาผู้เสียชีวิตในหนทางของของอัลลอฮ์ (ชะฮีด) และเด็กๆ
ที่มา : วารสาร สายสัมพันธ์...♥