การตอบแทนของความซื่อสัตย์และการไว้วางใจ
  จำนวนคนเข้าชม  7166


ความซื่อสัตย์และการไว้วางใจ

 

โดย อาจารย์มาดา โยธาสมุทร

 

          อะมานะฮ์ถือเป็นจรรยามารยาทลำดับแรกของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ที่จำเป็นที่เราจะต้องมีคุณลักษณะนี้อยู่ในตัวของเรา การพูดสัจจริงและการมีอะมานะฮ์นั้น ถือเป็นมารยาทโดดเด่นของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม เป็นอย่างดีก่อนประกาศศาสนา โดยท่านนั้นมีฉายาว่าอัศศอดิกุ้ลอะมีนหมายถึง ผู้มีความสัจจริงไว้วางใจได้

 

         ไม่มีอะไรจะดีกว่าการที่มุสลิมเป็นผู้สัจจริงและไว้ใจได้ สัจจริงต่ออัลลอฮ์ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา และกับบุคคลรอบข้าง เป็นผู้ที่ไว้วางใจได้ในเรื่องของเขากับอัลลอฮ์ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา และยังเป็น ผู้ไว้วางใจได้กับทุกๆ คนรอบข้างเขา

 

ท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้สอนเราถึงการมีอะมานะฮ์

 

          อัลลอฮ์ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ได้แต่งตั้งท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม และอบรมสั่งสอนท่านโดยที่ท่านเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์แบบที่สุด ประเสริฐที่สุดในเรื่องของจรรยามารยาท จนกระทั่งท่านได้รับสมญานามในหมู่ชาวมักกะฮ์ก่อนการประกาศศาสนาว่าเป็นผู้ที่สัจจริงไว้วางใจได้

 

          เมื่อการทำร้ายท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม กับซอฮาบะฮ์ได้ทวีความรุนแรงขึ้น อัลลอฮ์ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ได้อนุญาตให้ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม อพยพจากมักกะฮ์ไปสู่มะดีนะฮ์ สิ่งที่ท่านนบี ซ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ทำก่อนอพยพ คือ ขอให้ท่านอาลี อิบนิ อบีฏอลิบ นอนในที่นอนของท่านในคืนการอพยพ เพื่อที่จะให้คืนอะมานะฮ์ (ของฝาก) ต่างๆ ที่อยู่กับท่านให้กับเจ้าของ

 

          ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้ทำหน้าที่ในการมอบอะมานะฮ์ (ของฝาก) ต่างๆ คืนให้กับเจ้าของอย่างสมบูรณ์ ถึงแม้ว่าพวกเขานั้นคอยสอดส่องที่จะฆ่าท่านก็ตาม จนผู้คนทั้งหลายต่างประหลาดใจ

 

ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้สั่งเสียบรรดามุสลิมให้พวกเขามีอะมานะฮ์ในทุกๆ ด้าน ท่านได้กล่าวในฮะดิษบทหนึ่งว่า

          “พวกท่านจงประกัน 6 ประการให้กับฉัน ฉันก็จะประกันสวรรค์ให้กับพวกท่าน และหนึ่งในนั้นก็คือ จงคืนอะมานะฮ์เมื่อพวกท่านได้รับความไว้วางใจ...”

(บันทึกโดย อิมามอะหมัด)

 

ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ยังสั่งใช้พวกเรามีอะมานะฮ์ถึงแม้ว่าผู้คนรอบข้างจะไม่มี อะมานะฮ์ ดังที่ท่านกล่าวว่า

จงมอบคืนอะมานะฮ์ (ของฝากความไว้วางใจ) ให้แก่ผู้ที่ไว้วางใจท่านและท่านอย่าได้ทรยศ ผู้ที่บิดพลิ้วท่าน

(บันทึกโดย อิมามอบูดาวูด และอัตติรมิซีย์)

 

ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ยังเตือนเราไม่ให้ทรยศ บิดพลิ้วในเรื่องอะมานะฮ์เพราะดังกล่าวเป็นสัญญาณของการเป็นมุนาฟิก โดยท่านกล่าวไว้ในฮะดิษว่า

          “สัญญาณของมุนาฟิกมี 3 ประการ : เมื่อเขาพูดเขาก็โกหก เมื่อเขาให้สัญญาเขาก็ผิดสัญญา เมื่อเขาได้รับความไว้วางใจเขาก็ทรยศบิดพลิ้ว

(บันทึกโดย อิมามอัลบุคอรีย์ และมุสลิม)

 

ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ยังกล่าวในฮะดิษอีกบทหนึ่งความว่า

ไม่นับเป็น (ผู้มี) อีมานศรัทธา สำหรับคนที่ไม่รักษาอะมานะฮ์

และไม่ (นับเป็นผู้) มีศาสนาสำหรับคนที่ไม่รักษาสัญญา

(บันทึกโดย อิมามอะหมัด)

 

ท่านนบีมูซา ผู้ซึ่งแข็งแรงและไว้วางใจได้

 

          ท่านนบีมูซา เมื่อท่านออกมาจากเมือง ท่านได้มาถึงบ่อน้ำมัดยันและพบหญิงสองคน ท่านได้ตักน้ำให้กับทั้งสองเพราะกลัวว่านางทั้งสองจะต้องเบียดเสียดกับผู้ชาย หลังจากนั้นท่านได้ไปนั่งพักในร่มเงาเพื่อจะพักผ่อน อัลลอฮ์ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ได้เล่าเรื่องของท่านในอัลกุรอานซูเราะฮ์อัลเกาะศ็อศ อายะฮ์ที่ 25-26 ว่า

 

นางคนหนึ่งในสองคนได้มาหาเขา เดินมาอย่างขวยเขิน แล้วกล่าวขึ้นว่า : คุณพ่อของดิฉันขอเชิญท่านไป เพื่อจะตอบแทนค่าแรงแก่ท่านที่ได้ช่วยตักน้ำให้เรา 

ครั้นเมื่อเขา (มูซา) ได้มาหาเขา (นบีซุอัยบ์) และได้เล่าเรื่องราวแก่เขา 

เขากล่าวว่า : ท่านไม่ต้องกลัว ท่านได้หนีพ้นจากหมู่ชนผู้อธรรมแล้ว 

นางคนหนึ่งในสองคนกล่าวว่า : โอ้คุณพ่อจ๋า! จ้างเขาไว้ซิ แท้จริง คนดีที่ท่านควรจะจ้างเขาไว้คือ ผู้ที่แข็งแรง ผู้ที่ซื่อสัตย์

 

ท่านอิบนิ อับบ๊าส ได้กล่าวว่าเมื่อนางกล่าวว่า แท้จริง คนดีที่ท่านควรจ้างเขาไว้คือ ผู้ที่แข็งแรง ผู้ที่ซื่อสัตย์

พ่อของนางจึงได้ถามว่านางรู้ได้อย่างไร?

นางตอบว่าเขาสามารถยกก้อนหินก้อนใหญ่ ซึ่งต้องใช้คน 10 คนในการยกได้ และเมื่อฉันได้เดินมากับเขา ฉันก็ได้เดินนำหน้าเขา” 

เขากล่าวกับฉันว่าเธอจงมาอยู่ข้างหลังฉัน และเมื่อฉันเดินผิดเส้นทางให้โยนหิน เพื่อให้ฉันรู้และนำทางฉันด้วยหินนั้น

 

อะมานะฮ์ที่หายาก

 

          เมื่อท่านซะอ์ดุ อิบนิ อบีวักก็อซ ได้เข้ามาในวังของกิซรอ หลังจากกองทัพมุสลิมได้รับชัยชนะ อย่างท่วมท้นในสมรภูมิอัลกอดิซียะฮ์ ท่านได้สั่งให้รวบรวมทรัพย์สงครามและคำนวณไว้เพื่อจะแบ่งให้กับบรรดานักรบตามสัดส่วนของพวกเขา และส่งส่วนที่เหลือไปยังบัยตุ้ลมาล (กองคลังของบรรดามุสลิม

          คนงานก็ทำตามที่ท่านบอก และได้มีชายคนหนึ่งที่มีร่องรอยผ่านสงครามเข้ามาหาพวกเขาโดยแบกหีบขนาดใหญ่และหนักเข้ามา ในนั้นเต็มไปด้วยอัญมณี ไข่มุก และสมบัติที่มีค่ามากมายมหาศาล เขาได้วางหีบนั้นตรงหน้าคนงานเหล่านั้น

พวกคนงานได้ถามท่านว่าท่านได้สมบัติที่มีค่ามากมายนี้มาจากไหน?”

เขากล่าวว่านี่คือทรัพย์สงครามในสถานที่นั้น สถานที่นี้...”

พวกคนงานกล่าวว่าแล้วท่านได้เอาอะไรไปบ้างรึยัง?”

       เขากล่าวว่าขอให้อัลลอฮ์นำทางพวกท่าน ... ขอสาบานต่ออัลลอฮ์ ทั้งสิ่งนี้และทรัพย์ทั้งหมดที่กษัตริย์แห่งเปอร์เซียครอบครองนั้นก็ยังไม่เทียบเท่าสิ่งที่มี ที่ฉันแม้เพียงปลายเล็บ และถ้าไม่ใช่เพราะคลังของบรรดามุสลิมมีสิทธิในทรัพย์สินนี้ ฉันคงไม่นำมันออกมาจากดินแดนนั้นหรอก

คนงานพูดกับเขาว่าท่านเป็นใครกัน? ขออัลลอฮ์ทรงให้เกียรติท่าน

       ชายผู้นั้นกล่าวว่าขอสาบานต่ออัลลอฮ์ ฉันจะไม่บอกพวกท่านเพื่อให้พวกท่านชื่นชมฉัน แต่ทว่า ฉันขอสรรเสริญต่ออัลลอฮ์ และหวังในผลบุญนั้นและชายผู้นั้นก็เดินจากพวกเขาไป

       คนงานได้สั่งให้ชายคนหนึ่งในพวกเขาติดตามผู้ชายคนดังกล่าวไปเพื่อจะได้รู้ว่าเขาเป็นใคร แต่ก็ไม่มีใครรู้จักเขา และมีคนถามถึงเขา พวกคนงานได้พูดว่า เขาคือ ผู้สมถะแห่งบัศเราะฮ์ (อามิร อิบนิ อับดุลลอฮ์ อัตตะมีมีย์) ร่อฮิมะฮุลลอฮ์ ขออัลลอฮ์ทรงเมตตา ตาบิอีนผู้สูงส่งท่านนี้ ตลอดจนซอฮาบะฮ์ของท่านนบีทั้งหมดด้วยเถิด

 

ผลตอบแทน (รางวัล) ของการมีอะมานะฮ์

 

          เล่ากันว่า : มีเจ้าเมืองคนหนึ่งได้ออกไปจากวังในวันหนึ่ง เพื่อที่จะไปดูสภาพความเป็นอยู่ของประชาชน และเขายังคงเดินตรวจตราอยู่หลายชั่วโมง จนกระทั่งเขารู้สึกเหนื่อยมาก เขาได้นั่งลงพักผ่อน ใต้ต้นไม้ ขณะนั้นเองได้มีเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่มีร่างกายแข็งแรงกำลังลากปศุสัตว์จำนวนมากอยู่หน้าเขา

     เมื่อเจ้าเมืองเห็นเขาก็สั่งให้หยุด แล้วกล่าวว่าโอ้เด็กน้อย ฝูงแกะของเจ้านี่อ้วนและสะอาดมาก และฉันต้องการให้ท่านขายมันให้ฉันหนึ่งตัว

     เด็กหนุ่มจึงกล่าวกับเขาว่าแกะนี้ไม่ใช่ของฉัน หากว่ามันเป็นของฉัน ก็จะมอบให้ท่านตามที่ท่านต้องการ

     เจ้าเมืองจึงกล่าวว่านายของเจ้าไม่เห็นเราหรอกตอนนี้ จงมอบมันให้ฉันเถอะและอย่าได้กลัว

     เด็กหนุ่มจึงกล่าวกับเขาว่าฉันจะกล่าวกับนายของฉันว่าอย่างไร ถ้าหากเขากลับมาหา?”

     เจ้าเมืองกล่าวว่าจงบอกว่า แท้จริง มีสุนัขจิ้งจอกได้ฉกแกะและหนีไป

     เมื่อได้ยินคำพูดของเจ้าเมือง คนเลี้ยงแกะที่ซื่อสัตย์โกรธมาก พลางกับกล่าวกับเขาว่าถ้าหากเจ้าของแกะเชื่อฉัน และฉันจะกล่าวกับพระเจ้าของฉันซึ่งได้ยินเราและเห็นเราว่าอย่างไร? จงปล่อยให้ฉันเลี้ยงแกะของฉันอย่างสันติเถิด...”

     แล้วเด็กเลี้ยงแกะก็จูงแกะของเขาไปอย่างมีเกียรติและภาคภูมิใจ เจ้าเมืองเกิดความแปลกใจ และตัดสินใจที่จะเดินตามหลังเด็กหนุ่มไป และเมื่อทั้งสองได้เดินทางไปถึงเจ้าของแกะ เจ้าเมืองก็ได้นำหน้าไป 

     และพูดกับเจ้าของแกะว่าท่านเจ้าของแกะ ฉันต้องการที่จะซื้อเด็กที่เลี้ยงแกะที่มีความซื่อสัตย์ของท่าน และแกะทั้งหมดของท่าน

     เจ้าของแกะได้กล่าวว่าคำขอของท่านจะไม่ถูกปฏิเสธ ท่านเจ้าเมือง

     เจ้าเมืองได้มองไปยังเด็กที่เลี้ยงแกะนั้น และกล่าว่าโอ้เด็กน้อย เจ้าเป็นอิสระแล้ว ฉันได้ปล่อยเจ้าเพื่ออัลลอฮ์ และแกะทั้งหมดนี้เป็นของขวัญสำหรับเจ้า โดยพิจารณาจากความมีอะมานะฮ์และความบริสุทธิ์ใจของเจ้า

 

เรื่องราวของการแต่งงานของอัลมุบาร็อก

 

          กาลครั้งหนึ่ง... มีชายหนุ่มที่เป็นคนดีเคร่งครัดในศาสนา ชื่อของเขา คือ อัลมุบาร็อก เขาเป็นทาส โดยที่นายของเขาครอบครองสวนที่มีความอุดมสมบูรณ์

     นายของเขาพูดกับเขาว่าโอ้มุบาร็อก...ฉันต้องการให้ท่านไปอยู่ที่สวนเพื่อดูแลสวนให้กับฉันดังนั้น อัลมุบาร็อกก็ไปที่สวนและอยู่ที่นั่นเป็นเวลา 4 เดือน นายของเขาได้ไปเยี่ยมที่สวน พร้อมกับเพื่อนของเขา

     นายของเขากล่าวว่าจงนำแอปเปิ้ล ทับทิม และองุ่นมาให้พวกเราหน่อย

     อัลมุบาร็อกได้ออกไปและนำแอปเปิ้ล ทับทิม และองุ่นบางส่วนมาให้ซึ่งยังไม่สุก นายของเขาแปลกใจมากและถามเขาว่าโอ้มุบาร็อก เจ้าไม่รู้หรือว่าแอปเปิ้ลที่อร่อยไม่ใช่แบบนี้

     อัลมุบาร็อกพูดว่าขอสาบานต่ออัลลอฮ์ นายของฉัน ฉันไม่ได้กินอะไรจากสวนผลไม้เลยตั้งแต่ที่ท่านส่งฉันมา...และฉันก็ไม่รู้ว่ามีอะไรที่อร่อยกว่านี้

     นายของเขาแปลกใจ และคิดว่าเขาต้องคดโกง เลยไปหาเพื่อนบ้านและถามพวกเขาถึงเรื่องดังกล่าว

     เพื่อนบ้านบอกกับนายของเขาว่าขอสาบานต่ออัลลอฮ์ พวกเราไม่เคยเห็นเขากินผลไม้สักผลเดียวจากสวนผลไม้เลย

     ชายคนนี้จึงทราบว่าอัลมุบาร็อกนั้นเป็นคนที่ดีมีความเคร่งครัดในศาสนา และเชื่อถือได้

     เขาจึงเรียกอัลมุบาร็อกมาและพูดว่าโอ้ อัลมุบาร็อก ฉันต้องการที่จะแนะนำเจ้าในเรื่องจริงจังเรื่องหนึ่ง

     อัลมุบาร็อกพูดว่าเรื่องอะไรหรือครับนาย

     นายพูดกับเขาว่าเจ้ารู้ว่าฉันนั้นครอบครองทรัพย์อันมากมาย และฉันมีลูกสาวเพียงคนเดียวและ มีหลายคนเข้ามาเพื่อหมั้นหมายนาง... จากคนร่ำรวยท่านเห็นอย่างไรกับคนที่ฉันจะแต่งงานให้กับนาง?”

     อัลมุบาร็อกกล่าวว่าโอ้ นายของฉัน... แท้จริง ชาวยิวนั้นจะแต่งงานเนื่องด้วยทรัพย์สิน ชาวคริสต์นั้นจะแต่งงานเนื่องด้วยความสวยงาม ชาวอาหรับจะแต่งงานเนื่องด้วยเชื้อสายวงศ์ตระกูล และท่านนบี มุฮัมมัด และซอฮาบะฮ์ของท่านจะแต่งงานเนื่องด้วยความเคร่งครัดในศาสนาและการตักวา และท่านจะแต่งงานลูกสาวของท่านตามประเภทไหนก็ได้ที่ท่านปรารถนา

     นายของเขากล่าวว่าฉันจะอยู่ต้านท่านนบีและซอฮาบะฮ์ของท่านและจะแต่งงานลูกสาวของฉันให้กับชายที่มีตักวา... ขอสาบานต่ออัลลอฮ์ ฉันไม่พบว่าจะมีใครตักวาต่ออัลลอฮ์มากไปกว่าท่าน ดังนั้น ฉันจะปลดท่านให้เป็นไทเพื่ออัลลอฮ์ และขอแต่งงานท่านกับลูกสาวของฉัน

     และอัลมุบาร็อกได้แต่งงานกับนาง และนางให้กำเนิดลูกชาย โดยตั้งชื่อให้เขาว่า อับดุลลอฮ์ หลังจากนั้นชายคนนี้ก็กลายเป็นปราชญ์แห่งอิสลามที่ชื่อว่าอับดุลเลาะฮ์ อิบนิ อัลมุบาร็อก

 

รูปแบบของอะมานะฮ์

 

          แท้จริง อะมานะฮ์ซึ่งอัลลอฮ์ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ได้สั่งใช้พวกเราให้รักษา และปฏิบัติมันให้ครบถ้วนกับเจ้าของอะมานะฮ์นั้น ไม่ใช่เฉพาะการรักษาทรัพย์ของมนุษย์เท่านั้น แต่รวมถึงสิ่งอื่นๆ ด้วย

 

         ถ้าหากใครคนหนึ่งให้สิ่งใดกับท่าน ถึงแม้มันจะมีราคาถูก แล้วกล่าวกับท่านว่าฉันได้ฝากของฝากไว้กับท่านจงเก็บรักษามันจนกว่าฉันจะร้องขอคืนจากท่านนั่นก็เป็นอะมานะฮ์

 ♣ การรักษาความลับของคนอื่น นั่นก็เป็นอะมานะฮ์

 ♣ การส่งจดหมายหรือสาส์นที่ท่านได้รับมอบหมายจากคนอื่นอย่างสมบูรณ์โดยไม่เพิ่มเติมหรือ ตัดทอน นั่นก็เป็นอะมานะฮ์

 ♣ การที่ท่านจะเป็นพยานในจุดยืนของท่านด้วยความละเอียดครบถ้วนโดยไม่เปลี่ยนแปลง นั่นก็เป็นอะมานะฮ์

 ♣ เวลานั่นก็เป็นอะมานะฮ์ อย่าใช้มันนอกจากจะต้องให้เกิดประโยชน์ และอย่าทำให้มันหายไปในสิ่งที่ทำให้อัลลอฮ์โกรธกริ้ว

 ♣ การปฏิบัติอิบาดะฮ์ต่างๆ ซึ่งอัลลอฮ์ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา มอบหมายให้กับเรา เช่น การถือศีลอด การละหมาด นั่นก็เป็นอะมานะฮ์ที่สำคัญที่สุด

 ♣ การไม่คดโกงในการค้าขาย นั่นคือ อะมานะฮ์ พ่อค้าที่มีความซื่อสัตย์ คือ คนที่ตักเตือนแนะนำ คนซื้อ และจะไม่ขายสินค้าก่อนที่จะมีการแจ้งสินค้าอย่างละเอียด และไม่พยายามที่จะปกปิดข้อตำหนิของสินค้า และออกห่างจากการคดโกงในทุกๆ รูปแบบ

ท่านร่อซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้กล่าวว่า “..ใครที่คดโกงเรา เขาไม่ใช่พวกของเรา

 ♣ การรักษานัดหมายต่างๆ นั่นก็เป็นอะมานะฮ์ เมื่อเพื่อนของท่านนัดหมายกับท่าน จำเป็นที่ท่านจะต้องไปตามเวลาที่กำหนดอย่างตรงเวลา อย่าล่าช้าหรือผิดนัด

 ♣ การแสวงหาความรู้ นั่นก็เป็นอะมานะฮ์ และการใช้ความรู้กับผู้คนโดยการสอนนั้นก็เป็นอะมานะฮ์

 ♣ ร่างกายของคนเราก็เป็นอะมานะฮ์ จำเป็นที่เราจะต้องดูแลรักษา อย่าใช้ร่างกายนอกจากต้องใช้ไปในเรื่องความดีและสิ่งที่มีประโยชน์

 ♣ การทำงานด้วยความละเอียดโดยไม่เพิกเฉยละเลย นั่นก็เป็นอะมานะฮ์

          นักเรียนที่ซื่อสัตย์ต่อบทเรียนของเขา และกฎระเบียบต่างๆ ของโรงเรียน และไม่คดโกงในการสอบหรือคดโกงในสิ่งอื่นๆ ครูที่ซื่อสัตย์นั้นจะต้องซื่อสัตย์ต่อความรู้และครูคนอื่นๆ เจ้าหน้าที่ที่ซื่อสัตย์จะต้องซื่อสัตย์ต่อหน้าที่ของเขา และจะต้องช่วยเหลือผู้อื่นโดยไม่ปฏิเสธหรือทำเสียหาย ทหารที่ซื่อสัตย์นั้น จะต้องรักษาประเทศจากศัตรู แม่ที่ซื่อสัตย์นั้นจะต้องดูแลบ้านและอบรมเลี้ยงดูลูกๆ และทุกๆ คนที่ได้รับมอบหมายให้ทำงานอื่นๆ ที่เป็นประโยชน์ สำหรับเขาก็เป็นอะมานะฮ์ จำเป็นที่เขาจะต้องปฏิบัติมัน

 

ความประเสริฐของอะมานะฮ์

 

1. คนที่มีอะมานะฮ์อัลลอฮ์จะรักเขา และพอใจเขา ผู้คนทั้งหมดก็จะรักเขาเช่นกัน 

2. คนที่มีอมานะฮ์ เขาจะอยู่ในสถานะที่น่าเชื่อถือสำหรับคนรอบข้าง ผู้คนก็จะคบค้าสมาคมกับเขา

3. เมื่อสังคมเป็นสังคมที่มีอะมานะฮ์แพร่หลาย จะทำให้ผู้คนต่างไว้เนื้อเชื่อใจซึ่งกันและกัน และจะทำให้มีความรัก ความเป็นพี่น้อง และจะช่วยเหลือซึ่งกันและกัน 

4. อะมานะฮ์เป็นสาเหตุของการบรรเทาปัดเป่าความกังวล ในฮะดิษที่รายงานโดยอิมามอัลบุคอรีย์และมุสลิม ในเรื่องของชาย 3 คนที่เข้าไปในถ้ำและมีหินปิดปากถ้ำอยู่ หนึ่งในสามคนขอดุอาอ์ต่ออัลลอฮ์ด้วยการงานที่ดีที่เขาได้ทำ เพื่อหวังให้เขารอดพ้นจากหินที่ปิดปากถ้ำอยู่

ชายคนแรก เสนอการงานที่เขาทำดีกับพ่อแม่ของเขา

ชายคนที่สอง เสนอการงานที่บ่งบอกถึงความเกรงกลัวอัลลอฮ์ของเขา

ชายคนที่สาม เสนอการมีอะมานะฮ์ของเขาต่ออัลลอฮ์ และขอต่ออัลลอฮ์ว่า  

          “โอ้ อัลลอฮ์ ฉันได้จ้างคนงาน และให้ค่าตอบแทนแก่พวกเขา เว้นคนหนึ่งที่ฉันยังไม่ได้ให้ ซึ่งเขาได้ทิ้งมันไว้ที่ฉัน และจากค่าจ้าง นี้เองได้ออกดอกออกผลเป็นกำไรมากมาย 

และลูกจ้างคนนี้ได้มาหาฉัน และกล่าวว่าโอ้ บ่าวของอัลลอฮ์ จงให้ค่าจ้างของฉัน

ฉันได้ตอบเขาว่าทุกสิ่งที่ท่านเห็นนี้เป็นค่าจ้างของท่าน มีทั้งอูฐ วัว แกะ และทาส

เขากล่าวว่าโอ้ บ่าวของอัลลอฮ์ ท่านอย่าได้ล้อเล่นเย้ยหยันกับฉัน

นายจ้างกล่าวว่าฉันไม่ได้เย้ยหยันท่าน ดังนั้น ลูกจ้างก็ได้เอาสิ่งเหล่านั้นไปทั้งหมด

5. คนที่มีอะมานะฮ์จะทำให้เขาเป็นชาวสวรรค์ชั้นฟิรเดาซ์ (ขั้นสูงสุด) และอัลลอฮ์ได้ตระเตรียมให้กับมุสลิมผู้ซื่อสัตย์ ด้วยสถานะที่ยิ่งใหญ่ในสวรรค์ ดังที่พระองค์ได้กล่าวในซูเราะฮ์อัลมุอ์มินูน อายะฮ์ที่ 8-11 ว่า

          “และบรรดาผู้ที่พวกเขาเป็นผู้เอาใจใส่ต่อสิ่งที่ได้รับมอบหมายของพวกเขา และสัญญาของพวกเขาและบรรดาผู้ที่พวกเขาเป็นผู้รักษาการละหมาดของพวกเขา ชนเหล่านี้แหละ พวกเขาเป็นทายาทซึ่งพวกเขาจะได้รับมรดกสวนสวรรค์ชั้นฟิรเดาซ์ พวกเขาจะพำนักอยู่ในนั้นตลอดกาล

 

พึงระวังการขโมย และการทรยศหักหลัง

 

          เยาวชนที่รัก พึงระวังการขโมยและการทรยศหักหลัง เมื่อเพื่อนของท่านวางอุปกรณ์หรือสิ่งของทรัพย์สินต่างๆ ไว้ในห้องเรียนไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตาม พึงระวังที่จะไปเอาสิ่งใดมา นอกจากเขาจะได้รับอนุญาตเสียก่อน

 

          เมื่อพ่อแม่ของท่านวางทรัพย์สินใดไว้ที่โต๊ะของท่าน พึงระวังในการหยิบสิ่งใดมา นอกจากจะได้รับอนุญาตจากท่านก่อน เช่นเดียวกัน ท่านอย่าได้หยิบสิ่งใดมาจากสิ่งที่เป็นของคนอื่น นอกจากจะขออนุญาตก่อน เพราะการขโมยของนั้นเป็นลักษณะนิสัยที่ไม่ดี ซึ่งท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้ห้ามพวกเราไว้

 

          เช่นเดียวกัน ในการที่ท่านได้เอาทรัพย์สินของผู้คนมาแล้วไม่ได้คืนให้กับพวกเขา พวกเขาจะมาเอาความดีของท่านในวันกิยามะฮ์

ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้กล่าวว่าพวกท่านรู้หรือไม่ ผู้ล้มละลายคือใคร?”

ซอฮาบะฮ์กล่าวว่าคนล้มละลายในความหมายของพวกเรา คือ คนที่ไม่มีสัก 1 ดิรฮัมหรือ 1 ดีนารเลย

ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า 

       “คนล้มละลายจากประชาชาติของฉันคือคนที่มาในวันกิยามะฮ์โดยเขามีการละหมาด การถือศีลอด การจ่ายซะกาต แต่ว่าเขาด่าทอคนนั้น ใส่ร้ายคนนี้ และกินทรัพย์สินโดยไม่ชอบ ละเมิดหลั่งเลือดโดยไม่ชอบ และไปตบตีคนนั้น

          ดังนั้น ความดีของเขาถูกยกไป และเมื่อความดีของเขาหมดเสียก่อนจะชดใช้ที่เหลือ ดังนั้น เขาจะเอาความผิดของพวกเขา (ความผิดของคนอื่นที่ละเมิด) มาแบกรับไว้ หลังจากนั้นเขาจะถูกให้เข้านรก

(บันทึกโดย อิมามมุสลิม ฮะดิษที่ 2581)

 

 

ที่มา วารสารสายสัมพันธ์...♥