มารยาทของผู้ศึกษาท่องจำอัลกุรอาน
  จำนวนคนเข้าชม  3605


มารยาทของผู้ศึกษาท่องจำอัลกุรอาน 

โดย อาจารย์ญะม๊าล ไกรชิต

 

          มวลการสรรเสริญนั้นเป็นกรรมสิทธิ์แด่อัลลอฮ์ ผู้เป็นพระเจ้าแห่งโลกทั้งผอง และโปรดประทานพรและความสันติแก่ท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ผู้เป็นนบีและร่อซูลท่านสุดท้าย รวมถึงบรรดาซอฮาบะฮ์ของท่านทุกคน

 

          เป็นเรื่องที่ดีที่ลูกหลานของเราจะศึกษา และฝึกฝนท่องจำอัลกุรอานตามโรงเรียนและมัสยิดต่างๆ ที่แพร่หลายในปัจจุบัน และยิ่งเป็นการดีที่ลูกหลานของเราต่างให้ความสำคัญและแข่งขันในการอ่านและท่องจำอัลกุรอานอย่างถูกต้อง แต่ทว่า เพียงแค่นี้หรือที่เราต้องการ?

แท้จริง เราต้องการชนแต่ละรุ่นที่มีคุณลักษณะจริยธรรมตามอัลกุรอาน

แท้จริง เราต้องการชนแต่ละรุ่นที่เคร่งครัดปฏิบัติตามมารยาทของอัลกุรอาน

แท้จริง เราต้องการชนแต่ละรุ่นที่ประพฤติอยู่ในครรลองและปฏิบัติตามข้อชี้ขาดต่างๆ ในอัลกุรอาน

 

อัลกุรอานคือแนวทางในการใช้ชีวิต


     แท้จริง อัลกุรอานเป็นคัมภีร์ที่ให้การชี้แนะและปรับปรุง อัลลอฮ์ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ตรัสว่า

แท้จริง อัลกุรอานนี้นำสู่ทางที่เที่ยงตรงยิ่ง

(อัลอิสรออ์ 17/9)

     และพวกญินได้กล่าวว่า

แท้จริง เราได้ยินอัลกุรอานที่แปลกประหลาด นำไปสู่ทางที่เที่ยงตรง

ดังนั้นพวกเราจึงศรัทธาต่ออัลกุรอานนั้น และเราจะไม่ตั้งสิ่งใดเป็นภาคีต่อพระเจ้าของเรา

(อัลญิน 72/1-2)

 

อัลกุรอานนั้นถูกประทานลงมาเพื่อนำมนุษย์ออกจากความมืดมนสู่แสงสว่าง


         
แท้จริง แสงสว่างจากอัลลอฮ์และคัมภีร์อันชัดแจ้งนั้นได้มายังพวกเจ้าแล้ว

     ด้วยคัมภีร์นั้นแหละ อัลลอฮ์จะทรงแนะนำผู้ที่ปฏิบัติตามความพึงพอพระทัยของพระองค์ ซึ่งบรรดาทางแห่งความปลอดภัย

     และจะทรงให้พวกเขาออกจากความมืดมนไปสู่แสงสว่างด้วยอนุมัติของอัลลอฮ์ และจะทรงแนะนำพวกเขาสู่ทางอันเที่ยงตรง

(อัลมาอิดะฮ์ 5/15-16)

 

อัลกุรอานนั้นมาเพื่อนำมนุษย์ออกจากความมืดมนของการปฏิเสธศรัทธา สู่แสงสว่างของ การศรัทธา 

   ♦ จากความมืดมนของความโฉดเขลา สู่แสงสว่างของความรู้ 

   ♦ จากความมืดมนของการหยิ่งยโส สู่แสงสว่างของการนอบน้อมและอ่อนโยน 

   ♦ จากความมืดมนของการหยาบช้าและอธรรม สู่แสงสว่างของความเมตตาและยุติธรรม 

   ♦ จากความมืดมนของการทุจริต สู่แสงสว่างของความซื่อสัตย์ 

   ♦ จากความมืดมนของการอิจฉาริษยาและเกลียดชัง สู่แสงสว่างของความยินดี รักใคร่และอภัยซึ่งกันและกัน และ

   ♦ จากความมืดมนของการเหยียดเชื้อชาติ วงศ์ตระกูลและเข้าข้างต้นเองและพวกพ้อง สู่แสงสว่างแห่งความยำเกรงและการอยู่ร่วมกันภายใต้ธงแห่งอิสลาม และลด ละ เลิกการเข้าข้างตัวเองและพวกพ้อง เพราะทำให้ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของอิสลามและเป็นพี่น้องร่วมศรัทธากันต้องแตกแยก

 

          ผู้ที่เป็นนักศึกษาจำเป็นต้องทราบเรื่องดังกล่าวนี้อย่างดี โดยเฉพาะผู้ที่เป็นนักศึกษาท่องจำอัลกุรอาน เพราะคนเหล่านี้ควรที่จะเป็นบุคคลแรกๆ ที่ออกจากความมืดมนสู่แสงสว่าง

 

มีผู้ถามท่านหญิงอาอิซะฮ์ ร่อฎิยัลลอฮุอันฮา ถึงลักษณะมารยาทของท่านร่อซูล ซ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม 

ท่านตอบว่ามารยาทของท่านร่อซูล คือ อัลกุรอาน

(บันทึกโดย อิมามมุสลิม)

 

          มีผู้กล่าวว่าท่านร่อซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม นั้นคือ อัลกุรอานที่เดินอยู่บนหน้าผืนแผ่นดิน ท่านจะโกรธและพึงพอใจตามคำสอนที่ปรากฏอยู่ในอัลกุรอาน

 

         ดังนั้น นักศึกษาผู้มีเกียรติ เราควรที่จะดำเนินตามแนวทางของจริยธรรมและมารยาทของท่านร่อซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม และการปฏิบัติของท่านต่อผู้อื่น เพื่อที่เราจะได้ประสบความสำเร็จทั้งในโลกนี้และโลกหน้า และเพื่ออัลลอฮ์ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา พึงพอพระทัยเราเช่นกัน

 

การไม่ให้ความสนใจอัลกุรอาน


     อัลลอฮ์ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ทรงเตือนปวงบ่าวของพระองค์มิให้ละทิ้งและไม่ให้ความสนใจต่อ อัลกุรอาน พระองค์ตรัสว่า

และร่อซูลได้กล่าวว่า ข้าแต่พระเจ้าของข้าพระองค์

แท้จริง ชนชาติของข้าพระองค์ได้ยึดเอา อัลกุรอานนี้เป็นที่ทอดทิ้งเสียแล้ว

(อัลฟุรกอน 25/30)

 

         ท่านอิมามอิบนุ กะซีร ร่อฮิมะฮุลลอฮ์ กล่าวไว้ว่าการไม่เชื่อ ไม่ศรัทธาต่ออัลกุรอานถือเป็นการ ละทิ้งอัลกุรอาน รวมทั้งการไม่ใคร่ครวญพินิจพิจารณา ไม่ประพฤติปฏิบัติตามคำสั่งใช้ ไม่หลีกเลี่ยงออกห่างจากสิ่งต้องห้าม ให้ความสำคัญกับสิ่งอื่นมากกว่า ไม่ว่าจะเป็นคำพูด บทกวี เรื่องสนุกสนาน บทเพลง หรือสิ่งอื่นที่มิใช่อัลกุรอาน ทั้งหมดนี้ก็ถือเป็นการละทิ้งและไม่ให้ความสนใจต่ออัลกุรอานทั้งสิ้น

 

          ท่านอิมามอิบนุก็อยยิม ร่อฮิมะฮุลลอฮ์ กล่าวไว้ว่าการละทิ้งอัลกุรอานนั้นมีหลายประเภทด้วยกันคือ

1. การไม่สนใจฟังและไม่ศรัทธาต่ออัลกุรอาน

2. การไม่ปฏิบัติตามอัลกุรอาน และไม่ยึดตามในสิ่งที่อัลกุรอานได้แจ้งไว้ว่าเป็นสิ่งที่อนุมัติหรือต้องห้าม

3. ไม่นำเอาอัลกุรอานมาใช้เป็นเกณฑ์ตัดสินชี้ขาด ทั้งในประเด็นหลักและเรื่องปลีกย่อยของศาสนา

4. ไม่พินิจพิจารณาทำความเข้าใจและศึกษาเนื้อหาของอัลกุรอาน

5. ไม่ใช้อัลกุรอานเพื่อบำบัดรักษาอาการเจ็บป่วยทางจิตใจ

 

♥ เราควรที่จะให้อัลกุรอานมีผลชัดเจนต่อมารยาทของเรา

♥ เราควรที่จะให้อัลกุรอานมีผลต่อความประพฤติของเรากับบิดามารดาของเรา

♥ เราควรที่จะให้อัลกุรอานมีผลต่อความประพฤติของเรากับเพื่อนๆ ของเรา

♥ เราควรที่จะให้อัลกุรอานมีผลต่อความประพฤติของเรากับเพื่อนบ้านของเรา

 

         แต่หากว่ามารยาทของเราและมารยาทตามอัลกุรอานนั้นสวนทางกัน ย่อมเป็นการแสดงให้เห็นถึงความบกพร่องและละเลยของเราต่อหน้าที่สำคัญนี้ และยังเป็นการแสดงให้เห็นถึงการที่เราตกอยู่ในการละเลยไม่ให้ความสนใจในอัลกุรอาน โดยไม่รู้ตัวอีกด้วย

 

         เราควรที่จะเกรงว่า หากอายุเราล่วงเลยไปมากกว่านี้ และเรายังคงไม่ให้ความสนใจที่จะมีลักษณะมารยาทตามที่ปรากฏอยู่ในอัลกุรอาน แล้วอัลกุรอานก็จะเป็นพยานหลักฐานเพื่อกล่าวโทษเราในวันกิยามะฮ์

 

ท่านร่อซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้กล่าวว่า

คนหน้าไหว้หลังหลอกในประชาชาติของฉัน ส่วนมากแล้วคือผู้ที่อ่านอัลกุรอาน (แล้วไม่ปฏิบัติตาม)

(บันทึกโดย อิมามอะหมัด)

 

มารยาทของนักศึกษา
 

          หากเราจะถามถึงมารยาทต่างๆ ของอัลกุรอานที่ผู้เป็นนักศึกษาควรจะมีก็คือ มารยาทที่ดีทั้งหมดที่อัลกุรอานได้กล่าวชมเชย สั่งใช้หรือสรรเสริญผู้ที่มีลักษณะเช่นนั้นเอาไว้ และรวมถึงสิ่งที่ปรากฏในแบบฉบับของท่านร่อซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม และสิ่งที่ประชาชนและสังคมเห็นตรงกันว่าเป็นลักษณะของการมีมารยาทที่ดี

 

          ท่านซุฟยาน อัซเซาว์รีย์ ร่อฮิมะฮุลลอฮ์ กล่าวว่าไม่ควรที่ผู้มีความรู้และท่องจำอัลกุรอานจะเป็น ผู้ที่หยาบคาย ไม่เรียบร้อยและพูดจาส่งเสียงดัง เอะอะโวยวาย

 

          ท่านอัลฟุฏอยส์ กล่าวว่าผู้ที่ศึกษาและท่องจำอัลกุรอานนั้น ต้องละเลิกการฝ่าฝืนต่อพระเจ้าโดยสิ้นเชิง เพราะเขาจะฝ่าฝืนต่อพระเจ้าของเขาได้อย่างไร ในเมื่อทุกๆ อักษรของอัลกุรอานต่างบอกกับเขาว่า ขอสาบานต่ออัลลอฮ์ ท่านจะปฏิบัติตนค้านกับสิ่งที่ท่านได้รับไปจากฉันได้อย่างไรกัน?

 

ดังนั้น ผู้ที่ศึกษาและท่องจำอัลกุรอานจึงไม่ควรเป็นผู้ที่ละเลย และประพฤติมิชอบ ดังที่ท่านมาลิก อิบนุ ดีน๊าร ได้กล่าวไว้ว่า  

         “โอ้ผู้ที่ศรัทธาและอ่านอัลกุรอาน...อัลกุรอานได้เพาะปลูกอะไรไว้ในหัวใจของพวกท่านบ้าง? เพราะแท้จริง อัลกุรอานคือสิ่งจรรโลงใจ ดั่งฝนชุ่มฉ่ำที่ตกลงมาบนหน้าผืนแผ่นดิน

 

มารยาทของอัลกุรอาน คือ

1. พูดจริง รักษาสัจจะ ไม่โกหก

อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ตรัสว่า

โอ้บรรดาผู้ที่ศรัทธาทั้งหลาย พึงยำเกรงอัลลอฮ์เถิด และจงอยู่ร่วมกับบรรดาผู้ที่พูดจริง

(อัตเตาบะฮ์ 9/119)

ท่านร่อซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะวัลลัม ได้กล่าวว่า

แท้จริง ความสัตย์จริงนั้นจะนำไปสู่คุณธรรม ความดี และคุณธรรม ความดีงามนั้นจะนำพาไปสู่สวนสวรรค์ 

และแท้จริง ชายผู้นั้นมีความสัตย์จริง กระทั่งเขาจะได้รับการบันทึก ที่อัลลอฮ์ว่าเขาเป็น ผู้สัตย์จริง 

และแท้จริง การโกหก พูดเท็จนั้นจะนำพาไปสู่ความชั่วร้าย 

และแท้จริง ความชั่วร้ายนั้นจะนำพาไปสู่ไฟนรก 

และแท้จริง ชายผู้นั้นโกหกพูดเท็จ กระทั่งเขาจะถูกบันทึก ที่อัลลอฮ์ว่าเขาเป็นผู้โกหก

(บันทึกโดย อิมามอัลบุคอรีย์ และอิมามมุสลิม)

 

ท่านร่อซูล ซ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า

เครื่องหมายของผู้ที่หน้าไหว้หลังหลอกมี 3 ประการคือ

เมื่อเขาพูด เขาก็โกหก เมื่อเขาสัญญา และเมื่อเขาได้รับความไว้วางใจ เขาก็คดโกง

(บันทึกโดย อิมามอัลบุคอรีย์ และอิมามมุสลิม)

 

          ท่านอุมัร อิบนุลคอฏฏ็อบ กล่าวว่าพึงทราบเถิดว่า แท้จริงความสัตย์จริงและคุณธรรมนั้นจะอยู่ในสวนสวรรค์ และพึงทราบเถิดว่าแท้จริง การโกหกและความชั่วนั้นจะอยู่ในไฟนรก

 

          ท่านอัลฟุฏอยส์ กล่าวว่าไม่มีก้อนเนื้อใดที่เป็นที่รักยิ่งสำหรับอัลลอฮ์ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา มากไปกว่าลิ้นที่สัจจริง และไม่มีก้อนเนื้อใดที่เป็นที่โกรธกริ้วสำหรับอัลลอฮ์ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา มากไปกว่าลิ้นที่พูดเท็จ

 

2. มีความซื่อสัตย์

อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ตรัสว่า

แท้จริง อัลลอฮ์ทรงใช้พวกเจ้าให้มอบคืนบรรดาของฝากแก่เจ้าของ

(อันนิซาอ์ 4/58)

 

ท่านร่อซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า

จงทำหน้าที่อย่างซื่อสัตย์แก่ผู้ที่ไว้วางใจท่าน และอย่าได้คดโกงผู้ที่คดโกงท่าน

(บันทึกโดย อิมามอะหมัด)

 

ผู้ที่ไม่ซื่อสัตย์ คือผู้ที่ไม่มีศรัทธา และผู้ที่ไม่รักษาสัญญา คือ ผู้ที่ไม่มีศาสนา

(บันทึกโดย อิมามอะหมัด)

 

สิ่งแรกที่พวกท่านจะสูญเสียไปจากศาสนาของพวกท่าน คือ ความซื่อสัตย์

(บันทึกโดย อิมามอัฏฏ็อบรอนีย์)

 

         ท่านอิบนุ อุมัร ร่อฎิยัลลอฮุอันฮุมา กล่าวว่าพวกท่านอย่าได้มองเพียงการละหมาดและการถือศีลอดของคนหนึ่งคนใด พวกท่านจงมองความสัตย์จริงของคำพูดเมื่อเขาพูด จงมองความซื่อสัตย์ของเขาเมื่อเขาได้รับมอบหมายหน้าที่ และจงมองความเคร่งครัดของเขาเมื่อเขาถึงวัยใกล้ฝั่ง

 

3. มีความนอบน้อม ถ่อมตน

อัลลอฮ์ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ตรัสว่า

และจงลดปีกของเจ้า (นอบน้อมถ่อมตน) แก่บรรดาผู้ศรัทธาที่ปฏิบัติตามเจ้า

(อัชชุอะรออ์ 26/215)

และปวงบ่าวของพระผู้ทรงกรุณาปราณีคือ บรรดาผู้ที่เดินบนแผ่นดินด้วยความสงบเสงี่ยม

(อัลฟุรกอน 25/63)

และอย่าเดินบนแผ่นดินอย่างเย่อหยิ่ง

แท้จริง เจ้าจะแยกแผ่นดินไม่ได้เลย และจะไม่บรรลุความสูงของภูเขา

(อัลอิสรออ์ 17/37)

เป็นผู้นอบน้อมถ่อมตนต่อบรรดาผู้ศรัทธา ไว้เกียรติแก่บรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธา

(อัลมาอิดะฮ์ 5/54)

ท่านร่อซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า

ไม่มีผู้ใดที่นอบน้อมถ่อมตนเพื่ออัลลอฮ์ นอกจากพระองค์จะทรงยกย่องเขา

(บันทึกโดย อิมามมุสลิม)

แท้จริง อัลลอฮ์ทรงวะฮีย์ลงมายังฉัน ให้พวกท่านมีความนอบน้อม ถ่อมตน

เพื่อมิให้คนหนึ่งคนใดโอ้อวดและข่มเหงผู้อื่น

(บันทึกโดย อิมามมุสลิม)

ท่านร่อซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า

ผู้ที่ในหัวใจของเขามีความหยิ่งยโสเพียงผงธุลีเดียว เขาจะไม่ได้เข้าสวรรค์

(บันทึกโดย อิมามมุสลิม)

 

 

ที่มา วารสารสายสัมพันธ์...♥