สิ่งที่หายไปจากสังคมมุสลิม
โดย : เชคอาลี อีซา ร่อฮิมะฮุลลอฮ์
ผู้ที่พินิจพิจารณาคำสอนของอิสลามโดยละเอียด จะพบว่าอิสลามมุ่งที่จะสร้างมนุษย์ที่ดี ที่มีความ ยำเกรงอัลลอฮ์ ปฏิบัติดีต่อตนเองและเพื่อนมนุษย์ การปฏิบัติศาสนกิจที่อิสลามกำหนดไว้ ไม่ว่าจะเป็น การดำรงละหมาด ชำระซะกาต ถือศีลอด และทำฮัจญ์นั้น ล้วนนำไปสู่เป้าหมายดังกล่าวทั้งสิ้น
ทั้งนี้ หากคำนึงถึงเรื่องวิญญาณแห่งการปฏิบัติศาสนกิจ เพราะวิญญาณแห่งการปฏิบัติศาสนกิจนั้นเป็นสิ่งที่ทำให้ได้รับผลตอบแทนอย่างครบถ้วนในสิ่งที่เขาได้กระทำไว้ ตัวอย่างในเรื่องนี้ก็คือ การละหมาด หากว่าผู้ที่ดำรงละหมาดไม่มีความพิถีพิถันในอิริยาบถแห่งการละหมาด ไม่คำนึงถึงการ “คุชุ้อ์” หรือสภาพจิตใจขณะที่เฝ้าพระเจ้า แน่นอน การละหมาดของเขาก็เป็นการละหมาดที่ปราศจากวิญญาณ
ในอัลกุรอานมีการกำชับให้ผู้ที่ละหมาดรู้เรื่องในการละหมาดที่เขากระทำ ดังที่อัลลอฮ์ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ตรัสไว้ในซูเราะฮ์อันนิซาอ์ 4 อายะฮ์ที่ 43 ที่ว่า
“จนกว่าพวกเจ้าจะรู้สิ่งที่พวกเจ้าพูด” (หมายถึงว่าได้อ่านอะไรออกไป)
ในทำนองเดียวกัน โอวาทของท่านร่อซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ก็กล่าวไว้อย่างละเอียดเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า
“แท้จริง ผู้ที่เป็นบ่าวจะไม่ได้รับการจารึกผลตอบแทนจากการละหมาดนั้น นอกจากเพียงครึ่งหนึ่ง หนึ่งในสาม หนึ่งในสี่ หนึ่งในห้า หนึ่งในหก หนึ่งในเจ็ด หนึ่งในแปด หนึ่งในเก้า หนึ่งในสิบของละหมาดนั้น”
และท่านเคยกล่าวเช่นกันว่า :
"แท้จริง ผลตอบแทนในละหมาดที่จะถูกจารึกให้กับบ่าวเพียงเฉพาะส่วนที่เขารู้เรื่องจากการกระทำนั้นเท่านั้น”
(บันทึกโดย อิมามอะหมัด อบูดาวู๊ด และอันนะซาอีย์ จากรายงานของท่านอัมม๊าร อิบนิ ยาซิร)
ฮะดิษนี้ชี้ให้เห็นว่าเมื่อผู้ที่ละหมาด ไม่มี “คุชู้อ์” และหัวใจของเขาไม่อยู่กับการละหมาดแน่นอน ผลตอบแทนของการละหมาดนั้นๆ จะขาดไป จนอาจเหลือเพียงหนึ่งในสิบก็ได้
ด้วยเหตุดังกล่าวนี้ท่านอุมัร อิบนิลคอฏฏ็อบ จึงกล่าวขณะที่เห็นชายคนหนึ่งยืนละหมาดไม่เรียบร้อยว่า
“หากว่าหัวใจชายคนนี้มี “คุชุ้อ์” แล้ว แน่นอน อวัยวะ อื่นๆ ของเขาจะ “คุช้วอ์” ตามไปด้วย”
ท่านอับดุลลอฮ์ อิบนิ อับบ๊าส ได้กล่าวว่า “ท่านจะไม่ได้รับผลตอบแทนใดๆ ในละหมาดของท่าน นอกจากในส่วนที่ท่านรู้เรื่องขณะที่ท่านกระทำอยู่เท่านั้น”
บรรดาชาวสลัฟ (ยุคแรกๆ แห่งอิสลาม) จึงอธิบายคำว่า “คุช้อ์” ในละหมาดที่มีกล่าวไว้ในอัลกุรอานนั้นว่า หมายถึง “การสงบนิ่งมีสมาธิ” และยังกล่าวอีกว่า “การสงบนิ่งนั้นอยู่ในหัวใจ เมื่อหัวใจสงบแล้วย่อมทำให้อวัยวะอื่นๆ สงบไปด้วย”
ในทำนองเดียวกัน หากว่าผู้ถือศีลอดไม่คำนึงถึงขอบเขตที่อิสลามกำหนดไว้เกี่ยวกับมารยาทของการถือศีลอด เราก็จะไม่ได้รับผลตอบแทนใดๆ จากการถือศีลอด นอกจากความหิวและความกระหายเท่านั้น
อย่างไรก็ตามอิบาดะฮ์ใดๆ ในอิสลาม หากว่าผู้ปฏิบัติไม่รักษาวิญญาณแห่งอิบาดะฮ์นั้นๆ แล้ว ก็จะกลายเป็นอิบาดะฮ์ที่ไร้ผล
อนึ่งคำว่า “วิญญาณ” ณ ที่นี้ หมายความถึงสองประการ คือ
1. ความจริงใจในการทำอิบาดะฮ์นั้นๆ
2. ปฏิบัติอย่างครบถ้วนตามเงื่อนไข และขอบเขตของอิบาดะฮ์นั้น
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าการทำอิบาดะฮ์ ในลักษณะสองประการนี้ จะเป็นหนทางที่จะนำสังคมมุสลิมไปสู่ความเจริญก้าวหน้าและความผาสุกในโลกนี้ และจะได้รับความโปรดปรานจากอัลลอฮ์ในโลกอาคิเราะฮ์ มุสลิมในยุคแรกๆ ได้บรรลุถึงฐานะความสูงส่งนี้มาแล้วด้วยการทำอิบาดะฮ์ ตามแบบฉบับที่สมบูรณ์ และด้วยความจริงใจ
คำสอนของอิสลามไม่ได้มีมาเพื่อให้มุสลิมขาดความอบอุ่นใจ หรือทำให้มีฐานะด้อยกว่าผู้อื่นใน โลกนี้ หากแต่อิสลามกำหนดความผาสุกและเกียรติให้แก่มุสลิมทั้งในโลกนี้และโลกหน้าอีกด้วย
ผู้ที่ศึกษาอิสลามอย่างถ่องแท้ และพินิจพิจารณาสภาพสังคมมุสลิมในยุคแรก จะพบว่านี่คือเป้าหมายอันแท้จริงแห่งอิสลาม เพราะอิสลามมีข้อพิสูจน์ที่เป็นจริงที่...
♦ ให้มวลมนุษย์สัมผัสได้ในโลกนี้
♦ ให้มวลมนุษย์สัมผัสกับความเจริญก้าวหน้าแห่งสังคมมุสลิม
♦ ให้มวลมนุษย์สัมผัสกับความรักใคร่ที่ประจักษ์ชัดในสังคมมุสลิม
♦ ให้มวลมนุษย์สัมผัสกับจริยธรรมอันดีงามจากสังคมมุสลิม
เมื่อนั้นแหละ มวลมนุษย์จะหันมาสนใจต่อศาสนาอิสลาม เพราะมนุษย์ไม่ว่า ณ ที่ใดจะมีสภาพอย่างไร อยู่ในยุคใด ย่อมมีความทะเยอทะยาน ประสงค์ที่จะมีชีวิตที่ดีกว่าอยู่เสมอ
สังคมมุสลิมปัจจุบันขาดคุณสมบัติการเป็นสังคมตัวอย่างแก่มวลมนุษย์ ทั้งๆ ที่อัลลอฮ์ได้ทรงกำหนดให้มุสลิมเป็นสังคมตัวอย่างและเป็นประชาชาติที่ดีที่สุด ทั้งนี้เพราะว่าวิญญาณแห่งการปฏิบัติศาสนกิจที่อิสลามกำหนดไว้นั้น ได้หายไปจากสังคมมุสลิมในทุกวันนี้เสียแล้ว
ที่มา : วารสาร สายสัมพันธ์...♥