ส ต รี ตั ว อ ย่ า ง...
  จำนวนคนเข้าชม  4200


สตรีตัวอย่าง

โดย เชคอาลี อีซา ร่อฮิมาฮุลลอฮ์

 

          นักประวัติศาสตร์เคยนำเรื่องราวอันมากมายเกี่ยวกับบทบาทของบุรุษ มากล่าวถึงกันอยู่เสมอ แต่สำหรับสตรีนั้นมีการกล่าวถึงน้อยมาก ทั้งนี้ก็เพราะว่า บทบาทของสตรีนั้นมักจะมีอยู่เฉพาะภายในบ้านเป็นส่วนมาก สตรีต้องทำหน้าที่ต่อสามี และต่อลูกอย่างดีที่สุด จะมีใครอีกเล่าในโลกนี้ที่จะทำหน้าที่เลี้ยงดูให้ความอบอุ่นแก่ลูกยิ่งไปว่าผู้เป็นแม่ ด้วยเหตุนี้จึงเรียกมารดาว่าเป็นผู้สร้างพลังแห่งชาติโดยแท้ และเรียกบ้านว่าเป็นอาณาจักรของสตรี

 

          สตรีที่เราจะนำมาเล่าสู่กันฟังในวันนี้ มิใช่เป็นสตรีธรรมดาสามัญทั่วๆ ไป หากแต่เป็นสตรีที่มีเชื้อสายสืบทอดมาจากตระกูลที่ทำหน้าที่เป็นผู้ปกครองอาณาจักรอิสลามอันยิ่งใหญ่ เธอผู้นั้นก็คือ นางฟาฏิมะฮ์ บุตรีของอับดุลมะลิก อิบนิ มัรวาน ผู้เป็นคอลีฟะฮ์แห่งอาณาจักรของอิสลามในสมัยอะมะวียะฮ์ และเป็นหลานสาวของคอลีฟะฮ์ มัรวาน อิบนิลฮะกัม พี่น้องของเธอทั้งสี่คนก็เป็นคอลีฟะฮ์ด้วยเช่นกันคือ 

1. อัลวะลีด อิบนิ อับดุลมะลิก

2. สุลัยมาน อิบนิ อับดุลมะลิก

3. ยะซีด อิบนิ อับดุลมะลิก

4. ฮิซาม อิบนิ อับดุลมะลิก 

นอกจากนั้น เธอยังเป็นภรรยาของท่านอุมัร อิบนิ อับดุลอะซีซ ซึ่งเป็นคอลีฟะฮ์ผู้ทรงธรรมของมุสลิมอีกด้วย

 

          ด้วยเหตุนี้ นักกวีอาหรับจึงเขียนกลอนกล่าวสดุดีนางฟาฎิมะฮ์ บินติ อับดุลมะลิก อิบนิ มัรวาน มีความว่า

... เป็นบุตรีของคอลีฟะฮ์ ...และปู่ของเธอก็เป็นคอลีฟะฮ์

... มีพี่น้องที่เป็นคอลีฟะฮ์ ...และสามีของเธอก็เป็นคอลีฟะฮ์อีกด้วย

 

          เพื่อจะได้ทราบถึงความยิ่งใหญ่แห่งอาณาจักรอิสลาม ซึ่งอยู่ภายในการปกครองของราชวงศ์อะมะวียะฮ์ในสมัยนั้น เราใคร่จะเรียนให้ทราบว่า ในสมัยที่ท่านอะมีรุลมุอ์มินีน อับดุลมะลิก อิบนิ มัรวาน ผู้เป็นบิดาของนางฟาฏิมะฮ์เป็นคอลีฟะฮ์นั้น อาณาจักรอิสลามมีอาณาเขตกว้างใหญ่ไพศาล กล่าวคือ ทิศตะวันออกจรดพรมแดนจีนและอิหร่าน ทางทิศตะวันตกจรดมหาสมุทรแอตแลนติค คือ บริเวณดินแดนของมอร็อคโคในปัจจุบัน สเปนและโปรตุเกส ทางทิศเหนือจรดพรมแดนรัสเซีย และทางทิศใต้จรดประเทศซูดาน

 

          นางฟาฏิมะฮ์ บินติ อับดุลมาลิก ผู้นี้แม้จะเป็นถึงลูกสาวของผู้ปกครองอิสลาม เมื่อวันที่นางเข้าสู่พิธีนิกะห์กับท่านอุมัร อิบนิ อับดุลอะซีซ นั้น เธอแต่งตัวเต็มที่พร้อมด้วยเครื่องประดับและอัญมณีอันมีค่า อย่างชนิดที่เรียกว่าในวันส่งตัวแก่เจ้าบ่าวนั้น ไม่มีสตรีใดในประวัติศาสตร์อิสลามจะประดับประดาด้วยของแต่งตัว อันมีค่ามากมายมหาศาลเท่าเทียมกับเธอได้เลย 

 

         แต่แล้วท่านอุมัร อิบนิ อับดุลอะซีซ ก็บอกให้ นางฟาฏิมะฮ์นำของแต่งตัวทั้งหมดนั้นไปมอบให้กับบัยตุลมาล(คลังแผ่นดิน)เสีย ยิ่งไปกว่านั้น ทั้งๆ ที่นางฟาฏิมะฮ์ผู้เคยใช้ชีวิตด้วยความสนุกสนาน สะดวกสบาย อยู่บนกองเงินกองทองมาตั้งแต่เกิด เพราะเป็นบุตรีของคอลีฟะฮ์แห่งราชวงศ์อะมะวียะฮ์ แต่พอเธอมาแต่งงานกับท่านอุมัร อิบนิ อับดุลอะซีซ เธอกลับมีชีวิตที่ยากลำบากยิ่งกว่าคนธรรมดาเสียอีก

 

          ประวัติศาสตร์ได้บันทึกไว้ว่า ครั้งหนึ่งมีหญิงจากพรมแดนอิหร่านกับอัฟกานิสถานได้เดินทางมาหาท่านคอลีฟะฮ์ อุมัร อิบนิ อับดุลอะซีซ และถามผู้คนถึงทางที่จะไปยังวังของท่านคอลีฟะฮ์ เมื่อหญิงคนนั้น ไปถึงตามที่มีคนชี้ทางให้ ก็พบแต่เพียงบ้านหลังหนึ่ง ซึ่งไม่ต่างไปจากบ้านประชาชนคนธรรมดาอื่นๆ และก็ไม่พบใครนอกจากคนรับใช้อยู่คนหนึ่งเท่านั้น

 

     เมื่อหญิงคนนั้นเข้าไปในบ้าน ก็พบชายคนหนึ่งกำลังฉาบปูนอยู่ที่ฝาผนังบ้าน และมีหญิงคนหนึ่งกำลังส่งปูนให้ชายผู้นั้น

     หญิงผู้มาเยือนจึงพูดขึ้นว่าทำไมเธอจึงไม่หลบไปจากชายผู้นี้เล่า ?”

     หญิงผู้นั้นตอบว่า ชายคนนี้ คือ อะมีรุลมุอ์มินีน (อุมัร อิบนิ อับดุลอะซีซ) และฉันก็เป็นภรรยาของเขา

     หญิงที่มาเยือนรู้สึกประหลาดใจมากจนพูดอะไรไม่ออก

     นางฟาฏิมะฮ์ไม่เพียงแต่จะสละของแต่งตัวของเธอเท่านั้น หากแต่ยังใช้ชีวิตร่วมกันบท่านคอลีฟะฮ์อุมัร อิบนิ อับดุลอะซีซ อย่างแทบไม่น่าเชื่อ

 

     ท่านอุมัร อิบนิ อับดุลอะซีซเอง ซึ่งเคยใช้จ่ายปีละประมาณ 4 หมื่นดิรฮัม แต่ภายหลังจากที่ท่านเป็นคอลีฟะฮ์ ท่านใช้เพียงปีละ 400 ดิรฮัมเท่านั้น

 

     นางฟาฏิมะฮ์เล่าว่าฉันยังไม่ลืมชีวิตที่เคยอยู่ร่วมกับสามี (ท่านอุมัร) ท่านทำให้ฉันนึกถึงอาคิเราะฮ์ จนกระทั่งฉันไม่รู้สึกขาดอะไรเลย มิหนำซ้ำยังได้รับความอบอุ่นใจ และสุขใจยิ่งกว่า ขณะที่ฉันใช้ชีวิตอยู่ในวังของบิดาของฉันเสียอีก

 

          นับได้ว่าชีวิตของนางฟาฏิมะฮ์เป็นแบบอย่างอันดีงามแก่บรรดาสตรีมุสลิมทั้งมวล ซึ่งมักจะสนใจในการสะสมและสวมใส่ ประกวดประขันของแต่งตัวกันเสียเป็นส่วนมาก

 

          เราถือว่า ในฐานะที่นางฟาฏิมะฮ์ใช้ชีวิตอยู่ในสมัยที่ไม่มีสตรีคนใดที่จะนึกโน้มเอียงไปสู่อาคิเราะฮ์ เพราะในสมัยของนางนั้น เป็นสมัยที่ขาดแบบอย่างจากบรรดาภรรยาของท่านร่อซูลุลลอฮ์ และบรรดาภรรยาซอฮาบะฮ์ และสมัยนั้น มุสลิมเป็นมหาอำนาจ อาณาจักรอิสลามมีรายได้มหาศาล จึงเป็นเหตุให้บรรดาผู้ปกครองใช้ชีวิตกันอย่างหรูหรา ฟุ่มเฟือย และละเมิดเลยขอบเขตของศาสนา สะสมสิ่งประดับประดากันอย่างสุรุ่ยสุร่าย นางฟาฏิมะฮ์เองก็หาได้พ้นจากสภาพดังกล่าวไม่ นับตั้งแต่เกิดมาจบกระทั่งถึงวันแต่งงาน

 

          ในปัจจุบัน เรามักจะเรียกบรรดาผู้เป็นภรรยาของประธานาธิบดี หรือภรรยาประมุขของประเทศที่สำคัญๆ ว่า สตรีหมายเลขหนึ่ง ทั้งๆ ที่ประมุขหรือประธานาธิบดีเป็นผู้ปกครองประเทศเพียงอย่างเดียว แต่ท่านอุมัร อิบนิ อับดุลอะซีซ ผู้เป็นสามีของนางฟาฏิมะฮ์นั้น เป็นผู้ปกครองอาณาจักรอิสลาม ถ้าจะเทียบเป็นประเทศในปัจจุบันไม่ต่ำว่า 170 ประเทศทีเดียว แต่แล้วนางฟาฏิมะฮ์ ผู้เป็นภรรยาอะมีรุลมุอ์มินีนแห่งอาณาจักรอิสลามกลับเลือกใช้ชีวิตอยู่อย่างเรียบง่าย เปี่ยมล้นไปด้วยการอีมาน สมถะ ไม่ฟุ้งเฟ้อ เห่อเหิม เช่นภรรยาผู้นำประเทศทั่วๆ ไป

 

          คนเรานั้นมักจะอยากได้อย่างนั้นอย่างนี้จากสิ่งอำนวยความสุขแห่งโลกนี้ แต่เมื่อเขาได้พบกับที่สุดแห่งความปรารถนา เขาก็จะเกิดเอือมระอาและเบื่อหน่ายต่อสิ่งดังกล่าวที่เขาได้ประสบมาแล้ว

 

          สำหรับผู้ศรัทธานั้น เขาคำนึงอยู่เสมอว่า ความสุขในโลกดุนยานี้ หากจะเทียบกับความสุขในโลกอาคิเราะฮ์แล้ว ประหนึ่งนิ้วที่จุ่มลงไปในมหาสมุทร หยดน้ำที่ติดนิ้วมานั้น ก็เสมือนกับความสุขที่เขาได้รับในโลกดุนยานี้ ซึ่งมันช่างน้อยนิดเสียนี่กระไร แล้วน้ำที่เหลืออยู่ในมหาสมุทรนั้นเล่า ซึ่งเปรียบกับความสุขในโลกอาคิเราะฮ์นั้นมีอยู่มากมายมหาศาลเพียงใด ? ขอท่านทั้งหลายจงพิจารณาดูเอาเถิด ท่านจะเลือกเอาน้ำจากปลายนิ้วหรือน้ำในมหาสมุทร ?

 

          เรื่องอีมานศรัทธานั้น หาใช่เป็นกรรมสิทธิ์เฉพาะชายเท่านั้นก็หาไม่ หากแต่หญิงทุกคนก็มีสิทธิ์ในการอีมานเช่นกัน และจะได้รับรางวัลตอบแทนจากอัลลอฮ์เช่นเดียวกัน ไม่ด้อยไปกว่ากัน ด้วยเหตุนี้ สตรีในอดีตที่มีอีมาน ที่สนใจในผลตอบแทนในโลกอาคิเราะฮ์นั้นมีมิใช่น้อย แต่เนื่องจากสถานภาพของสตรี ตลอดจนสิ่งแวดล้อม ทำให้พวกเธอไม่เป็นที่ออกหน้าออกตาและไม่เป็นที่รู้จักกันเหมือนกับบรรดาบุรุษทั้งหลาย จึงทำให้ดูเหมือนว่าจะหาสตรีที่มีประวัติอันดีเด่น เพื่อเป็นตัวอย่างในประวัติศาสตร์อิสลามได้น้อยมาก 

 

          ที่กล่าวว่านางฟาฏิมะฮ์ บุตรีของคอลีฟะฮ์อับดุลมะลิก อิบนิ มัรวาน ซึ่งเป็นคอลีฟะฮ์ที่มีอำนาจสูงสุดของโลกในสมัยนั้น และเป็นภรรยาของคอลีฟะฮ์อุมัร อิบนิ อับดุลอะซีซ ไม่หลงต่อความเพริศแพร้วแห่งโลกดุนยานี้ และไม่แสดงอาการไม่พึงพอใจกับชีวิตที่ต่างกันไกลลิบ จากที่เคยเป็นอยู่ เพราะท่านอุมัร อิบนิ อับดุลอะซีซ ให้เธอนำของแต่งตัวทั้งหมดไปมอบให้กับบัยตุลมาล (คลังแผ่นดิน) ภายหลังวันแต่งงาน 

     โดยที่ท่านอุมัร อิบนิ อับดุลอะซีซ พูดว่า เธอจะเลือกเอาของแต่งตัว ซึ่งมีมูลค่ามากมายมหาศาลนี้ หรือจะเลือกเอาตัวฉัน ?”

     คำตอบที่ท่านอุมัรได้รับก็คือ ดิฉันขอเลือกเอาตัวท่านอุมัร และยินดีสละของแต่งตัวนี้ทั้งหมดให้เป็นของบัยตุลมาล (คลังแผ่นดิน)”

     และภายหลังจากที่ท่านอุมัร อิบนุ อับดุลอะซีซ ได้กลับไปสู่ความเมตตาของอัลลอฮ์แล้ว เจ้าหน้าที่ผู้รักษาบัยตุลมาน ได้นำเครื่องแต่งตัวทั้งหมดมาเพื่อมอบคืนให้แก่นางฟาฏิมะฮ์

    โดยกล่าวว่า นี่คือของแต่งตัวที่เป็นกรรมสิทธิ์ของนาง ที่ข้าพเจ้าได้เก็บรักษาเอาไว้ บัดนี้นางมีสิทธิ์ได้รับของดังกล่าวคืนอย่างครบถ้วนแล้ว

     นางฟาฏิมะฮ์กล่าวตอบสวนเจ้าหน้าที่ผู้นั้นไปทันทีว่า

          ฉันสละเครื่องประดับเหล่านี้โดยใจสมัคร เพื่อเป็นการแสดงว่า ฉันเชื่อฟังสามีของฉัน อะมีรุลมุอ์มินีน อุมัร อิบนิ อับดุลอะซีซ และฉันมิใช่หญิงชนิดที่เชื่อฟังสามีขณะที่เขายังมีชีวิตอยู่ แล้วกลับมาฝ่าฝืนสามีขณะที่เขาตายไปแล้ว

 

(ลาอิลาฮ์อิลลัลลอฮ์ มุฮัมมัด รอซูลลุลลอฮ์

 

ที่มา : วารสาร สายสัมพันธ์...♥