จงเจริญรอยตามและอย่าได้ทำอุตริกรรม
โดย เชค ดร.ซอและห์ อิบฺ หฺไมยด์
ถอดความโดย ส.สมอเอก
โอ้บรรดาบ่าวของอัลลอฮ์ ท่านทั้งหลายจงยำเกรงอัลลอฮ์ จงเกาะติดอยู่กับห่วงที่เหนียวแน่นที่สุดของอัลอิสลาม จงยึดมั่นอยู่กับแนวทาง (ซุนนะฮ์) ของนบีของท่านทั้งหลาย และจงจับมันไว้ให้แน่น เหมือนกับการกัดไว้ด้วยฟันกราม ท่านทั้งหลายจงออกห่างอุตริกรรม (บิดอะฮ์) ต่างๆ เพราะว่าทุกอุตริกรรมนั้นมันเป็นความหลงผิด และทุกความหลงผิดนั้นมันทำให้ตกนรก
โอ้บรรดาผู้ศรัทธา อัลลอฮ์ทรงทำให้ศาสนานี้สมบูรณ์แล้ว ทรงพึงพอใจต่อศาสนานี้แล้ว และทรงทำให้ความโปรดปรานของพระองค์ครบถ้วน ด้วยศาสนานี้แล้ว... คัมภีร์ (กิตาบ) ของอัลลอฮ์ และแนวทาง (ซุนนะฮ์) ขอท่านร่อซูล มุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ทั้งสองนั้นไม่ได้ละทิ้งคำพูดไว้ให้แก่ผู้ที่ต้องการจะวิพากษ์วิจารณ์คนหนึ่งคนใดในหนทางแห่งการนำทาง และไม่ได้ปล่อยหนทางใดไว้ให้แก่ผู้ที่ต้องการจะมาวางบทบัญญัติคนหนึ่งคนใด ผู้ที่ใช้สองมือของเขาจับมันอยู่กับมันทั้งสอง เขานั้นก็เป็นผู้จับมั่นอยู่กับห่วงที่เหนียวแน่นที่สุด และเป็นผู้ที่ได้รับความดีงาม ทั้งในโลกนี้ (ดุนยา) และโลกหน้า (อาคีเราะฮ์)
“วันนี้ฉัน (อัลลอฮ์) ได้ทำให้ศาสนาของพวกเจ้าครบถ้วนแก่พวกเจ้าแล้ว ฉันได้ทำให้ความโปรดปรานของฉันสมบูรณ์แก่พวกเจ้าแล้ว และฉันได้พอใจให้อัลอิสลามเป็นศาสนาของพวกเจ้าแล้ว”
(อัลมาอิดะฮ์/3)
“และว่าอันนี้เป็นหนทางของฉัน มันเป็นหนทางที่เที่ยงตรง ดังนั้น พวกเจ้าจงดำเนินตามมัน และอย่าได้ดำเนินการตามหนทางอื่นๆ แล้วมันจะพาให้พวกเจ้าแตกออกไปจากหนทางของพระองค์ อันนั้นคือสิ่งที่พระองค์ได้ทรงสั่งใช้พวกเจ้าให้ปฏิบัติตาม หวังพวกเจ้าจะยำเกรง”
(อัลอันอาม/153)
อัฏฏอบรอนีย์ได้รายงานด้วยสายสืบที่ถูกต้อง จากท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ท่านได้กล่าวไว้ว่า
“ฉันไม่ได้ทิ้งสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่จะทำให้ท่านทั้งหลายได้อยู่ใกล้กับอัลลอฮ์ นอกจากว่าฉันได้ใช้ให้ท่านทั้งหลายได้กระทำสิ่งนั้นเท่านั้น และฉันไม่ได้ทิ้งสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่จะทำให้ท่านทั้งหลายอยู่ห่างไกลกับอัลลอฮ์ นอกจากว่าฉันได้ห้ามท่านทั้งหลายไม่ให้กระทำสิ่งนั้นเท่านั้น”
การเคารพภักดีต่างๆ ทั้งหมดของบรรดาผู้ทำการเคารพภักดีนั้น จำเป็นที่จักต้องเป็นสิ่งที่มีการควบคุมด้วยการชี้ขาดของบทบัญญัติในการสั่งใช้ และการสั่งห้าม จำเป็นที่จักต้องดำเนินไปโดยอยู่ในแนวทางของบทบัญญัติ สอดคล้องกับรูปแบบของบทบัญญัติ และสิ่งอื่นที่นอกเหนือไปจากนี้แล้ว มันก็เป็นสิ่งที่ถูกปฏิเสธ ถูกตีกลับสู่ผู้กระทำ
“ผู้หนึ่งผู้ใดกระทำการงานหนึ่งการงานใด โดยที่เรื่องราวของเราไม่ได้ตั้งอยู่บนการงานนั้นแล้ว มันก็เป็นสิ่งที่ถูกโต้ตีกลับ และผู้หนึ่งผู้ใดได้ทำขึ้นมาใหม่ในเรื่องราวของเรานี้ซึ่งสิ่งที่ไม่มีอยู่ในเรื่องราวของเราแล้ว มันก็เป็นสิ่งที่ถูกโต้ตีกลับ”
ซึ่งเป็นรายงานที่ถูกต้องมาจากผู้พูดจริง ผู้ได้รับการเชื่อถือ (นบีมุฮัมมัด) อะลัยฮิอัฟฏ่อลุศเศาะลาตุวัสสลาม อุมัรอิบนุ อับดิลอะซี้ส ร่อหิมะฮุลลอฮ์ ได้กล่าวไว้ว่า
“ท่านร่อซูลุลลอฮ์ (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) และบรรดาผู้ปกครองที่มาหลังจากท่านได้วางแนวทางต่างๆ ไว้มากมาย ซึ่งการนำเอาแนวทางต่างๆ เหล่านั้นมาปฏิบัติ ถือว่าเป็นการเชื่อคัมภีร์ของอัลลอฮ์ การใช้มันไปในการเชื่ออัลลอฮ์ และเพิ่มพูนความเข้มแข็งให้แก่ศาสนาของอัลลอฮ์ ไม่มีคนหนึ่งคนใดมีสิทธิ์ในการที่จะเปลี่ยนแปลงแนวทางต่างๆ นั้นได้ ตลอดจนการไปมองความคิดเห็นที่ค้านกับแนวทางต่างๆ เหล่านั้น ใครที่เจริญรอยตามและดำเนินตามแนวทางต่างๆ ของพวกผู้ปฏิเสธ อัลลอฮ์ก็จะทรงปล่อยเขาไปตามที่เขาต้องการ และพระองค์จะทรงให้เขาได้เข้านรก ซึ่งมันเป็นบั้นปลายที่ชั่วช้าที่สุด”
โอ้บรรดาผู้ศรัทธา แท้จริงหนทางของพวกผู้ปฏิเสธนั้นมันมีแรงดึงดูด มีตัณหา มีการหลงจากหนทางที่เที่ยงตรง มีการแตกแถว และมีการแยกตัวออกจากหมู่คณะ บทบัญญัตินั้นกำหนดสำหรับการเคารพภักดี และข้อกำหนดต่างๆ ซึ่งหนทางต่างๆ เฉพาะ ตามรูปแบบต่างๆ เฉพาะ ทั้งในกาลเวลา สถานที่ ลักษณะ และจำนวน บทบัญญัตินั้นได้ใช้ให้ปวงบ่าวปฏิบัติไปตามนั้น ในเรื่องของการห้าม การใช้ การเปิดกว้าง การกำหนดขอบเขต การสัญญาดี การสัญญาร้าย และบทบัญญัตินั้นบอกไว้ว่าความดีนั้นอยู่ในสิ่งที่บทบัญญัติได้กำหนดไว้ และความชั่วนั้นอยู่ในการละเมิด อยู่ในการออกนอกขอบเขตที่บทบัญญัติได้กำหนดไว้
“และอัลลอฮ์นั้นทรงรู้ ในขณะที่พวกเจ้าไม่รู้”
(อัลบะเกาะเราะฮ์/216)
และบรรดาร่อซูลนั้น พวกเขาถูกส่งมาเพื่อให้เป็นความเมตตาแก่บรรดาบ่าวของพระองค์ ใครที่ปรารถนาสิ่งอื่นนอกเหนือจากที่ได้ กล่าวมา และอ้างว่ามันยังมีหนทางอื่นอีกมากมาย เคารพภักดีต่ออัลลอฮ์ด้วยสิ่งที่สติปัญญาทั้งหลายเห็นว่ามันดีแล้ว ก็เท่ากับว่าเขาได้กระแนะกระแหนในความสมบูรณ์ของศาสนานี้ และคัดค้านสิ่งที่ผู้ที่ได้รับ
การเลือกเฟ้น ผู้ที่มีความซื่อสัตย์ (นบีมุฮัมมัด) อะลัยฮิอัฟฏอลุศเศาะลาตุวะอัซกัตตัสลีมได้นำมา และเหมือนกับว่าเขานั้นได้เอาสิ่งที่ขาดหายไปมาเพิ่มเติมให้แก่บทบัญญัติของพระองค์ อิบนุมาญิซูนกล่าวว่า
“ฉันได้ยินอิมามมาลิก ร่อฎิยัลลอฮุอันฮ์ กล่าวว่า ใครที่ทำอุตริกรรมขึ้นในอัลอิสลาม โดยที่เขาเห็นว่ามันเป็นสิ่งที่ดี ก็เท่ากับว่าเขานั้นได้อ้างว่า มุฮัมมัดนั้นไม่ซื่อตรงต่อสารที่ได้รับมา เพราะว่าอัลลอฮ์ ได้ตรัสไว้ว่า
“วันนี้ฉันได้ทำให้ศาสนาของพวกเจ้าครบถ้วนแก่พวกเจ้าแล้ว”
(อัลมาอิดะฮ์/3)
ดังนั้นสิ่งที่ไม่ได้เป็นศาสนาในวันนั้น มันก็ย่อมไม่ได้เป็นศาสนาในวันนี้ด้วย
การทำอุตริกรรม การแสวงหาแนวทาง การแสวงหาหนทางต่างๆ นั้น มันเป็นการขัดขืน การดื้อดันต่อบทบัญญัติ ซึ่งมันเป็นการดำเนินการตามความใคร่ ตัณหาโดยแท้ ดังนั้น ไม่มีหนทางใดอีกแล้ว นอกจากสองหนทางเท่านั้น หนทางแห่งบทบัญญัติ หรือไม่ก็หนทางแห่งความใคร่ ตัณหา
อัลลอฮ์ อัซซะวะญัลล์ ได้ตรัสไว้ว่า
“แล้วหากพวกเขาไม่ตอบรับเจ้า เจ้าก็จงรู้ไว้เถิดว่าแท้ที่จริงพวกเขาดำเนินตามความใคร่ของ พวกเขา และใครเล่าที่หลงผิดไปว่าผู้ที่ดำเนินตามความใคร่ของเขา โดยไม่มีทางนำจากอัลลอฮ์ แท้จริง อัลลอฮ์นั้นจะไม่ทรงนำทางหมู่คณะที่อธรรม”
(เกาะศ็อศ/50)
อายะฮ์ที่มีเกียรตินั้นได้ตีกรอบข้อชี้ขาดไว้ในสองสิ่งสองอย่างด้วยกัน ไม่มีสิ่งที่สาม คือ การตอบรับแก่ผู้ที่ได้รับการคัดเลือกแล้ว (ท่านนบีมุฮัมมัด) ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม หรือไม่ก็คือการดำเนินตามความใคร่ หากว่าผู้กระทำอุตริกรรมได้มุ่งด้วยอุตริกรรมของเขาซึ่งการเข้าใกล้ชิดกับอัลลอฮ์และมีความล้ำลึกในการเคารพสักการะก็ให้เขาได้รู้ไว้ว่าการกระทำอย่างนี้นั้น มันมีทางแทรกซึมที่กว้างใหญ่ อยู่ในเส้นทางที่คดเคี้ยว และเสียกระซิบกระซาบที่ทำให้หันเหเฉไฉมากมาย ในขณะที่ผู้ที่ได้รับการทดสอบนี้ไม่พึงพอใจในสิ่งที่ผู้ทรงวางบทบัญญัติได้ทรงกำหนด ทรงขีดขั้นไว้ เขาก็จะหนี จะหลบหลีกออกจากกฎเกณฑ์ ข้อกำหนดต่างๆ เหล่านี้ ซึ่งบางทีก็อาจมีความหยิ่งผยอง อวดดี ชอบที่จะแสดงตัวติดตามมาด้วย บวกกับการโน้มเอียงของจิตใจตามธรรมชาติของมันสู่การรับสิ่งใหม่ๆ ที่เขาไม่คุ้นเคยมาก่อนเลย เนื่องจากความเบื่อหน่าย ความระอา
แท้จริงการปฏิบัติตามข้อกำหนดต่างๆ ของบทบัญญัตินั้นมันมีความลำบากยากต่อตัวตน จิตใจ เพราะว่าในการกระทำดังกล่าวนั้น มันมีการขัดขวาง ต้านทานความใคร่ ตัณหา มันจึงเป็นสิ่งที่หนักหน่วงต่อผู้ที่กระทำอุตริกรรม และตัวตน จิตใจนั้น แท้ที่จริงแล้วนั้นมันจะมีความกระปรี้กระเปร่า มีความขยันขันแข็งอยู่กับสิ่งที่สอดคล้องกับความอยากความใคร่ ตัณหาของมัน
แต่ละอุตริกรรมนั้น ความใคร่จะมีทางแทรกซึมเข้าไปอยู่ได้ เพราะว่ามันจะย้อนกลับไปที่ความปรารถนาของพวกผู้ที่ประดิษฐ์ พวกที่คิดขึ้นมา และเดินเคียงคู่ไปกับความใคร่ และการโน้มเอียงของตัวตนของเขา มันไม่ได้เกิดขึ้นมาจากบทบัญญัติ กฎเกณฑ์ และหลักฐานต่างๆ ของบทบัญญัติแต่ประการใด
จากจุดนี้เอง อาจจะมีการใช้ดุลพินิจเกิดขึ้นมาจากผู้กระทำอุตริกรรม ในการกระทำ และการเคารพภักดี และอันนี้ไม่ใช่อะไรอื่น นอกจากความง่ายดายที่เขาพบ และความกระปรี้กระเปร่าที่เขามีความรู้สึก อันเนื่องจากความสอดคล้องกับความใคร่ ซึ่งพวกพระของพวกนัศรอนีย์ได้เก็บตัวของพวกเขาอยู่ในโบสถ์ สถานที่กราบไหว้บูชาของพวกเขา ตัดขาดจากโลกภายนอก โดยขาดความถูกต้องมาก่อน
“ใบหน้าต่างในวันนั้นมีความม่อยจ่อยทำงานหนัก”
(อัลฆอซิยะฮ์ 2-3)
“จงกล่าวเถิดว่า เราจะบอกให้พวกเจ้าได้รู้ถึงพวกที่ได้รับความขาดทุนมากที่สุด ในการงานของ พวกเขา ที่ความอุตสาหะของพวกเขา ในชีวิตนี้ได้หลุดลอยออกไป ความจริงในขณะที่พวกเขานึกคิดไปว่า พวกเขานั้น เป็นผู้กระทำดี เอาไหม?”
(อัลกะฮฟ์ 103-104)
“แล้วผู้ที่การงานที่เลวของเขาได้ถูกทำให้เห็นเป็นสิ่งที่ดีแก่เขา แล้วเขาได้เห็นว่ามันเป็นสิ่งที่ดี แท้จริงอัลลอฮ์นั้นจะทรงปล่อยให้ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์หลงทาง และจะทรงให้ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์อยู่ในทางนำ ดังนั้นเจ้าอย่าได้ปล่อยให้ตัวตน จิตใจของเจ้าล่องลอยโศกเศร้าไปกับพวกเขา แท้จริงอัลลอฮ์นั้นเป็นผู้ที่รู้ดี ในสิ่งที่พวกเขากระทำ”
(ฟาฏิร/8)
และแท้จริงการมุ่งสู่แบบอย่าง (ซุนนะฮ์) ของท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม โดยตรงนั้น มันดีกว่าการใช้ดุลพินิจ ในสิ่งที่เป็นอุตริกรรม
ด้วยสาเหตุของอุตริกรรม (บิดอะฮ์) และพวกผู้ทำอุตริกรรม โอ้บรรดาผู้ศรัทธา การโต้เถียงกันโดยไม่ชอบด้วยธรรมจึงมีมากขึ้น ไม่ได้อยู่ในแนวทางที่ดี และเกิดการทะเลาะในเรื่องของศาสนา ซึ่งเกาะตาดะฮ์ ร่อหิมะฮุลลอฮ์ได้กล่าวไว้เกี่ยวกับคำตรัสของพระองค์ตะอาลาที่ว่า
“และพวกเจ้าอย่าได้เป็นเหมือนกับพวกที่ได้แตกแยกและขัดแย้งกัน หลังจากที่มีโองการต่างๆ ที่ชัดแจ้งมายังพวกเขา”
(อาลอิมรอน:105)
พวกเขาคือพวกผู้ทำอุตริกรรม ผู้รู้บางท่านกล่าวว่า ทุกปัญหาที่เกิดขึ้นในอิสลาม และมีผู้คนทั้งหลายขัดแย้งกัน และการขัดแย้งกันนั้นไม่ได้ก่อให้เกิดความเป็นศัตรู ความโกรธเกลียด และความแตกแยกกันนั้น มันก็อยู่ในปัญหาต่างๆ ของอิสลาม และทุกปัญหาที่เกิดขึ้นมาแล้วทำให้เกิดความเป็นศัตรู ความโกรธเกลียด การผินหลังให้กัน และ การตัดขาดกันนั้น มันก็ไม่ได้อยู่ในเรื่องของศาสนาแต่ประการใด
พวกผู้ทำอุตริกรรมต่างๆ นั้น พวกเขาจะดำเนินตามสิ่งที่มีความหมายหลายนัย และหาทางตีความจนกระทั่งคำตรัสของพระองค์ตะอาลาที่ว่า
“ส่วนพวกที่ในหัวใจของเขามีความเฉไฉนั้น
พวกเขาก็จะดำเนินตามสิ่งที่มีความหมายหลายนัยจากมัน(อัลกุรอาน)”
(อาลอิมรอน:7)
ได้ถูกให้คำขยายความว่า พวกเขานั้น คือ พวกผู้ทำอุตริกรรม พวกผู้ปฏิบัติตามความใคร่
ในขณะที่คณะผู้ตัดสินได้กล่าวแก่ท่านอลีย์ ร่อฎิยัลลอฮุอันฮุว่า การตัดสินนั้นจะเป็นของใครไม่ได้ นอกจากเป็นของอัลลอฮฺเท่านั้น ท่านก็กล่าวว่า มันเป็นคำพูดที่มีความเป็นจริงแต่มันมีคนต้องการไปในสิ่งที่เป็นความเท็จ
เป็นที่แน่ชัดว่าในสิ่งต่างๆ ที่มีการรายงานมาจากท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม เมื่อใดที่มีอุตริกรรมเกิดขึ้นมา แนวทาง (ซุนนะฮ์) ของท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ก็จะถูกทำให้หายไป อิมามอะห์มัด และบัชช้ารได้นำออกรายงานจากหะดีษของฆุฎ้อยฟ์อิบนุ้ลฮาริษ เป็น หะดีษมัรฟู้อ์ว่า
“ไม่มีหมู่คณะใดได้ทำอุตริกรรมใดขึ้นมา นอกจากสิ่งที่เหมือนกัน ซุนนะฮฺ (แนวทางของท่านนบี ) ก็จะถูกยกไป ดังนั้น การจับมั่นอยู่กับซุนนะฮ์นั้น เป็นการดีกว่าการทำอุตริกรรมขึ้นมา”
เช่นเดียวกันอิมามอะห์มัด ฏ็อบรอนีย์ และบัชช้ารได้นำออกรายงาน จากหะดีษของฆุฏ้อยฟ์ จากท่านนบี ว่า ท่านได้กล่าวว่า
“ไม่มีประชาชาติหนึ่งประชาชาติใดได้ทำอุตริกรรมหนึ่งอุตริกรรมใดขึ้นมา หลังจากนบีของพวกเขา ในศาสนาของพวกเขาแล้ว นอกจากมันจะทำให้สิ่งที่เหมือนกับมันจากแนวทางฯ สูญหายไปเท่านั้น”
ดังนั้น โอ้บรรดาผู้ศรัทธา ท่านทั้งหลายจงยำเกรงอัลลอฮ์ และจงรู้ไว้เถิดว่า ในการที่อุตริกรรมต่างๆ เกิดขึ้นมานั้น มันทำให้แนวทาง (ซุนนะฮ์) ต่างๆ สูญหายไป ดังนั้น ผู้ที่มีความสุขคือผู้ที่แนบแน่นอยู่กับซุนนะฮ์เหมือนกับการกัดไว้ด้วยฟันกราม เขาก็จะทำให้ซุนนะฮ์มีชีวิตชีวาขึ้นมา และเรียกร้องไปสู่แนวทางที่ถูกต้อง แล้วอัลลอฮ์ก็จะทรงใช้มันตีกลับแก่ผู้ที่ทำอุตริกรรม และจะทรงใช้มันนำทางแก่ผู้ที่ถลำออกไปและช่วยเหลือผู้ที่ไม่พบทางสว่าง
เคาะลีฟะฮ์อุมัร อิบนุอับดิลอะซี้ซ ร่อหิมะฮุลลอฮ์ ส่งสารไปถึงอดีย์อิบนุอัรเฏาะอะฮ์ เกี่ยวกับเรื่องเกาะดะรียะฮ์บางพวกว่า
“ฉันสั่งเสียท่านให้มีความยำเกรงต่ออัลลอฮ์ ให้มีการปฏิบัติตามบัญชาของพระองค์ โดยการยึดสายกลาง ให้มีการดำเนินตามแนวทางของท่านนบีของพระองค์ และละทิ้งสิ่งที่พวกผู้ทำอุตริการได้ทำอุตริกรรมขึ้นมา ในสิ่งที่ซุนนะฮ์ได้มีการดำเนินไป ก็ขอให้ท่านได้ยึดมั่นอยู่กับซุนนะฮ์ เพราะว่าซุนนะฮ์นั้น แท้ที่จริงแล้วผู้ที่ได้กำหนดมันขึ้นมา คือผู้ที่รู้ถึงสิ่งที่ตรงข้ามกับมันจากความผิดพลาด การถลำไป ความโง่เขลา
ดังนั้น ท่านจงให้ตัวของท่านมีความพอใจกับสิ่งที่หมู่คณะมีความพอใจที่จะให้เกิดขึ้นแก่ตัวของพวกเขา เพราะว่าพวกเขานั้นจะเกาะยึดมั่นอยู่โดยอาศัยความรู้ จะยืนหยัดอยู่โดยการรู้เห็นที่ทะลุปรุโปร่ง พวกเขามีความสามารถมากที่สุด ในการค้นหาเรื่องราวต่างๆ และเป็นผู้ที่เหมาะสมที่สุดกับความประเสริฐที่พวกเขามีอยู่
แท้จริงพวกเขานั้นเป็นพวกที่มาก่อน พวกเขาจะพูดด้วยสิ่งที่ให้ความพอเพียง พวกเขาจะบอกลักษณะที่ไม่ต้องขยายความอีกแล้ว พวกที่มาหลังพวกเขานั้นเป็นผู้ทำให้มีความบกพร่อง และผู้ที่มาก่อนพวกเขาเป็นผู้ที่ทำให้เกิดความกระจ่าง
มีหมู่คณะหนึ่งในหมู่ของพวกเขาได้ทำให้เกิด ความบกพร่อง แล้วพวกเขาก็หนีไป และมีอีกหมู่คณะหนึ่งได้ล่วงเลยขอบเขต และพวกเขาก็คลั่งไคล้ และแท้จริงพวกเขาอยู่ระหว่างนั้น โดยที่อยู่ในทางนำที่เที่ยงตรง”
“และมันไม่มีสิทธิ์แต่ประการใด สำหรับผู้ศรัทธาชาย ตลอดจนผู้ศรัทธาหญิง เมื่ออัลลอฮ์ และทูต (ร่อซูล) ของพระองค์ได้บัญชา ในเรื่องหนึ่งเรื่องใดที่พวกเขาจะมีการเลือกในเรื่องราวของพวกเขา และใครฝ่าฝืนอัลลอฮ์ และทูตของพระองค์ ก็เท่ากับว่า เขาได้หลงผิดอย่างชัดแจ้ง”
(อัลอะห์ซาบ/36)
โอ้บรรดาบ่าวของอัลลอฮ์ ท่านทั้งหลายจงยำเกรงอัลลอฮ์และจงรู้ไว้เถิดว่า ถ้อยคำที่ดีที่สุดนั้น คือ คัมภีร์ของอัลลอฮ์ ทางนำที่ดีที่สุด คือ ทางนำของท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม เรื่องราวที่ชั่วช้าที่สุดนั้น คือ สิ่งที่ถูกทำขึ้นมาใหม่ทั้งหลาย ทุกสิ่งที่ถูกทำขึ้นมาใหม่นั้น มันเป็นอุตริกรรม (บิดอะฮ์) และทุกอุตริกรรมนั้น มันเป็นความหลงผิด และทุกความหลงผิดนั้น มันทำให้ตกนรก
ท่านทั้งหลายจงดำเนินตาม ขออัลลอฮ์ได้เอ็นดู เมตตาท่านทั้งหลายด้วย ท่านทั้งหลายอย่าได้ทำ อุตริกรรม ซึ่งมันเป็นความเพียงพอสำหรับท่านทั้งหลายแล้ว ท่านหุไซยฟะฮ์ ร่อฎิยัลลอฮุอันฮา กล่าวว่า
“ทุกการเคารพภักดี ที่บรรดาสาวกของท่านร่อซูลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ไม่ได้นำมาทำการเคารพภักดีนั้น ท่านทั้งหลายก็อย่าได้นำมาทำการเคารพภักดี เพราะว่า สิ่งแรกนั้น มันไม่ได้ละทิ้งไว้ซึ่งเรื่องราวใดๆ ที่จักต้องนำมาพูด สำหรับสิ่งที่มาทีหลัง”
มีรายงานว่า มีชายคนหนึ่งได้กล่าวแก่มาลิก อิบนุอนัส ว่า “ฉันจักต้องครองเอี๊ยะห์รอมจากไหน?
ท่านกล่าวว่า จากที่ท่านร่อซูลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้ครองเอี๊ะยห์รอม
ชายคนนั้นกล่าวว่า ท่านก็อย่าได้ทำ เพราะว่าฉันนี้กลัวว่าฟิตนะฮ์ (ความโกลาหล, ความยุ่งเหยิง, การทรมาน) จะเกิดขึ้นกับท่าน
มาลิกกล่าวว่า แล้วจะมีฟิตนะฮ์อะไรเกิดขึ้น ในการเพิ่มพูนความดี?
และกล่าวอีกว่า แท้จริงอัลลอฮ์ตะอาลานั้นได้ตรัสไว้ว่า
“ก็ให้พวกที่ฝ่าฝืนคำสั่งของเขา (มุฮัมมัด) ได้ระวังฟิตนะฮ์จะมาประสบกับพวกเขาหรือการลงโทษที่เจ็บปวดจะมาประสบกับพวกเขา”
(อันนู้ร/63)
แล้วฟิตนะฮ์ใดที่ยิ่งใหญ่ไปกว่าการที่ท่านเห็นว่าท่านนั้นเป็นผู้ที่มีความดีงามเพียงผู้เดียว โดยที่ท่านร่อซูลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมนั้นไม่มีความดีงามแต่อย่างใด?
ดังนั้น ท่านทั้งหลายจงยำเกรงอัลลอฮ์ ขออัลลอฮ์ได้ทรงเอ็นดูเมตตาท่านทั้งหลายด้วย และจงยึดอยู่กับแนวทางของคนรุ่นก่อน จงดำเนินตาม และจงออกห่างการทำอุตริกรรม
ที่มา วารสารมูลนิธิชีนำสันติสุข