รักร่วมเพศคือสาเหตุแห่งการถูกลงโทษ
คอเฏ็บ อับดุลสลาม เพชรทองคำ
ท่านพี่น้องผู้ศรัทธาทั้งหลายครับ อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ทรงสั่งใช้เราให้มีความยำเกรงต่อพระองค์ เพราะการยำเกรงต่อพระองค์นั้น หากมีอยู่ในหัวใจของเราแล้ว มันก็จะเป็นเสมือนกำแพงที่ขวางกั้นเรา ไม่ให้ทำสิ่งที่เป็นมะอฺศิยะฮฺ สิ่งที่เป็นการฝ่าฝืนบทบัญญัติของอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา และมันก็จะเป็นแรงผลักดันเราให้ปฏิบัติในสิ่งที่เป็นอิบาดะฮฺ สิ่งที่เป็นอะมัลศอและฮฺต่างๆ ซึ่งผลของการที่เรามีความยำเกรงต่ออัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาก็คือ การที่เราได้ปกป้องตัวของเราเองให้รอดพ้นจากการถูกทรมานในกุบูร และปกป้องเราจากการถูกลงโทษในไฟนรกในวันกิยามะฮฺ สำหรับในโลกดุนยานี้ เราก็จะได้รับชีวิตที่ดีงาม และในโลกอาคิเราะฮฺเราก็จะได้รับรางวัลตอบแทนด้วยสวนสวรรค์และสิ่งพิเศษมากมายที่อยู่ภายในสวนสวรรค์นั้น
ท่านพี่น้องผู้ศรัทธาทั้งหลายครับ พึงทราบไว้เถิดว่า คุฏบะฮฺวันศุกร์ถือเป็นส่วนหนึ่งของการละหมาดวันศุกร์ ดังนั้น ท่านพึงตั้งใจฟังและพินิจพิจารณาในสิ่งที่ท่านฟัง เมื่อท่านพินิจพิจารณาใคร่ครวญแล้วว่า สิ่งที่ท่านฟังนั้นเป็นเรื่องราวที่มีหลักฐานที่ถูกต้องตรงตามกิตาบุลลอฮฺและซุนนะฮฺของท่านนบีแล้ว ท่านพึงนำไปสู่การปฏิบัติในชีวิตประจำวันให้เต็มกำลังความสามารถของท่าน เพราะทุกสิ่งที่ท่านปฏิบัติในโลกดุนยานี้ จะเป็นตัวกำหนดผลตอบแทนที่ท่านจะได้รับในโลกอาคิเราะฮฺ กรุณาปิดมือถือ หรือเครื่องมือสื่อสารทุกชนิด และหยุดการพูดคุยกันในขณะที่อยู่ในช่วงของคุฏบะฮฺ และในขณะละหมาดนั้นท่านไม่สามารถที่จะพูดจาใดๆได้ทั้งสิ้น เพราะมันจะทำให้การละหมาดของท่านเสียและท่านต้องกลับมาละหมาดใหม่นะครับ
ท่านพี่น้องผู้ศรัทธาทั้งหลายครับ เมื่อช่วงปลายเดือนมิถุนายน ( พ.ศ.2558 )ที่ผ่านมา คณะผู้พิพากษาศาลสูงสุดของสหรัฐอเมริกามีคำพิพากษาด้วยมติ 5 ต่อ 4 เสียงยืนยันว่า รัฐธรรมนูญของสหรัฐฯให้การรับรองสิทธิในการแต่งงานของคู่รักเพศเดียวกัน ซึ่งก็หมายความว่า รัฐแต่ละรัฐของสหรัฐฯจะไม่สามารถออกกฏหมายท้องถิ่น เพื่อยกเลิกการแต่งงานของคู่รักเพศเดียวกันได้ จึงมีผลทำให้คู่รักเพศเดียวกันสามารถจดทะเบียนสมรสได้อย่างถูกต้องตามกฏหมายทั่วทั้ง 50 รัฐของสหรัฐฯ และถือว่าเป็นชัยชนะทางกฏหมายของสหรัฐ ฯ สำหรับขบวนการต่อสู้เพื่อสิทธิของคู่รักเพศเดียวกัน หรือที่เรียกกันว่าเป็นชาวสีม่วง ในทันทีที่คำพิพากษาด้วยมติที่ไม่เอกฉันท์นี้ หรือด้วยการตัดสินของคนเพียง 5 คนนี้ได้ถูกประกาศออกไป ก็ปรากฏว่ามีคู่รักเพศเดียวกันที่อาศัยอยู่ในรัฐที่ต่อต้านการแต่งงานของคู่รักเพศเดียวกัน ต่างก็ควงแขนกันไปจดทะเบียนกันด้วยความชื่นมื่น ด้วยความสะดวกสบาย
นายบารัค โอบามา ประธานาธิบดีของสหรัฐฯถึงกับประกาศว่า คำพิพากษานี้ถือเป็นชัยชนะของสหรัฐฯ เพราะถือเป็นการยืนยันสิทธิที่พลเมืองชาวอเมริกันทุกคนได้รับการปฏิบัติอย่างเท่าเทียมกัน และจะทำให้สหรัฐฯมีสังคมที่มีเสรีภาพมากยิ่งขึ้น เพราะเป็นผู้ที่ให้สิทธิในการเป็นเพศที่สามในสังคม
หรือแม้แต่ในเมืองไทยเองก็มีคณะแพทย์ออกมาประกาศว่า การที่คนเราเบี่ยงเบนทางเพศนั้นเป็นเรื่องที่เป็นมาแต่กำเนิด นั่นคือ การประกาศของมนุษย์ที่เป็นเพียงสิ่งถูกสร้างประเภทหนึ่งของอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา
ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา เราจะได้เห็น หรือได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับการเบี่ยงเบนทางเพศ ชายอยากเป็นหญิง หญิงอยากเป็นชาย มีการเรียกร้องสิทธิในการเป็นเพศที่สาม มีการประกาศการแต่งงานกัน มีการจัดประกวดนางงามทิฟฟานี หรือนางงามของกระเทย มีการรณรงค์ให้ผู้คนในสังคมยอมรับในเรื่องนี้ โดยอ้างเรื่องของสิทธิมนุษยชน อ้างเรื่องความเท่าเทียมกันในสังคม พยายามสร้างทัศนคติให้คนเห็นว่า เรื่องเหล่านี้ถือเป็นเรื่องธรรมดา
คนที่ต่อต้าน ไม่เห็นด้วยก็ไม่อยากจะแสดงตัวมากนัก เพราะอาจจะถูกกล่าวหาว่า ไม่ให้เกียรติ หรือไม่ให้สถานะแก่บุคคลประเภทนี้ แต่ทันทีที่เริ่มมีการประกาศให้เรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องที่ถูกต้องตามกฏหมาย เท่ากับเป็นการเปิดช่องทางให้ปฏิบัติกันอย่างอิสระ ไม่ต้องหลบๆซ่อนๆ ไม่ต้องอายสายตาของใครๆ และก็จะมีการแพร่ระบาดมากยิ่งๆขึ้นไปอีก และหากว่ามุสลิมคนใดไปเห็นดีเห็นงามกับเรื่องเหล่านี้ก็นับว่ามันเป็นเรื่องที่อันตรายอย่างที่สุดสำหรับมุสลิม
ท่านพี่น้องผู้ศรัทธาทั้งหลายครับ ในทัศนะของอิสลามแล้ว อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ไม่ทรงยินยอมให้มุสลิมมีพฤติกรรมที่เบี่ยงเบนทางเพศ ไม่ทรงยอมรับในการแต่งงานของคู่รักเพศเดียวกัน เพราะเป็นเรื่องที่ขัดกับหลักที่พระองค์ทรงสร้างมนุษย์ขึ้นมา และถือเป็นการเปลี่ยนแปลงการสร้างของพระองค์ ซึ่งเป็นการสร้างที่อยู่ในรูปแบบที่สวยงามยิ่ง ในอัลกุรอานซูเราะฮฺอัตตีน อายะฮฺที่ 4 อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาตรัสว่า
لَقَدْ خَلَقْنَا الْإِنسَانَ فِي أَحْسَنِ تَقْوِيمٍ
“โดยแน่นอน เราได้สร้างมนุษย์มาในรูปแบบที่สวยงามยิ่ง”
ในการสร้างสรรค์ด้วยรูปแบบที่สวยงามยิ่งของพระองค์นั้น พระองค์ยังทรงสร้างมนุษย์และสิ่งมีชีวิตมาเป็นคู่ๆ ในอัลกุรอานซูเราะฮฺอัซซาริยาต อายะฮฺที่ 49 อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ตรัสว่า
وَمِن كُلِّ شَيْءٍ خَلَقْنَا زَوْجَيْنِ لَعَلَّكُمْ تَذَكَّرُونَ
“และเราได้สร้างทุกสิ่งขึ้นเป็นคู่ ๆ เพื่อพวกเจ้าจะได้พินิจพิจารณาใคร่ครวญ”
ไม่ว่าจะเป็นคนหรือสัตว์ พระองค์ก็ทรงสร้างมาเป็นคู่ คือให้เป็นเพศชายเพศหญิง เพื่อให้ใช้ชีวิตร่วมกัน สร้างกันเป็นครอบครัว ให้มีลูกหลาน ให้มีทายาทสืบทอดขยายเผ่าพันธุ์ นี่คือแนวทางการสร้างสรรค์ของอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ซึ่งในการสร้างมนุษย์นั้น ถึงแม้พระองค์จะทรงสร้างมนุษย์ให้มี 2 เพศ คือเพศชายกับเพศหญิง
แต่พระองค์ก็ทรงทดสอบคนบางคน โดยทรงสร้างพวกเขาให้เป็นผู้ชายหรือผู้หญิงอยู่ในคน ๆ เดียวกัน คือคนที่มีอวัยวะเพศทั้งของชายและหญิงอยู่ในคน ๆ เดียวกัน หรือคนที่ไม่มีอวัยวะเพศทั้งสองเลย มีเพียงช่องทางเป็นทางออกของปัสสาวะเท่านั้น ซึ่งคนประเภทนี้ในภาษาอาหรับเรียกว่า คุณซา خُنثَى แต่อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ก็ได้ทรงให้เกียรติพวกเขา ให้ความสำคัญกับพวกเขา ให้พวกเขาได้มีศักดิ์ศรีเช่นเดียวกับคนปกติทั่วๆไป ไม่ใช่พลเมืองชั้นสองหรือเป็นคนต่างชั้นต่างวรรณะ โดยทรงกำหนดบทบัญญัติต่างๆ อย่างชัดเจนสำหรับพวกเขา รวมถึงการที่พวกเขามีสิทธิในกองมรดกอีกด้วย ซึ่งแสดงให้เห็นว่าอิสลามไม่ได้ทอดทิ้ง หรือปล่อยปละละเลย นี่แสดงให้เห็นถึงความครบถ้วนสมบูรณ์ของอิสลามอย่างแท้จริง นั่นก็คือในส่วนของคุณซา แต่มีคนอีกประเภทหนึ่ง ที่ในภาษาอาหรับเรียกว่า มุคอนนัษ ( المخنث )กับ มุตะรอจญิละฮฺ ( المتر جلة )
คำว่า ”มุคอนนัษ” ก็คือผู้ชายที่มีเพศชายชัดเจน แต่เลียนแบบพฤติกรรมให้เหมือนผู้หญิง โดยพฤติกรรมไม่ได้เป็นมาแต่กำเนิด แต่มีความตั้งใจเลียนแบบพฤติกรรมให้เหมือนผู้หญิง ทั้งกิริยาท่าทางและคำพูด
ส่วนคำว่า ”มุตะรอจญิละฮฺ” ก็คือผู้หญิงที่เลียนแบบพฤติกรรมให้เหมือนผู้ชาย โดยพฤติกรรม นั้นไม่ได้เป็นมาแต่กำเนิด แต่มีความตั้งใจเลียนแบบพฤติกรรมให้เหมือนผู้ชาย ทั้งกิริยาท่าทางและคำพูด
ซึ่งบุคคลทั้งสองประเภทดังกล่าวนี้เป็นบุคคลที่ท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้สาปแช่ง ดังอัลหะดีษในบันทึกของอิมามอัลบุคอรีย์ รายงานจากท่านอิบนิ อับบาส เราะฎิยัลลอฮุอันฮุเล่าว่า
“แท้จริง ท่านนบี ได้สาปแช่งผู้ชายที่ทำตัวเลียนแบบผู้หญิง และผู้หญิงที่ทำตัวเลียนแบบผู้ชาย
แล้วท่านนบีได้กล่าวว่า «أَخْرِجُوهُمْمِنْبُيُوتِكُمْ» “ พวกท่านจงขับไล่พวกเขาให้ออกไปจากบ้านเรือนของพวกท่าน”
แล้วท่านนบีก็ได้ขับไล่กระเทยคนหนึ่ง และท่านอุมัรก็ได้ขับไล่กระเทยอีกคนหนึ่ง
หะดีษดังกล่าวชี้ให้เห็นว่า การที่ผู้ชายทำตัวเลียนแบบผู้หญิง และผู้หญิงที่ทำตัวเลียนแบบผู้ชาย ถือเป็นเรื่องที่ร้ายแรงมากๆ ใครที่ไปประพฤติปฏิบัติเข้าจะได้รับการสาปแช่งจากท่านนบี ซึ่งการได้รับการสาปแช่งจากท่านนบี หมายถึงการที่ขอให้เขาได้ห่างไกลจากความเมตตา และความพึงพอใจของอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา และพวกเขายังต้องถูกขับไล่ออกจากบ้านเรือนของพวกเขา ซึ่งท่านนบี และท่านอุมัรก็ได้เคยขับไล่คนที่ทำตัวเลียนแบบเพศตรงข้ามให้ออกจากบ้านของพวกเขามาแล้ว นี่คือบทลงโทษของผู้ที่ทำตัวเบี่ยงเบนออกจากเพศที่แท้จริงของตัวเอง นอกจากนี้แล้ว พวกเขายังไม่ถูกถือว่าเป็นประชาชาติของท่านนบี อีกด้วย
ดังอัลหะดีษในบันทึกของอิมามอะหฺมัด รายงานจากท่านอับดุลลอฮฺ อิบนิอัมรฺ อิบนิอาศ เราะฎิยัลลอฮุอันฮุมา เล่าว่า ฉันได้ยินท่านเราะซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า
لَيْسَ مِنَّا مَنْ تَشَبَّهَ بِالرِّجَالِ مِنْ النِّسَاءِ وَلَا مَنْ تَشَبَّهَ بِالنِّسَاءِ مِنْ الرِّجَالِ
“ไม่ถือว่าเป็นประชาชาติของฉัน สำหรับผู้ชายที่ทำตัวเลียนแบบผู้หญิง และผู้หญิงที่ทำตัวเลียนแบบผู้ชาย”
บทลงโทษที่รุนแรงนี้เป็นเพราะ พวกเขาทำเสมือนกับว่า พวกเขาไม่พอใจในการสร้างของอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา เป็นผู้ชาย แต่ทำกิริยาแบบผู้หญิง แต่งตัวเป็นผู้หญิง บางคนถึงกับผ่าตัดแปลงเพศ บางคนก็กินยาเพิ่มฮอร์โมน คนประเภทนี้ที่เราเรียกว่ากระเทย หรือในส่วนของหญิงที่เลียนแบบหรือทำตัวเป็นชาย อย่างนี้ก็ไม่ได้ และรวมไปถึงลักษณะที่เบี่ยงเบนออกจากเพศที่แท้จริงของตัวเอง ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นเกย์ เป็นกระเทย เป็นทอม เป็นดี้ เป็นเลสเบี้ยน ทั้งหมดนี้เป็นผู้ที่ได้รับการสาปแช่งจากท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ซึ่งจะทำให้ชีวิตของเขาไม่ได้รับบะเราะกะฮฺ ความจำเริญใดๆ และยังไม่ได้รับการชะฟาอะฮฺหรือความช่วยเหลือใดๆจากท่านนบีในวันกิยามะฮฺอีกด้วย และผู้ใดที่ท่านนบีสาปแช่งเขาก็เท่ากับเขาได้รับการสาปแช่งจากอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาด้วย
มีผู้ชายบางคนที่เขาจะมีกิริยาอ่อนช้อย อ่อนโยน หรือมีลักษณะคล้ายผู้หญิงมาตั้งแต่กำเนิด โดยไม่ได้ตั้งใจ หรือไม่ได้มีเจตนาที่จะให้ตัวเองกลายเป็นผู้หญิง และเช่นกัน สำหรับในส่วนของผู้หญิงที่มีลักษณะคล้ายผู้ชายมาตั้งแต่กำเนิด โดยไม่ได้ตั้งใจ หรือไม่ได้มีเจตนาที่จะให้ตัวเองกลายเป็นผู้ชาย อย่างนี้เป็นข้อยกเว้น ไม่ถือเป็นโทษ ไม่มีบาปสำหรับเขา หากแต่เขาต้องพยายามระวังควบคุมพฤติกรรมของตัวเองไม่ให้เกินเลยขอบเขต หรือพ่อแม่ผู้ปกครองก็ต้องดูแลควบคุมลูกหลานที่มีลักษณะแบบนี้ให้ดี อย่าให้ทำอะไรเกินเลยขอบเขตของศาสนาจนเข้าข่ายการเบี่ยงเบนทางเพศ เพราะโทษที่จะได้รับมันรุนแรงหนักหนามาก
ท่านพี่น้องผู้ศรัทธาทั้งหลายครับ เมื่อมีการเบี่ยงเบนทางเพศเกิดขึ้น สุดท้ายมันจะนำไปสู่ความต้องการที่จะมีเพศสัมพันธ์ระหว่างเพศเดียวกัน ซึ่งถือเป็นความสัมพันธ์ที่วิตถาร เป็นการกระทำที่เป็นความชั่วร้าย เป็นอาชญากรรม และนำมาซึ่งโรคร้ายที่ไม่มีทางรักษาหาย ดังที่เราทราบกัน เช่น โรคเอดส์ เมื่อการมีเพศสัมพันธ์ระหว่างเพศเดียวกันถูกกระทำอย่างเปิดเผยและแพร่หลาย จะนำมาซึ่งการถูกลงโทษอันใหญ่หลวงจากอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ดังที่เคยเกิดมาแล้วในประชาชาติของท่านนบีลูฏ อะลัยฮิสสลาม ในอัลกุรอานซูเราะฮฺอัลอันกะบูต อายะฮฺที่ 28 อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาตรัสว่า
وَلُوطًا إِذْ قَالَ لِقَوْمِهِ إِنَّكُمْ لَتَأْتُونَ الْفَاحِشَةَ مَا سَبَقَكُم بِهَا مِنْ أَحَدٍ مِّنَ الْعَالَمِينَ
“และจงรำลึกถึงเรื่องราวของลูฏ เมื่อเขาได้เรียกร้องประชาชาติของเขาว่า แน่นอน พวกท่านได้นำ ฟาฮิชะฮฺ หรือสิ่งที่เลวร้ายมา ซึ่งไม่มีประชาชาติใดบนหน้าโลกนี้ทำมาก่อนเลยแม้แต่คนเดียว”
คำว่า ”ฟาฮิชะฮฺ الْفَاحِشَةَ " ตรงนี้หมายถึงการมีความสัมพันธ์ทางเพศระหว่างผู้ชายกับผู้ชายด้วยกัน ในภาษาอาหรับเรียกว่า “ลิวาฏ” ถ้าเป็นผู้หญิงกับผู้หญิงก็จะเรียกว่า “ซิฮาก”
อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ทรงเล่าว่า การลิวาฏ ของประชาชาติของท่านนบีลูฏนี้เกิดขึ้นเป็นครั้งแรกในโลก ก่อนหน้านี้ไม่เคยมีใครทำมันมาก่อนเลยแม้สักคนเดียว ท่านนบีลูฏ อะลัยฮิสสลาม ได้เรียกร้องตักเตือนให้ประชาชาติของท่านหยุดการกระทำอันชั่วช้านี้อย่างเด็ดขาด แต่ก็ไม่สำเร็จ พวกเขายังคงดื้อดึงต่อหลักการของอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ไม่กลัวอะซาบ ไม่กลัวการลงโทษ พระองค์จึงได้ทรงส่งการลงโทษมายังประชาชาติของท่านนบีลูฏ ที่ทำความผิดนี้ด้วยการลงโทษสี่ประการพร้อมๆกัน โดยไม่เคยลงโทษผู้ใดหรือประชาชาติใดด้วยการลงโทษพร้อมๆกันเช่นนี้มาก่อนเลย นั่นคือ
ทรงทำให้ดวงตาของพวกเขาบอด
และได้ทรงพลิกแผ่นดินที่พวกเขาอาศัยอยู่จากบนเป็นล่าง
และได้ทรงให้ฝนที่เป็นหินไฟจากนรกเทใส่ลงมาบนพวกเขา
และได้ทรงให้ฟ้าผ่าพวกเขา
ซึ่งการลงโทษครั้งนี้ ท่านอิบนุลก็อยยิมได้กล่าวว่า “เป็นการลงโทษที่ทำให้บรรดามะลาอิกะฮฺต่างหนีกระจัดกระจาย บ้างก็ขึ้นไปบนฟากฟ้า บ้างก็ออกนอกพื้นที่ ก็เพราะกลัวการโดนลูกหลงจากการลงโทษในครั้งนี้ แม้กระทั่งภูเขาก็ยังอยากจะเคลื่อนหนีไปด้วย"
ท่านพี่น้องครับ แม้ว่าเรื่องราวนี้จะผ่านมาเป็นพันเป็นหมื่นปีแล้ว แต่ในปัจจุบันเราก็จะเห็นว่า พฤติกรรมแบบประชาติของท่านนบีลูฏก็ยังคงมีอยู่ และนับวันมันก็กระจายแพร่หลายมากยิ่งขึ้น และยิ่งมาทำให้เป็นเรื่องที่ถูกกฏหมายด้วย แล้วก็ยังมีแพทย์ออกมารับรองอีกว่าเรื่องนี้เป็นมาตั้งแต่กำเนิด ก็นับเป็นเรื่องที่น่ากลัวมาก เพราะมันจะแพร่ระบาดเข้ามาในสังคมมุสลิม ดังที่เราคงเคยได้ยินข่าวว่า มีชายมุสลิมคนหนึ่งที่มีความเบี่ยงเบนทางเพศ แต่งตัวคลุมศีรษะแสดงสัญลักษณ์ว่าเป็นมุสลิมะฮฺแล้วไปเข้าประกวดนางงามทิฟฟานีหรือนางงามของกระเทย หรืออีกกรณีที่ชายมุสลิมอีกคนหนึ่งแต่งตัวแบบมุสลิมะฮฺเพื่อไปเกณฑ์ทหาร
เรื่องดังกล่าวเป็นเรื่องที่ผิดอย่างร้ายแรง และเป็นเรื่องที่จะต้องมีการห้ามปรามกัน ต้องนะศีหะฮฺ ตักเตือนกันนะครับ และเป็นเรื่องที่ท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม กลัวมากที่สุดว่าจะเกิดขึ้นแก่ประชาชาติของท่าน อัลหะดีษในบันทึกของอิมามอิบนุมาญะฮ อิมามอัตติรฺมีซีย์ รายงานจากท่านญาบิร อิบนิ อับดิลลาฮฺ เราะฎิยัลลอฮุอันฮุเล่าว่า ท่านเราะซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะศัลลัมกล่าวว่า
إِنَّ أَخْوَفَ مَا أَخَافُ عَلَى أُمَّتِي عَمَلُ قَوْمِ لُوطٍ
“แท้จริง สิ่งที่ฉันกลัวมากที่สุดว่าจะเกิดกับประชาชาติของฉัน ก็คือ
การที่ประชาชาติของฉันมีพฤติกรรมเหมือนกับประชาชาติของท่านนบีลูฏ”
แล้วสิ่งที่ท่านนบี กลัวก็เกิดขึ้นดังที่เราเห็นๆกันอยู่ ดังนั้นมันจึงเป็นหน้าที่ของเราที่ต้องนะศีหะหฺ ตักเตือนซึ่งกันและกันให้ห่างไกลจากเรื่องเหล่านี้ อย่าได้ไปเข้าใกล้ อย่าได้ไปทำ เพราะถ้าทำแล้วก็ต้องได้รับการลงโทษอย่างแน่นอน และการลงโทษมันก็ไม่ได้เกิดเฉพาะคนที่ทำเท่านั้น แต่มันโดนกันทั้งหมด คนที่ไม่ได้ทำแต่ไม่ตักเตือน ไม่ห้ามปรามคนอื่นก็โดนด้วย ดังนั้น แต่ละท่านจึงมีหน้าที่ที่จะต้องตักเตือนคนที่ทำความผิดด้วย เพื่อที่ตัวท่านจะได้รับความปลอดภัยจากการถูกลงโทษ
เมื่อประชาชาติของท่านนบีลูฏเป็นประชาชาติแรกที่ทำสิ่งอุบาทว์วิตถารนี้ให้เกิดขึ้น ซึ่งในเรื่องนี้ อัลหะดีษในบันทึกของอิมามอะบูดาวูด บอกว่า ท่านนบีกล่าวว่า
«مَنْ وَجَدْتُـمُوْهُ يَـعْمَلُ عَمَلَ قَوْمِ لُوطٍ فَاقْتُلُوا الفَاعِلَ وَالمَفْعُولَ بِـهِ
“บุคคลใดจากพวกท่านทั้งหลาย ได้ปฏิบัติเหมือนกลุ่มชนของท่านนบีลูฏ
(คือมีความสัมพันธ์ระหว่างชายกับชาย) จงประหารชีวิตผู้กระทำและผู้ถูกกระทำ”
บทลงโทษ สำหรับคนที่เจตนาหรือตั้งใจประพฤติปฏิบัติในการมีเพศสัมพันธ์ที่วิปริตนี้ ก็คือการถูกฆ่าทั้งคนทำและคนถูกกระทำ รวมถึงการถูกประณามสาปแช่ง ทั้งนี้ก็เพื่อเป็นการป้องกันความเลวร้ายเลวทรามที่จะเกิดขึ้นในสังคม
ดังนั้น ประชาชาติของท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม จะต้องระมัดระวังในเรื่องนี้ให้จงหนัก ต้องดูแลตัวเอง ดูแลลูกหลาน คนใกล้ชิด คนในสังคมให้ละห่างจากเรื่องนี้โดยเด็ดขาด ละเว้นการกระทำหรือการเลี้ยงดูลูกหลานที่จะนำไปสู่การเบี่ยงเบนทางเพศดังที่ท่านนบีได้ห้ามไว้ เช่น แต่งตัวเด็กชายด้วยเครื่องแต่งตัวของเด็กหญิง อย่ามีความตั้งใจเลี้ยงดูลูกหลานที่ยังเล็กๆให้แต่งตัวเลียนแบบเพศตรงข้าม
ท่านพี่น้องผู้ศรัทธาทั้งหลายครับ นี่คือการกำชับกันให้ทำความดี และห้ามปรามการทำความชั่ว หากว่าเรายังดื้อดึง ยังฝ่าฝืน แน่นอนที่การลงโทษจากอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาจะต้องมาถึงอย่างแน่นอน อัลกุรอานในซูเราะฮฺอัลเกาะศ็อศ อายะฮฺที่ 59 อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาตรัสว่า
وَمَا كَانَ رَبُّكَ مُهْلِكَ الْقُرَىٰ حَتَّىٰ يَبْعَثَ فِي أُمِّهَا رَسُولًا يَتْلُو عَلَيْهِمْ آيَاتِنَا ۚ وَمَا كُنَّا مُهْلِكِي الْقُرَىٰ إِلَّا وَأَهْلُهَا ظَالِمُونَ
“และพระเจ้าของเจ้าไม่ได้เป็นผู้ทำลายเมืองใด จนกว่าพระองค์จะทรงส่งเราะซูลมายังเมืองนั้น เพื่อให้เขาได้แจกแจงบรรดาอายะฮฺต่างๆแก่ประชาชนในเมืองนั้น และเราไม่ทำลายเมืองใด เว้นแต่ว่า ประชาชนในเมืองนั้นจะเป็นผู้อธรรม ผู้ล่วงละเมิดต่อคำสั่งของพระองค์”
นั่นก็หมายความว่า อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา จะไม่ทรงทำลายสถานที่ใด หรือเมืองใด นอกจากประชาชนในที่นั้นจะดื้อดึง ล่วงละเมิดต่อคำสั่งของพระองค์ ดังนั้น ถ้าหากเราปล่อยปละละเลย ไม่มีการห้ามปราม ไม่มีการตักเตือนกัน ไม่มีการกำชับกันให้ทำความดี ไม่มีการห้ามปรามการทำความชั่ว สักวันหนึ่งการลงโทษจากอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาก็จะมาถึงเรา ถึงสังคมของเรา ถึงบ้านเมืองของเรา....ถ้าหากเราไม่สามารถจะหยุดเหตุการณ์อะไรได้ในสังคม อย่างน้อยๆ ใจของเราจะต้องไม่ยอมรับในเรื่องที่ชั่วช้านั้น อย่าไปเห็นดีเห็นงามไปกับเรื่องที่ผิดต่อหลักการศาสนา
ท่านพี่น้องผู้ศรัทธาทั้งหลายครับ สุดท้ายนี้ ขออัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาทรงช่วยเหลือเรา ให้เราได้ยึดมั่นในหลักการศาสนา และได้ปฏิบัติตามคำสั่งของอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาอย่างเต็มความสามารถของเรา เพื่อที่ชีวิตของเราจะได้รับบะเราะกะฮฺ ความจำเริญ และรอดพ้นจากการถูกลงโทษจากอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาทั้งในดุนยาและอาคิเราะฮฺ
เกย์ หมายถึง ผู้ชายที่คิดว่าตัวเองเป็นผู้ชาย แต่ชอบผู้ชาย
กระเทย หมายถึง ผู้ชายที่คิดว่าตัวเองเป็นผู้หญิง และชอบผู้ชายหรือทอม
ทอม หมายถึง ผู้หญิงที่คิดว่าตัวเองเป็นผู้ชาย และชอบผู้หญิงหรือกระเทย
ดี้ หมายถึง ผู้หญิงที่คิดว่าตัวเองเป็นผู้หญิง และชอบผู้หญิงหรือกระเทย
เลสเบี้ยน หมายถึง ผู้หญิงชอบผู้หญิง
(http://th.uncyclopedia.info/wiki / ความแตกต่างของคำว่า_เกย์_กระเทย_ทอม_ดี้)
“ผู้ใดที่ปฏิบัติอะมัลศอและฮฺ มันก็จะได้แก่ตัวเขา (อัลลอฮฺจะทรงตอบแทนด้วยรางวัลที่ดีให้แก่เขา)
ส่วนผู้ใดที่ฝ่าฝืนดื้อดึงโดยปฏิบัติสิ่งที่ชั่วช้า(ที่พระองค์ทรงห้ามไว้)
ความชั่วช้านั้นมันก็จะกลับมาหาเขา (เป็นโทษให้เขาต้องตกนรก)
และพระเจ้าของเจ้านั้นไม่ทรงอธรรมต่อปวงบ่าวของพระองค์”
(อัลกุรอานซูเราะฮฺฟุศศิลัต อายะฮฺที่ 46 )
( คุฏบะฮฺวันศุกร์มัสยิดดารุลอิหฺซาน บางอ้อ )